ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 113 ปรึกษา (กลาง)
สืออีเหนียงได้ยินฮูหยินสามบอกว่าอยากให้นางไปร่วมทำกิจการด้วย นางก็ทำสีหน้าตกใจ “กิจการอะไรได้เงินดีขนาดนี้กันเจ้าคะ”
ฮูหยินสามยิ้มอย่างมีเลศนัย “ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
สืออีเหนียงเห็นว่านางไม่ยอมพูด นางจึงทำท่าทีลำบากใจ “แต่ว่าข้าไม่มีเงินทุน!”
“เจ้าจะไม่มีเงินทุนได้เช่นไรกัน!” ฮูหยินสามสายตาเป็นประกาย “เจ้ามีสินเดิมสองหมื่นสองตำลึงไม่ใช่หรือ”
สืออีเหนียงถอนหายใจ “ท่านแม่บอกว่าข้ายังเด็ก ไม่ได้ใช้เงินมากมายเช่นนั้น จึงเอาไปลงที่แปลงนา ที่ลานและเครื่องประดับหมดแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามยิ้มแล้วพูดว่า “มันจะยากอะไร เจ้าก็เอาเครื่องประดับไปจำนำ รอมีเงินแล้วค่อยไปเอาคืนมาก็ได้”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนในใจ
หากตัวเองเป็นเด็กน้อยอายุสิบสี่ที่กำลังรอใช้เงินอยู่จริงๆ นางคงจะหลงกลไปแล้ว!
“เช่นนั้น ไม่ค่อยดีหรือเปล่าเจ้าคะ!” สืออีเหนียงเบิกตากว้าง ราวกับว่าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน “หากคนอื่นรู้เข้า คงจะคิดว่าท่านโหวทำให้เราลำบาก…”
“เจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด จะมีผู้ใดล่วงรู้”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็แอบยิ้มในใจ
หากทำเช่นนั้นจริงๆ เกรงว่าถึงตอนนั้นคนที่พูดออกมาคงจะเป็นพวกคนสกุลกาน!
นางอดไม่ได้ที่จะเพิ่มความหวาดระแวง
ท่าทีของฮูหยินสามดูรีบร้อน สิ่งที่ทำให้คนอื่นนึกถึงตัวเองก็คือตำแหน่งฮูหยินของหย่งผิงโหว หรือว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสวีลิ่งอี๋
“พี่สะใภ้สามให้ข้าคิดดูก่อนนะเจ้าคะ!” นางทำท่าทีตื่นตระหนกและมึนงง
ฮูหยินสามคิดว่านางไม่เคยเจอเรื่องพวกนี้มาก่อน ตัดสินใจไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าต้องคิดเร็วๆ หน่อยนะ ข้ารอใช้เงินอยู่ หากเจ้าไม่อยากทำข้าคงต้องไปหาน้องสะใภ้ห้า เจ้าต้องรู้ว่า พลาดโอกาสนี้ไปก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
สืออีเหนียงพยักหน้าด้วยความตื่นตระหนก “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ”
เงยหน้าขึ้นมองชิวหลิง
นางเห็นว่านางก้มหน้าก้มตาตลอด
นางจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่ฮูหยินสามอ้างว่าไม่ลงรอยกัน ให้ตงชิงออกไปข้างนอก ชิวหลิงก็ทำท่าทีเช่นนี้
สืออีเหนียงพยักหน้าในใจ
ฮูหยินสามบอกนาง “เร็วหน่อยล่ะ” จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวออกไป
ปินจวี๋วิ่งออกจากห้องทางตะวันออกอย่างหน้าดำหน้าแดง พาสืออีเหนียงไปนั่งบนเตียงใกล้หน้าต่างของห้องทางตะวันออก
หูพั่วและตงชิงยืนปิดปากยิ้มอยู่ข้างๆ
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” สืออีเหนียงเห็นท่าทีของพวกนางก็เอ่ยปากถามด้วยความแปลกใจ
สายตาของปินจวี๋เป็นประกาย “ฮูหยิน ห้าสิบตำลึง เงินเดือนของท่าน ห้าสิบตำลึงเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงก็ตกใจเช่นกัน
เมื่อนึกถึงเงินพวกนี้ ตัวเองสามารถเอาไปทำอะไรได้หลายอย่าง นางจึงยิ้มออกมาอย่างปิดไม่อยู่ “เยอะขนาดนี้!”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยิน ในที่สุดเราก็ได้หายใจแล้ว”
ปินจวี๋พยักหน้าซ้ำๆ “บวกกับเงินที่พี่ตงชิงคืนมาให้อีกห้าสิบตำลึง เราก็จะมีเงินหนึ่งร้อยตำลึง เดือนหน้ายังมีเงินอีกห้าสิบตำลึง เราก็จะมีเงินหนึ่งร้อยห้าตำลึง เมื่อถึงเดือนสิบสองเราก็จะมีเงินอีกห้าสิบตำลึง…” นางนับนิ้ว มีท่าทีของการวาดขนมปังให้ท้องอิ่ม
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ “หนึ่งปีก็มีหกร้อยตำลึง สองปีหนึ่งพันสองร้อยตำลึง สิบปีหกพันตำลึง…”
“ใช่แล้ว ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” ปินจวี๋พยักหน้า
ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
บรรยากาศก็คึกครื้นมากขึ้น
ตงชิงยกชามาให้สืออีเหนียง “เช่นนี้ดีเลย ต่อไปเราก็ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว”
“แต่ก็ไม่แน่เสมอไป” หู่พั่วพูด “บ่าวเกรงว่าจะเข้ามือซ้ายออกมือขวา”
เดิมทีปินจวี๋ก็ไม่ชอบเห็นหน้าหู่พั่วอยู่แล้ว นางตอบโต้ “ส่วนกลางเป็นคนดูแลทุกอย่าง ฮูหยินก็แค่จะซื้ออะไรเพิ่มนิดหน่อย มีเงินเหลืออยู่แล้ว”
หู่พั่วเหลือบมองปินจวี๋แล้วพูดว่า “ครั้งก่อนที่คุณชายห้าและคุณชายหกไปที่ซีซาน ฮูหยินได้มอบเงินห้าสิบตำลึงและหินหมึกสองก้อน บ่าวเห็นสายตาของนายหญิงสาม ท่าทีของนางราวกับว่าการให้เงินมากมายเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่คุณหนูสี่ให้เพียงแค่สิบตำลึง นายหญิงสามกลับดูซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ตอนนี้ฮูหยินไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีเงินน้อยจะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้ คนอื่นจะว่าฮูหยินขี้งกเอาได้!”
ปินจวี๋เงียบไปครู่หนึ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง บรรยากาศในห้องก็หดหู่ลง
“เอาล่ะ เอาล่ะ” สืออีเหนียงยิ้มให้กำลังใจทุกคน “ต้นไม้ตายไปแล้ว แต่คนยังมีชีวิตอยู่ พวกเจ้าจะกังวลเรื่องเงินพวกนี้จนตาย?”
“ใช่ ใช่” ตงชิงรีบยิ้มและพูดเกลี้ยกล่อม “ลองคิดดูว่าเมื่อก่อนเงินสองตำลึงต่อเดือน ตอนนี้ห้าสิบตำลึงต่อเดือน…ต้องมีวันที่ดีรออยู่ข้างหน้าเสมอ”
ปินจวี๋ยิ้มออกมา
หู่พั่วก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
สืออีเหนียงเห็นว่าบรรยากาศผ่อนคลายขึ้น นางจึงยิ้ม “เราไปดูห้องหน่วนฝังที่สวนดอกไม้กันเถิด”
*****
เพราะว่าฮูหยินห้าอาศัยอยู่ที่สวนดอกไม้หลังจวน ตอนนี้บรรดาสาวใช้และท่านป้า ไม่ว่าจะเกิดปีเสือหรือไม่เกิดปีเสือก็ล้วนแต่พากันออกไปอยู่ข้างนอก ยิ่งเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง สวนหลังจวนจึงดูว่างเปล่าและเยือกเย็น
สืออีเหนียงพาหู่พั่วเดินมาตั้งนานพึ่งจะเห็นท่านป้าสองคนกำลังเข็นรถเข็นคันเล็กๆ หู่พั่วรีบเดินเข้าไปถามว่าห้องหน่วนฝังอยู่ที่ใด ถึงแม้ว่าท่านป้าสองคนนั้นจะไม่รู้จักสืออีเหนียง แต่เห็นว่านางสวมเสื้อผ้าที่หรูหรา พวกนางก็ชี้ไปที่ห้องลี่จิ่งเซวียน “อยู่ข้างห้องลี่จิ่งเซวียนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณ พวกนางก็เห็นห้องหน่วนฝังเรือนกระจกขนาดใหญ่อยู่ที่ข้างห้องลี่จิ่งเซวียน ข้างในนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้
“มันต้องใช้เงินมากมายขนาดไหนกันนะ!” สืออีเหนียงยืนอยู่นอกห้องหน่วนฝัง จ้องมองไปที่เรือนกระจกนั้นด้วยความตกใจ
คิดไม่ถึงว่าห้องหน่วนฝังของจวนสกุลสวีจะใหญ่โตขนาดนี้
นางรู้สึกตื่นเต้น
สืออีเหนียงนั้นอยากเปิดร้านขายน้ำหอมดอกไม้
เช่นนี้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการทดสอบ หากสกัดน้ำหอมได้จริงๆ เทคนิคการปลูกดอกไม้ก็มี
พวกนางกำลังจ้องมองไปที่นั่น ก็มีหญิงผู้หนึ่งเดินออกมาจากข้างใน พลันเห็นสืออีเหนียงนางก็ตกใจ “ฮูหยินสี่!”
สืออีเหนียงมองไปตามเสียงเรียก
นางคือป้าสือท่านป้าคนสนิทของฮูหยินห้า นางถือดอกกล้วยไม้ผีเสื้อราตรีสีม่วงอยู่ในมือ
“ป้าสือ” สืออีเหนียงยิ้ม “น้องสะใภ้ห้ากำลังจะตกแต่งเรือนหรือ!”
ป้าสือเหลือบมองดอกกล้วยไม้ในมือของตัวเอง นางยิ้มแล้วตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ!”
มีหญิงผู้หนึ่งเดินออกมาจากข้างหลังป้าสือ ป้าสือรีบพูดกับหญิงคนนั้น “สะใภ้จี้ถิง ท่านนี้คือฮูหยินสี่”
สะใภ้จี้ถิงอายุราวสามสิบปี หน้าตาดูซื่อๆ สวมเสื้อผ้าธรรมดา แล้วยังถือจอบเล็กๆ อยู่ในมือ เมื่อนางได้ยินว่าคนที่อยู่ข้างหน้าคือฮูหยินสี่ นางก็ลุกลนและหน้าแดงขึ้นมา ไม่รู้ว่าต้องทำตัวเช่นไร
ป้าสือยิ้มและอธิบายให้สืออีเหนียงฟัง “นางเป็นคนไม่ค่อยเคยเห็นอะไร ฮูหยินสี่อย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดกับสะใภ้จี้ถิง “ยังไม่คำนับฮูหยินสี่อีก”
สะใภ้จี้ถิงจึงวางจอบลงแล้วคุกเข่าก้มหัวให้สืออีเหนียง
หู่พั่วรีบเดินเข้าไปพยุงสะใภ้จี้ถิง “สะใภ้จี้ถิงไม่ต้องตกใจ ฮูหยินของเราตั้งใจมาดูที่นี่”
สะใภ้จี้ถิงพึมพำอยู่นานแต่ก็ไม่ได้ยินว่านางพูดอะไร
สืออีเหนียงยิ้มและพูดกับป้าสือ “เจ้าไปทำงานเถิด ประเดี๋ยวน้องสะใภ้ห้าจะรอนาน ข้ามาดูว่าที่จวนปลูกอะไรไว้บ้าง”
ป้าสือยิ้มและขอตัวลาสืออีเหนียง สะใภ้จี้ถิงจึงพาสืออีเหนียงเข้าไปในห้องหน่วนฝัง
หู่พั่วพูดคุยกับสะใภ้จี้ถิง
สะใภ้จี้ถิงเห็นว่าสืออีเหนียงเป็นกันเอง นางก็ค่อยๆ เป็นตัวของตัวเอง นางบอกหู่พั่วว่า ตัวเองเป็นคนดูแลห้องหน่วนฝังของจวนสกุลสวี เพราะว่าห้องหน่วนฝังอยู่ในสวนดอกไม้หลังจวน เพื่อหลีกเลี่ยงฮูหยินห้า ดังนั้นนางจึงมาที่สวนดอกไม้แค่ตอนช่วงเช้ายามหลิวและยามเฉิน ปกติแล้วนางจะพาพี่สะใภ้สองสามคน น้องสะใภ้และหลานสะใภ้มาช่วยดูแลห้องหน่วนฝังด้วย พูดจบ สืออีเหนียงก็เห็นเงาของหญิงสองสามคนอยู่ระหว่างต้นไม้ดอกไม้สีเขียวสีแดง สะใภ้จี้ถิงรีบเรียกพวกนางมาคำนับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงพูดคุยกับพวกนางสองสามประโยค จากนั้นก็ให้นางพวกแยกย้ายกันไป ตัวเองเดินไปห้องหน่วนฝังกับสะใภ้จี้ถิงต่อ
กล้วยไม้ที่สวยงาม ดอกฉาและดอกซิ่งที่งดงาม…มีหมดทุกอย่าง แต่ทุกอย่างมีเพียงแค่สองสามกระถาง
นางรู้สึกผิดหวัง ห้องหน่วนฝังนี้ ดูก็รู้ว่าเอาไว้ให้คนในสกุลสวีตกแต่งเรือน
“ปลูกดอกมะลิได้หรือไม่”
สะใภ้จี้ถิงรีบพูดว่า “ได้เจ้าค่ะ!”
“ปลูกสิบกว่าแปลงล่ะ”
สะใภ้จี้ถิงหน้าแดงขึ้นมาทันที “ไม่เคยปลูกเยอะขนาดนี้มาก่อนเจ้าค่ะ…เคยปลูกแค่สิบกว่ากระถาง”
“หากให้เจ้าปลูกสักสิบแปลง เจ้าสามารถปลูกได้หรือไม่”
“บ่าวต้องถามคนของบ่าวก่อนเจ้าค่ะ”
นางตอบกลับอย่าตรงไปตรงมา
ในเมื่อมาที่สวนดอกไม้หลังจวนแล้ว หากไม่ไปทักทายตานหยางเสี่ยนจู่มันคงจะเสียมารยาท
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปเรือนฮูหยินห้ากับหู่พั่ว
ฮูหยินห้าบ่นว่า “พี่สะใภ้สี่พึ่งจะมาตอนนี้?”
สืออีเหนียงแค่ยิ้ม
ฮูหยินห้ารีบให้คนยกชาเข้ามา
พวกนางสองคนนั่งคุยกันอยู่นาน เห็นว่าใกล้จะเที่ยงแล้วจึงพากันไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ได้ยินว่าสืออีเหนียงไปห้องหน่วนฝัง ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “อยากได้ดอกไม้หรือ”
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่ตัวเองอยากทำน้ำหอมดอกไม้ให้ไท่ฮูหยินฟัง “…ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือเจ้าค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้หรือไม่”
ไท่ฮูหยินสนับสนุนนาง “ดีเลย ต่อไปเราก็ไม่ต้องไปซื้อมาจากข้างนอก ไปเอาที่สืออีเหนียงก็พอ” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่รักและเอ็นดู ดูออกว่านางเห็นว่าเรื่องนี้เป็นแค่งานอดิเรกของสืออีเหนียง
เช่นนี้ สืออีเหนียงก็ซาบซึ้งมากพอแล้ว
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้นางจึงรีบพูดว่า “ข้าช่วยพี่สะใภ้สี่ด้วยอีกคน”
“เจ้าน่ะหรือ ดูแลตัวเองให้ดีก็ถือว่าช่วยแล้ว” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วตบที่มือของฮูหยินห้าเบาๆ
เจินเจี่ยเอ๋อร์ถามสืออีเหนียงเบาๆ “ทำธูปหอมเองเหมือนท่านป้าสองหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าฮูหยินสองทำธูปหอมเป็น นางยิ้มแล้วตอบว่า “จริงหรือ พี่สะใภ้สองทำธูปหอมเป็นด้วยหรือ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า “ตอนขึ้นปีใหม่เราก็ใช้ธูปหอมของท่านป้าสองเจ้าค่ะ”
หัวของสืออีเหนียงหมุนอย่างรวดเร็ว
ทำไมถึงลืมนางไปได้
ต้องไปพูดคุยกับฮูหยินสองสักวัน บางทีนางอาจจะมีเคล็ดลับอะไรสักอย่าง…
*****
หลัวเจิ้นซิ่งและคุณนายใหญ่เดินเข้ามา สืออีเหนียงเล่าเรื่องนี้ให้ไท่ฮูหยินฟังแล้ว คารวะไท่ฮูหยินเสร็จ พวกนางก็นั่งรอหลูหย่งกุ้ยอยู่ในห้องโถง
เพียงไม่นาน ป้าเถาก็พาหลูหย่งกุ้ยเข้ามา
เขาดูอายุราวสามสิบสี่สามสิบห้าปี รูปร่างสูงปานกลาง ผิวคล้ำ ดวงตาเป็นประกาย ท่าทีสุขุม สืออีเหนียงเห็นเขาก็รู้สึกดี
คำนับทุกคนเสร็จ เขาก็อธิบายว่า “เรามีร้านยาสมุนไพรอยู่ที่ประตูซีต้าเหมิน ต้องเก็บยาในช่วงเดือนเจ็ดเดือนแปด ดังนั้นข้าจึงมาไม่ทันขอรับ”
หลัวเจิ้นซิ่งและสืออีเหนียงหันมามองหน้ากัน พวกเขาไม่รู้ว่าหยวนเหนียงมีร้านยาสมุนไพร
หลูหย่งกุ้ยสายตาหม่นหมองลง เขายื่นห่อผ้าสีฟ้าที่นำมาด้วยให้สืออีเหนียง “นี่คือสมุดบัญชีที่ข้าช่วยคุณนายใหญ่ดูแลกิจการในช่วงสิบปีที่ผ่านมาขอรับ”
หู่พั่วรับมา
หลูหย่งกุ้ยรีบพูดเตือนเบาๆ “มันหนักมาก แม่นางระวังด้วย”
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้ดูแลหลูเจ้าค่ะ” นางออกแรงถือห่อผ้านั้นมาวางบนโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำที่อยู่ระหว่างหลัวเจิ้นซิ่งและสืออีเหนียง