ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 106 ของใช้ในเรือน (ต้น)
เพราะว่าวันที่ยี่สิบสองเดือนสิบเป็นกำหนดวันแต่งงานของหลัวเจิ้นเซิง หากออกเดินทางช้ากว่าวันที่ยี่สิบเดือนเก้าเกรงว่าจะสายเกินไป เรื่องในจวนมีหลัวเจิ้นซิ่งคอยจัดการ ส่วนเรื่องนอกจวนมีเฉียนหมิงคอยจัดการ แม้ว่านายหญิงใหญ่จะยังนอนป่วยอยู่บนเตียง แต่นายท่านใหญ่ก็ยังตัดสินใจจะกลับอวี๋หังในวันที่ยี่สิบ หลัวเจิ้นต๋าบุตรชายของอี๋เหนียงสามจะกลับไปพร้อมกับเขาด้วย
สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงไปส่งนายท่านใหญ่
เพราะว่าจะกลับไปจัดงานแต่งงาน จวนสวีนอกจากจะมอบเงินให้นายท่านใหญ่หนึ่งร้อยตำลึงสำหรับการจัดงานแล้วยังมอบเงินอีกสามร้อยตำลึงเพื่อเป็นค่าสินสอด สวีลิ่งอี๋ได้มอบเงินอีกหนึ่งร้อยตำลึงเป็นของขวัญต้อนรับให้แก่เจ้าสาว สวีลิ่งหนิงกับสวีลิ่งควนได้ให้ของขวัญต้อนรับคนละหกสิบตำลึง ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสอง ฮูหยินสาม และฮูหยินห้าได้ส่งเครื่องประดับมาให้ ส่วนสืออีเหนียงมอบเครื่องประดับให้แก่เจ้าสาวมากกว่าไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ
เมื่อกลับมาถึงเรือน หู่พั่วกอดหีบเงินแล้วยิ้มเจื่อนๆ “คุณหนู มีเพียงแค่ห้าสิบตำลึงเองเจ้าค่ะ อีกไม่กี่วันก็ต้องเอาไปใส่หีบให้คุณหนูเจ็ดแล้ว”
สืออีเหนียงกังวลเป็นอย่างมาก
นายหญิงใหญ่ไม่ได้ให้เงินนางแม้แต่ตำลึงเดียว วันที่มาสู่ขอก็ได้เก็บเครื่องประดับราคาแพงมากมายกลับไป นางจึงทำได้แค่มองไม่อาจแตะต้องได้
นางนึกถึงเรื่องที่อี๋เหนียงห้าบิดสร้อยข้อมือทองคำแล้วเอาไปจำนำ พูดกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจังว่า “หากยังไม่พอ พวกเราเอาเครื่องประดับไปจำนำดีหรือไม่”
หู่พั่วหน้าซีดเผือก “หากมีคนรู้เข้าต้องแย่แน่ๆ เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงถามถึงหยางฮุยจู่กับสะใภ้เหวยลู่
หู่พั่วรีบพูดขึ้นมาว่า “…หยางฮูยจู่ผู้นั้นตอนนี้ทำหน้าที่ส่งผ้าเช็ดหน้าและดอกมรกตให้แก่สาวใช้ในจวน ได้ยินมาว่ากานเหล่าเฉวียนคนของฮูหยินสามมาหาเขา อยากให้เขาช่วยดูแลเรื่องในครัว แต่เขาไม่รับปาก เขาและภรรยาจึงได้ทะเลาะกัน เขาตบภรรยาไปสองที หลายวันมานี้ภรรยาของเขาตะโกนว่าอยากตายอยู่ทุกวัน คนในเรือนต่างก็พากันรอดูเรื่องสนุกอยู่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมเขาจึงไม่ตอบตกลง”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูดต่อว่า “บ่าวเคยลองถามดู คนในเรือนต่างพากันบอกว่าหยางฮุยจู่เป็นคนพูดน้อยแต่การกระทำกลับมั่นคงมาก ดังนั้นทุกคนจึงมักจะชอบให้เขาช่วยเหลือ”
สืออีเหนียงถามถึงสะใภ้เหวยลู่ “นางเป็นอย่างไรบ้าง”
หู่พั่วรีบพูดว่า “ได้ยินมาว่านางสนิทกับแม่นมของคุณชายน้อยเป็นอย่างมาก มีข่าวลือออกมาว่าอีกสองวันจะได้ไปดูแลจัดการห้องซักล้าง ป้าไช่ที่ก่อนหน้านี้เป็นคนทำหน้าที่นี้ได้ร้อนใจเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ”
“เจ้าแค่จับตาดูก็พอแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “อาศัยโอกาสนี้ในการดูนิสัยของแต่ละคนว่าเป็นคนอย่างไร ในภายภาคหน้าเราจะได้รู้ว่าใครที่เหมาะสมจะใช้งานในด้านไหน”
หู่พั่วพยักหน้า ป้าเถาเข้ามาพอดี
“…รายการอาหารที่ฮูหยินห้าส่งไปให้ฮูหยินสามเป็นอาหารจานเล็กธรรมดาแต่ก็มีราคาแพงบ้างเป็นบางอย่าง ถ้าถัวเฉลี่ยกันแล้วราคาจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงเจ้าค่ะ” หยิบรายการอาหารมาให้สืออีเหนียงดู “บ่าวคัดลอกมาหนึ่งชุด ท่านลองดูสิว่าใช้ได้หรือไม่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงไม่ได้รับมา ถามนางว่า “ต้องใช้เงินประมาณเท่าไร”
ป้าเถาพูดว่า “ประมาณหนึ่งร้อยตำลึง อย่างไรเสียในตอนนี้ฮูหยินห้าคนเดียวก็เหมือนทานสองคนเพราะต้องทานเพื่อบำรุงบุตรในครรภ์ด้วยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า “เช่นนั้นก็เอารายการอาหารราคาแปดสิบตำลึงไปรายงานกับฮูหยินสาม”
ป้าเถามีสีหน้าลำบากใจ “ดูเหมือนว่าจะน้อยเกินไป ในจวนนี้นอกจากไท่ฮูหยินกับท่านโหว ท่านก็ใหญ่ที่สุดแล้วนะเจ้าคะ”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าป้าเถาหัวแข็งเกินไป บางครั้งก็เป็นเรื่องดี บางครั้งก็ไม่ดี “ใครจะไปกินพระกระโดดกำแพงได้ทุกวันกันล่ะ”
ป้าเถารู้ว่านางกำลังแสดงท่าทีอ่อนแอ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าที่นางพูดก็มีเหตุผล จึงยิ้มย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไปเขียนรายการอาหารใหม่เพื่อนำไปรายงานฮูหยินสาม
จากนั้นว่านอี้จงก็กลับมารายงานนาง “ที่ดินห้าร้อยหมู่เป็นพื้นที่ลาดชัน ที่ดินอีกสามร้อยหมู่เป็นพื้นดินทราย ที่ดินทั้งสองแปลงอยู่ห่างกันไม่เกินหนึ่งร้อยฟุตขอรับ”
“ที่ลาดชัน? ดินทราย?” สืออีเหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก “แล้วยังห่างกันไม่เกินหนึ่งร้อยฟุต?”
ว่านอี้จงพยักหน้า “ตรงกลางเป็นที่ดินของสกุลหลิว บ่าวได้ถามผู้ดูแลที่ดินคนเดิม ทุ่งทรายนี้เดิมทีปลูกถั่วลิสงและที่ลาดชันปลูกพุทรา” พูดไปสีหน้าของเขาก็ดูไม่สบายใจเล็กน้อย “พวกเราได้ปลูกนาข้าวที่นั่น นี่เป็นครั้งแรกที่บ่าวได้เห็นถั่วลิสงและพุทราขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อน
อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่หลิวหยวนรุ่ยกับฉางจิ่วเหอเกรงว่าจะพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเช่นกันกระมัง
หลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ สืออีเหนียงก็พูดขึ้นมาว่า “หากข้าให้เจ้าไปจัดการ เจ้ามีความมั่นใจว่าจะจัดการได้หรือไม่”
ว่านอี้จงไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ เพียงแต่พูดว่า “บ่าวจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ”
สืออีเหนียงไม่เคยได้สัมผัสกับงานเกษตรมาก่อน ตอนนี้ก็กลุ้มใจจนคิดไม่ตกจึงเรียกป้าเถามาปรึกษา“ที่จวนมีใครทำนาเป็นหรือไม่”
“เรื่องไร่นาเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลเรือนนอกเจ้าค่ะ”
“ในจวนมีห้องหนังสือกี่ห้อง”
“เรือนนอกมีห้องหนังสือขนาดใหญ่หนึ่งห้อง สวนดอกไม้หลังจวนมีห้องหนังสืออยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น ห้องหนังสือเล็กในเรือนของท่าน เรือนคุณชายสามกับเรือนคุณชายห้าก็มีเรือนละหนึ่งห้อง คุณชายน้อยใหญ่กับคุณชายน้อยสองต่างก็มีคนละหนึ่งห้องเจ้าค่ะ”
“ช่วยข้าดูหน่อยว่ามีหนังสือเกี่ยวกับการทำเกษตรหรือไม่” แล้วพูดต่อว่า “หนังสือที่คล้ายกับหนังสือสิ่งประดิษฐ์ธรรมชาติสร้าง”
ป้าเถาพยักหน้า ถามบ่าวรับใช้ที่ดูแลห้องหนังสือสองสามคนแต่ก็หาไม่เจอ บ่าวรับใช้คนหนึ่งพูดว่า “เรื่องการทำเกษตรจะมีค่าพอที่จะเขียนออกมาเป็นหนังสือได้อย่างไรขอรับ”
สืออีเหนียงทำได้เพียงแต่กำชับว่านอี้จงว่า “เจ้าลองไปดูบริเวณรอบๆ ดูว่าคนแถวนั้นปลูกอะไรกันบ้าง การเก็บเกี่ยวผลผลิตเป็นอย่างไร”
สีหน้าของว่านอี้จงดูมีความลังเลเล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ หากช่วยกันคิด ไม่แน่อาจมีทางออก”
ว่านอี้จงสังเกตสีหน้าของสืออีเหนียงอย่างระมัดระวังแล้วพูดขึ้นมาว่า “บ่าวได้ยินมาว่าพื้นที่ทรายและที่ลาดก็เป็นของสกุลหลิว นายท่านใหญ่ของสกุลหลิวเคยเป็นขุนนางมาก่อนจึงไม่ต้องจ่ายภาษีที่ดิน แต่ปีที่แล้วนายท่านใหญ่ได้เสียชีวิต ผลผลิตที่ได้จากพื้นที่ทรายกับที่ลาดชันไม่พอจ่ายภาษีที่ดิน ดังนั้นสกุลหลิวจึงได้แบ่งขายที่ดินทั้งสองแปลงขอรับ”
สืออีเหนียงเดาได้ว่าการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากที่ดินทั้งสองแปลงคงจะไม่ค่อยดีนัก ถึงแม้ว่าจะโชคร้ายถึงเพียงนี้ แต่โชคดีที่นางไม่ใช่คนเดินหนีปัญหา
“เจ้าเคยปลูกข้าวมาก่อน ในพื้นที่เดียวกัน บางคนปลูกข้าวได้แปดสิบชั่ง บางคนปลูกได้หนึ่งร้อยชั่ง” นางมองว่านอี้จงแล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ว่านอี้จงหน้าชา ก้มหน้าแล้วพูดว่า “บ่าวจะลองไปถามพื้นที่ใกล้เคียงเดี๋ยวนี้ขอรับ”
สืออีเหนียงมีสีหน้าพึงพอใจ
ว่านอี้จงหน้าแดงแล้วรีบเดินออกไป
วันนั้นสืออีเหนียงเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ บางครั้งก็มีเหม่อลอยไปบ้าง
ระหว่างทางที่กลับมาจากทานข้าวที่เรือนไท่ฮูหยิน สวีลิ่งอี๋ได้ถามนางว่า “อาการป่วยของแม่ยายดีขึ้นหรือไม่”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถามถึงเรื่องนี้ ยิ้มแล้วตอบว่า “ยังเลยเจ้าค่ะ วันนี้ให้หู่พั่วไปดู บอกว่านางทานโจ๊กได้แล้ว”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร
ตกกลางคืนสืออีเหนียงเป่าตะเกียงแล้วนอนลง ทันใดนั้นสวีลิ่งอี๋ก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าเห็นว่าเจ้ามีสีหน้าเป็นกังวล เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองฝืนทำแล้วจะทำสำเร็จ
นางเล่าเรื่องที่ดินสองแปลงให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋พูดแค่ว่า “อ้อ” แล้วก็นอนลง
เมื่อสืออีเหนียงได้ระบายออกมาก็อารมณ์ดีขึ้น นางจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว
ใครจะไปรู้ว่าในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่สวีลิ่งอี๋ออกไปได้ไม่นาน พ่อบ้านไป๋ก็มาขอพบ
สืออีเหนียงตกใจ
มีเรื่องอันใด ทำไมพ่อบ้านไป๋จึงต้องการพบนาง
ในใจแอบรู้สึกว่าต้องเป็นสวีลิ่งอี๋ที่ไปพูดอะไรบางอย่างกับเขาแน่ๆ
นางเชิญพ่อบ้านไป๋มานั่งที่ห้องโถง
พ่อบ้านไป๋ได้รับคำสั่งจากสวีลิ่งอี๋ให้มาจัดการเรื่องที่ดินให้นางจริงๆ ด้วย “…ในจวนของเรามีพ่อบ้านจย่าที่ดูแลเรื่องไร่นาโดยเฉพาะ ตอนนี้เขาไปเทียนจินเพื่อเก็บค่าเช่าและจะกลับมาในอีกสองวัน เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะส่งเขาไปดูที่ดินทั้งสองแปลงของท่านด้วยตัวเองแล้วค่อยปรึกษากับท่านว่าจะปลูกอะไรดีขอรับ”
สืออีเหนียงยกชามาให้พอพูดคุยกันเสร็จก็ส่งพ่อบ้านไป๋กลับไปอย่างเกรงใจ นางอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที
แม้ว่าที่ดินทั้งสองแปลงนี้จะไม่ดีนัก แต่อย่างไรก็เป็นของตัวเอง หามีการเก็บเกี่ยวที่ดี อย่าว่าแต่เลี้ยงคนในเรือนได้ ตัวเองก็จะไม่ต้องลำบากด้วย
ตอนนี้นางขัดสนเรื่องเงินเป็นอย่างมาก
หู่พั่วเองก็ดีใจเช่นกัน กระโดดโลดเต้นแล้วบอกนางว่า “ฮูหยิน อีกสักพักก็จะยามเฉินแล้วเจ้าค่ะ”
ควรจะไปคารวะไท่ฮูหยินได้แล้ว
ช่วงนี้สืออีเหนียงมักจะไปหาไท่ฮูหยินตอนเกือบยามเฉิน นางได้นำบัญชีรายชื่อของคนที่ทำงานในเรือนหยวนเหนียงและคนที่ย้ายมาทำงานในเรือนของตนมาด้วย
เมื่อมาถึงเรือนไท่ฮูหยินก็เห็นว่าฮูหยินสามกับฮูหยินห้ายังไม่มา
ป้าตู้เชิญนางเข้าไป
สืออีเหนียงปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “ข้ารออยู่ตรงนี้จะดีกว่า”
ใครจะอยากไปเจอคนที่สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงกัน
ป้าตู้พยักหน้าเล็กน้อย รู้สึกว่าสืออีเหนียงเป็นคนรู้จักระเบียบวินัย จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว นางนอนไม่ค่อยหลับจึงตื่นนอนนานแล้ว บ่าวจึงตั้งใจเชิญท่านเข้าไปเจ้าค่ะ”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังเช่นนั้นจึงได้เดินตามป้าตู้เข้าไปในเรือน ไท่ฮูหยินกำลังเอนหลังดื่มชาพิงหมอนใบใหญ่ เมื่อเห็นสืออีเหนียงก็ได้กำชับเว่ยจื่อ “ไปเอานมแพะมาให้ฮูหยินสี่หนึ่งถ้วย”
เว่ยจื่อตอบรับแล้วไปยกนมแพะมา
สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณไท่ฮูหยิน อดทนต่อกลิ่นคาวแล้วดื่มมันลงไป
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “คนทางใต้เช่นพวกเจ้าคงจะไม่คุ้นชินกับสิ่งนี้ นมแพะนั้นช่วยบำรุงร่างกาย” จากนั้นก็กำชับป้าตู้ “ต่อไปนี้นำไปส่งให้นางวันละถ้วยทุกเช้า”
ป้าตู้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
สืออีเหนียงหยิบสมุดบัญชีรายชื่อยื่นให้ไท่ฮูหยิน “ท่านช่วยดูหน่อยว่าเหมาะสมหรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นตัวอักษรเหล่านั้นก็ตกใจอยู่เล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “ลายมือไม่เลวเลยทีเดียว”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อก่อนอาจารย์มักจะบอกว่ายังไม่สวยพอ คิดไม่ถึงว่าจะได้รับคำชมจากท่านแม่”
“เจ้าเป็นคนเขียนอย่างนั้นหรือ!” ไท่ฮูหยินประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ยังเขียนได้ไม่ดีพอเจ้าค่ะ ต่อไปจะหาเวลาว่างฝึกฝนให้มากยิ่งขึ้น”
ไท่ฮูหยินเงียบไปครู่ใหญ่ ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าช่วยทำเสื้อซับในให้ข้าหน่อยเถิด”
ตอนนี้ถึงตาสืออีเหนียงประหลาดใจบ้าง แต่ก็รู้สึกดีใจ
ทำเสื้อซับใน…
หรือมันหมายความว่าแม่สามีได้ยอมรับในตัวลูกสะใภ้อย่างนางแล้ว
นางยิ้มตอบรับ ใช้มือวัดขนาดให้ไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ถามว่าปกติชอบใช้ผ้าอะไรแล้วจึงให้หู่พั่วไปรับวัสดุมาจากคลัง จากนั้นก็ไปที่ห้องตัดเสื้อเพื่อนำผ้าไปรีด
เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมาก็อดประหลาดใจไม่ได้ “เจ้ากำลังทำสิ่งใด”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเรียกชุนมั่วเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา “ข้าจะทำของเล็กๆ น้อยๆ ให้ท่านแม่เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋มองหน้านางแล้วพูดเพียงว่า “อ้อ” จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องชำระ
ทางด้านไท่ฮูหยินได้กำชับป้าตู้ว่า “ไปหารองเท้าสองคู่ที่ปักลายอักษร ‘ฝู’ มา”
ป้าตู้ จื่อเวย เหยาหวงช่วยกันหาในหีบที่ห้องปีกอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะหาเจอ
ไท่ฮูหยินลองใส่แล้วเดินไปรอบๆ “พอดีเป็นอย่างมาก”
ป้าตู้ปิดปากหัวเราะ “ท่านไม่ได้บอกว่ารองเท้าคู่นี้สีฉูดฉาดไปหรือเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ข้าอายุมากแล้ว การทำอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ ถือเป็นเรื่องปกติ”
ป้าตู้อดหัวเราะไม่ได้