ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 108 ของใช้ในเรือน (ปลาย)
ฮูหยินห้ารับรายการอาหารมายังไม่ทันได้ดู ยิ้มแล้วพูดว่า “ทำตามที่พี่สะใภ้สามจัดการไว้ก็พอแล้ว”
ฮูหยินสามยิ้มกว้าง
ฮูหยินห้าเดินเข้ามาจับมือสืออีเหนียง “หากพี่สะใภ้สี่ว่างก็ช่วยทำงานปักให้หลานสักสองสามชิ้นเถิด”
สืออีเหนียงยิ้มพลางมองท้องของนาง “ขอเพียงแค่เจ้าไม่รังเกียจฝีมือธรรมดาๆ ของข้า”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “แม้แต่ท่านแม่ที่มีความรู้กว้างขวางก็ยังคิดว่าพี่สะใภ้สี่ทำงานเย็บปักถักร้อยได้ดี และข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
ฮูหยินสามยิ้มแล้วถามว่า “น้องสะใภ้สี่ทำอะไรให้ท่านแม่หรือ ทำไมไม่เอามาให้ข้าดูเพื่อเปิดหูเปิดตาสักหน่อยเล่า”
นี่เป็นเสื้อซับในของไท่ฮูหยิน อย่าว่าแต่ทำไม่เสร็จเลย ต่อให้ทำเสร็จแล้วก็เอาออกมาอวดไม่ได้
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเพียงของเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงหรอก”
แต่ฮูหยินสามยังคงซักถาม เว่ยจื่อเปิดผ้าม่านเดินออกมาจากห้องด้านใน ยิ้มแล้วย่อคำนับฮูหยินทั้งสาม “ไท่ฮูหยินเชิญฮูหยินทุกท่านเข้าไปเจ้าค่ะ”
ทั้งสามหยุดพูดคุยหยอกล้อแล้วเดินเรียงกันเข้าไปคารวะไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินถามฮูหยินสามเรื่องการเซ่นไหว้ในวันที่หนึ่งเดือนสิบ
“ท่านแม่วางใจได้เจ้าค่ะ” ฮูหยินสามยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ทุกอย่างได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว วันที่หกก็แจกเสื้อกันหนาวให้บรรดาสาวใช้ได้เลย” จากนั้นก็พูดเชิงเกรงใจสืออีเหนียงว่า “ในจวนมีคนมากมาย เดือนเจ็ดนี้ก็ต้องเริ่มทำเสื้อกันหนาวแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าผู้ติดตามของน้องสะใภ้สี่มีเท่าไร ดังนั้นจึงไม่ได้ทำเสื้อกันหนาวให้สาวใช้ในเรือนเจ้า แต่ว่าข้าจะให้เงินชดเชยพวกเจ้า”
นางจะเอาเงินไปทำอะไร หรือว่าหากนางรับเงินมาแล้วก็ไม่ต้องทำเสื้อผ้าให้บรรดาสาวใช้อย่างนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้นนางเห็นว่าการแต่งตัวของสาวใช้และบรรดาท่านป้าทั้งหลายในจวนสวี นอกจากสาวใช้ระดับหนึ่งและคนที่มีหน้ามีตาอย่างป้าตู้ นอกนั้นต่างก็ได้สวมเสื้อผ้าเครื่องแบบ แต่เพราะเหตุใดสาวใช้และท่านป้าในเรือนของนางจึงได้เป็นข้อยกเว้น
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างไรพวกนางก็ต้องสวมใส่เสื้อผ้าอยู่แล้ว พี่สะใภ้สามไม่ต้องให้เงินชดใช้ข้าหรอก ให้ห้องเย็บปักทำเสื้อผ้าชดใช้ให้พวกนางก็พอแล้ว”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย “รีบทำให้ทันก่อนถึงปีใหม่ก็พอแล้ว”
“เจ้าค่ะ” เมื่อฮูหยินสามได้ยินดังนั้นก็รีบพยักหน้า
เมื่อกลับมาที่ห้องของตัวเองสืออีเหนียงก็เรียกป้าเถามาถามว่า “ตอนที่ข้าอยู่ที่จวนสกุลหลัว สาวใช้ใหญ่กับท่านป้าจะได้เสื้อผ้าสี่ชุดต่อปี ส่วนคนใช้ระดับอื่นจะได้สองชุดต่อปี ที่จวนสกุลสวีมีกฎเช่นไรหรือ”
ป้าเถายิ้มแล้วพูดว่า “สาวใช้ใหญ่กับท่านป้าทั้งหลายจะได้เสื้อผ้าแปดชุดต่อปี ส่วนคนใช้ระดับอื่นจะได้สี่ชุดต่อปี เนื่องจากว่ามีจำนวนคนเยอะ เสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิจะทำในฤดูหนาว ส่วนเสื้อผ้าฤดูร้อนจะทำให้ฤดูใบไม้ผลิ วันที่หกเดือนสามเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ วันที่หกเดือนห้าจะเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าฤดูร้อน วันที่หกเดือนเก้าจะเป็นมาใส่เสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วง วันที่หกเดือนสิบจะเป็นมาใส่เสื้อผ้าฤดูหนาว ทั้งหมดเป็นไปตามกฎของพระราชวัง แต่จะช้ากว่าในพระราชวังสองวันเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า ในใจรู้สึกซาบซึ้งที่ไท่ฮูหยินไม่ได้ให้ตัวเองรับผิดชอบเรื่องในจวนทั้งๆ ที่พึ่งเข้ามาใหม่ มิเช่นนั้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้อาจทำให้นางปวดหัวได้
ป้าเถาอธิบายกฎของจวนสวีให้นางฟังอีกหลายข้อ ว่ากันว่าโดยทั่วไปแล้วจะคล้ายกับในวัง เพียงแต่ว่าไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น มารยาทและพิธีการต่างๆ ก็เรียบง่ายมากขึ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “…ดังนั้นที่ฮองเฮาของพวกเราดูแลหกตำหนักก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเจ้าค่ะ”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันสืออีเหนียงก็ได้ทำงานปักไปด้วย ป้าเถาเห็นว่างานปักสีสันสดใสไม่เหมือนตัวตนของสืออีเหนียง จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินกำลังทำงานปักให้ผู้ใดอยู่หรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าแค่ทำของเล็กๆ น้อยๆ ให้ท่านแม่”
สายตาของป้าเถามีความสับสนเป็นอย่างมาก
เมื่อส่งป้าเถาออกไปแล้วสืออีเหนียงก็เรียกตงชิงเข้ามา
“…พรุ่งนี้ก็ต้องย้ายไปแล้ว ถึงจะมีตรงไหนที่ยังซ่อมไม่เสร็จก็ต้องอยู่ไปก่อนชั่วคราว” จากนั้นก็ให้หู่พั่วนำเงินห้าสิบตำลึงสุดท้ายให้กับนาง “เจ้าใช้อย่างประหยัดๆ หน่อยก็น่าจะพอ” คนที่มีความหวังเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากก็จะมีแรงฮึดสู้มากขึ้น พูดกับนางว่า “ท่านโหวได้ส่งพ่อบ้านจย่ากับว่านอี้จงไปดูที่ดินของพวกเรา เมื่อช่วงเวลานี้ผ่านไปทุกอย่างจะดีขึ้น”
ตงชิงยิ้มทั้งน้ำตาแล้วพูดว่า “เงินห้าสิบตำลึงนี้ก็เพียงพอสำหรับใช้หลายเดือนแล้วเจ้าค่ะ ท่านอย่าลืมสิว่าตอนนั้นพวกเรามีเงินเพียงสองตำลึงก็ยังผ่านมาได้ตั้งหนึ่งเดือน”
สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว”
ตงชิงกลับไปเก็บของ วันต่อมาซานหูและคนอื่นๆ ก็มาส่งนางออกจากจวน
เมื่อถึงกลางวันสืออีเหนียงก็ไปหาไท่ฮูหยินเพื่อทานอาหารกลางวัน ตอนบ่ายไท่ฮูหยินจะพาเจินเจี่ยเอ๋อร์กับจุนเกอไปหาฮูหยินสอง แต่สืออีเหนียงต้องทำงานปัก เมื่อตื่นจากนอนกลางวันก็เลยไม่ได้ไปหาไท่ฮูหยิน
เมื่อมีเรื่องต้องทำเวลาก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว หากไม่ใช่เพราะสวีลิ่งอี๋กลับมานางก็คงไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยามเซินแล้ว
สืออีเหนียงเรียกซย่าอีเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สวีลิ่งอี๋ ส่วนตัวเองเก็บเครื่องปักรอสวีลิ่งอี๋ออกมาจากห้องชำระ จากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยินด้วยกัน เมื่อสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ เลิกเรียนทุกคนก็พากันมาทานข้าวเย็นด้วยกัน จากนั้นก็พากันแยกย้ายไปดื่มชาที่ห้องโถง พูดคุยกันอยู่นานก่อนที่จะแยกย้ายกลับเรือน
ระหว่างทางสืออีเหนียงไม่พูดอะไรเลย เมื่อกลับถึงเรือนก็ชงชาให้สวีลิ่งอี๋แล้วไปปูเตียง จากนั้นก็เป่าตะเกียงแล้วเข้านอน
“ทำไมไม่อ่านหนังสือล่ะ” เขาถามสืออีเหนียงที่กำลังห่อตัวเองไว้ในผ้าห่ม
“วันนี้ทำงานปักมาทั้งวันจึงเหนื่อยนิดหน่อยเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ให้ดวงตาได้พักผ่อนเสียบ้าง”
สวีลิ่งอี๋พูดเพียงว่า “อ้อ” รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้วจึงได้หลับตาลง
เมื่อผ่านไปสักพักใหญ่เขาก็รู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างๆ หายใจสม่ำเสมอ
สวีลิ่งอี๋อาศัยแสงจันทร์มองคนที่อยู่ข้างๆ จึงได้รู้ว่าสืออีเหนียงหลับไปแล้ว
“ช่างเหมือนเด็กเสียจริง” เขาอดยิ้มไม่ได้
******
ผ่านไปสองวันพ่อบ้านจย่ากลับมาแล้ว พ่อบ้านไป๋พาเขามาพบสืออีเหนียง สืออีเหนียงได้เรียกว่านอี้จงมายืนรออยู่ข้างๆ หลังจากที่ได้พบกันแล้ว ว่านอี้จงกับพ่อบ้านจย่าก็พากันไปที่หว่านผิง
คุณนายใหญ่มาหา
“…เราตกลงกันได้แล้วว่าทุกปีจะให้เงินอุปการะยี่สิบตำลึงแก่อี๋เหนียงทั้งสอง ให้นางบวชอยู่ที่วัดฉือหยวนเพื่อฝึกบำเพ็ญเพียร”
สืออีเหนียงอยากจะถามถึงที่มาที่ไปของเงินนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณนายใหญ่และคนอื่นๆ รู้เกี่ยวกับเงินเหล่านี้หรือไม่…หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป
คุณนายใหญ่เห็นว่าสืออีเหนียงเหมือนมีบางอย่างที่อยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา คิดว่านางเป็นห่วงเรื่องเงินค่าบูชาของทุกปี จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ต้องขอบคุณน้องเขยห้าเป็นอย่างมาก ตอนแรกไต้ซือจี้หนิงบอกว่าต้องจ่ายเงินอุปการะอี๋เหนียงทั้งสองคนละหนึ่งร้อยตำลึงต่อปี หากไม่ใช่เพราะน้องเขยห้าต่อรองกับนาง ต่อให้ไม่ต้องจ่ายเงินอุปการะให้คนละหนึ่งร้อยตำลึงต่อปี ก็ต้องจ่ายให้คนละห้าสิบตำลึง”
“พี่เขยห้าเป็นคนฉลาดและพูดเก่งอยู่เสมอ” สืออีเหนียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว” คุณนายใหญ่เอ่ยถึงเฉียนหมิงด้วยความชื่นชม “ถือว่าอู่เหนียงนั้นโชคดี หวังว่าอีกสองปีข้างหน้าน้องเขยห้าจะสอบจอหงวนติด มีหน้ามีตากับเขาบ้าง”
สืออีเหนียงถามถึงนายหญิงใหญ่ “ท่านแม่รู้เรื่องนี้หรือไม่เจ้าคะ”
“พวกเรายังคงไม่บอกนางเรื่องนี้”
“แล้วทางด้านสือเหนียง…”
“พี่ชายใหญ่เจ้าบอกว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหลบได้ตลอดชีวิต เมื่อวานจึงได้ไปจวนหวังแต่เช้าเพื่อไปบอกกับสือเหนียง” คุณนายใหญ่ถอนหายใจ “สือเหนียงไม่ร้องไห้และไม่โวยวาย ทำท่าทางราวกับว่ารู้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่านางมองพี่ชายใหญ่ของเจ้าด้วยแววตาที่มืดมนเป็นอย่างมาก ตอนที่พี่ชายใหญ่ของเจ้ากลับมายังกลัวว่านับแต่นี้ต่อไปนางคงจะเกลียดพวกเราแล้ว…”
สืออีเหนียงยิ้มพลางเล่าเรื่องทั่วไปในครอบครัวกับคุณนายใหญ่ เห็นว่าฟ้าใกล้มืดแล้วคุณนายใหญ่จึงได้ลุกขึ้นแล้วกล่าวลา“…ช่วงนี้ข้าไม่ควรออกจากจวนนาน”
นางพาคุณนายใหญ่ไปคารวะไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ไปส่งคุณนายใหญ่ที่ประตูฉุยฮวาด้วยตัวเอง “พาซิวเกอมาเล่นที่นี่บ่อยๆ พี่น้องสองคนจะได้คุ้นเคยกัน”
คุณนายใหญ่พยักหน้า “หากมีเวลาว่างข้าจะพาเขามาเล่นกับจุนเกอ”
หลังจากส่งคุณนายใหญ่ไปแล้วสืออีเหนียงก็ห่อเสื้อซับในที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วยผ้าไหมสีขาว จากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินมองรอยปักที่ดูหนาแน่น พอใจเป็นอย่างมาก ให้ป้าตู้ไปรับมา เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมาก็กินข้าวที่เรือนไท่ฮูหยินก่อนแล้วค่อยกลับเรือน
สวีลิ่งอี๋ถามสืออีเหนียง “พ่อบ้านจย่ากลับมาแล้วหรือ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับว่า “เจ้าค่ะ”
หลังจากคืนนั้นสวีลิ่งอี๋รู้สึกว่านางดูไม่ค่อยร่าเริง
สวีลิ่งอี๋แอบถอนหายใจ
ผ่านไปอีกสองวันว่านอี้จงก็กลับมารายงานว่า “…พ่อบ้านจย่าบอกว่าการปลูกแตงโมในดินทรายเป็นวิธีที่ดีที่สุด ส่วนที่ลาดชันควรจะปลูกผลไม้ ผู้ดูแลที่ดินทั้งสองคนในจวนสวีไม่มีใครคุ้นเคยกับการปลูกผลไม้เหล่านี้ แต่ว่าช่วยหาคนให้ได้จึงให้บ่าวมารายงานฮูหยิน หากหาได้แล้วก็อาจจะจ้างมาดูแลเรื่องนี้หรือจะส่งคนไปเรียนรู้ก็ได้ขอรับ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” สืออีเหนียงถามว่านอี้จง
“บ่าวคิดว่าจ้างให้มาดูแลที่ดินเลยดีที่สุดขอรับ” น้ำเสียงของเขาฟังดูหดหู่เล็กน้อย “หากจะส่งคนไปเรียนเกรงว่าจะเรียนไม่สำเร็จในระยะเวลาสั้นๆ ขอรับ”
กฎของต้าโจว แม้แต่จวนขุนนางอย่างสกุลสวีก็มีทาสได้เพียงยี่สิบครอบครัวเท่านั้น แต่สกุลหลัวไม่ได้รับสิทธิ์นี้ ทว่าคนอย่างว่านอี้จงเป็นเพราะเขาจนไม่มีที่ดิน สกุลหลัวจึงได้จ้างพวกเขามาทำงานด้วยเงินเดือนที่ต่ำมากในแต่ละปี ถ้าหากในครอบครัวมีงานสมรสหรือมีใครป่วย ค่าแรงเช่นนี้ก็ไม่พอที่จะใช้จ่าย จึงจะต้องไปยืมเงินจากเถ้าแก่ ไปๆ มาๆ ยิ่งยืมเงินมากเท่าไร เงินที่ได้จากการทำงานในแต่ละปีก็ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ เมื่อเวลาผ่านไปเถ้าแก่ก็ได้กลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด แล้วยังมีคำกล่าวที่ว่า ‘บุตรต้อ’ชำระหนี้ให้บิดา’ คนเหล่านี้จึงเป็นคนกตัญญูที่ไม่สามารถเป็นอิสระได้
ถ้าสืออีเหนียงต้องจ้างคนมาดูแลที่ดินของตัวเอง พวกเขาคงไม่มีแม้แต่เงินจะกินข้าวแล้ว จะไม่ให้เขาท้อแท้ได้เช่นไร
“เจ้ามีบุตรชายสามคนมิใช่หรือ” หากแม้แต่ผู้ติดตามของตัวเองก็ยังดูแลไม่ได้ แล้วคนของหยวนเหนียงจะมาอยู่กับตัวเองได้อย่างไร สืออีเหนียงขี่หลังเสือแล้วไม่อาจลงได้ อีกอย่างนางก็ไม่อยากสูญเสียผู้ติดตามของตัวเอง พวกเขาเดินทางหลายพันลี้จากอวี๋หังมาถึงเมืองหลวงก็เพื่อหาข้าวกินเท่านั้น
ว่านอี้จงแววตาเป็นประกาย “ฮูหยินวางใจได้เลยขอรับ หากพวกเราสามารถหาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการปลูกแตงโมและผลไม้ต่างๆ ได้ พวกเราจะตั้งใจเรียนรู้อย่างแน่นอนขอรับ”
“เกรงว่ามันจะไม่ง่ายเช่นนั้น” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เจ้าไปแย่งชามข้าวของคนอื่น คนอื่นจะยอมให้ชามข้าวกับพวกเจ้าง่ายๆ ได้อย่างไร”
ว่านอี้จงยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์เป็นเพียงผู้ชี้แนะแนวทาง การฝึกฝนบ่มสร้างนั้นอยู่ที่ตนเองขอรับ”
ทัศนคตินี้ไม่เลวเลยทีเดียว
สืออีเหนียงยกยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็กำชับว่านอี้จงอย่างละเอียดว่า “เจ้าไปถามคนในตลาดว่าผลไม้เหล่านั้นราคากิโลกรัมละเท่าไร พวกเราเองก็มีตัวเลขในใจอยู่แล้ว”
ว่านอี้จงตอบรับแล้วออกไป
เมื่อถึงตอนเย็นสวีลิ่งอี๋ก็ได้กลับมาแล้ว รู้สึกว่าสืออีเหนียงอารมณ์ดีขึ้นมากจึงถามนางว่า “เจ้าจะกลับไปอยู่กี่วัน”
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยได้สติกลับมา
อีกสองวันก็จะเป็นวันที่สิบเดือนสิบ
นี่นางแต่งเข้าสกุลสวีมาได้หนึ่งเดือนแล้วหรือนี่
บอกตามตรงนางไม่อยากกลับจวนเลย
“ข้าขอคิดดูก่อน พรุ่งนี้จึงจะบอกท่าน” นางจะไปถามป้าเถาว่าฮูหยินสาม หยวนเหนียงและฮูหยินห้ากลับจวนกันกี่วัน
สวีลิ่งอี๋นึกถึงการกระทำของนางที่รอบคอบมาโดยตลอด รู้ว่านางต้องไปถามป้าเถาว่าปกติต้องกลับไปอยู่กี่วันจึงจะเหมาะสม จึงพูดขึ้นมาว่า “ข้าจะไปพูดกับไท่ฮูหยินให้เอง!”
ไม่ได้เด็ดขาด!
สืออีเหนียงคิดในใจ
มีแม่สามีคนไหนที่ชอบให้ลูกชายปกป้องลูกสะใภ้ต่อหน้าตัวเอง…อย่างน้อยสกุลหลัวก็ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้
นางรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่เป็นคนใจกว้างเสมอมา ข้าไม่ได้กลัวที่จะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าท่านแม่ เพียงแต่ว่าข้ายังคิดไม่ออกจริงๆ เจ้าค่ะ” กลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะถามซักไซ้ จึงยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่มาหา บอกว่าพี่เขยห้าได้ไปคุยกับไต้ซือจี้หนิงแล้ว อี๋เหนียงทั้งสองจะได้รับเงินอุปการะคนละยี่สิบตำลึงต่อปี…”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาจึงอดครุ่นคิดไม่ได้
นางยังคิดไม่ออกจริงๆ หรือว่าไม่อยากกลับไปกันแน่