ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 100 ออกบวช (ต้น)
ตัวเองไม่เคยเจอไต้ซือจี้หนิงท่านนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องมิตรภาพ ใครกันขอร้องให้นางมาหาตัวเอง จะว่าไปแล้วคนที่ตัวเองรู้จักนั้นก็มีไม่เยอะ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ใจนางก็เต้นแรง เหงื่อออกมือกะทันหัน
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าไท่ฮูหยินนางจึงยิ้มด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วเดินตามไต้ซือจี้หนิงออกจากเรือนหลักของไท่ฮูหยินไปที่ห้องปีกทิศตะวันออกที่อยู่ข้างๆ
สาวใช้ยกชามาวางให้ทั้งสอง ไต้ซือจี้หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสี่ ไม่ทราบว่าท่านรู้จักหญิงที่มีนามว่าต้วนซวงอิ่งและหยวนเสวี่ยอีหรือไม่”
อี๋เหนียงใหญ่กับอี๋เหนียงสอง!
แม้ว่าจะพอคาดเดาได้เล็กน้อย แต่เมื่อได้รับการยืนยันเช่นนี้สืออีเหนียงก็ยังคงตกใจเป็นอย่างมาก
คิดไม่ถึงว่าพวกนางเคยมีชื่อที่ไพเราะเช่นนี้…แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อไต้ซือจี้หนิงมาหาตัวเองถึงเรือนไท่ฮูหยินแล้ว ทั้งยังขอคุยเป็นการส่วนตัวต่อหน้าทุกคน ซ้ำยังถามอย่างเปิดเผยว่ารู้จักอี๋เหนียงสองท่านนี้หรือไม่ คาดว่าคงจะเตรียมการไว้นานแล้ว
นางยิ้มเล็กน้อย “อี๋เหนียงใหญ่กับอี๋เหนียงสองของข้าท่านหนึ่งแซ่ต้วนอีกท่านหนึ่งแซ่หยวน ไม่รู้ว่าจะใช่สองคนที่ท่านพูดถึงหรือไม่”
“เช่นนั้นก็ถูกแล้ว” ไต้ซือจี้หนิงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “อี๋เหนียงใหญ่บอกว่าฮูหยินเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ให้ข้ามาหาท่านบอกว่าท่านจะต้องช่วยพวกนางอย่างแน่นอน”
หลังจากที่หลอกลวงคนอื่น รวมทั้งตัวเองด้วย…อี๋เหนียงทั้งสองมั่นใจได้อย่างไรว่าตัวเองจะช่วยพวกนาง
สืออีเหนียงมองไต้ซือจี้หนิงด้วยรอยยิ้มไม่ได้พูดอะไร
ไต้ซือจี้หนิงไม่ได้แปลกใจกับท่าทีของนางเลยแม้แต่น้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “อี๋เหนียงทั้งสองบอกว่าพวกเขานับถือพระพุทธศาสนามาหลายปีแล้ว อยากจะออกบวชเพื่ออุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนาอย่างจริงใจ แต่ว่านายหญิงใหญ่กลัวว่าคนจะเอาไปนินทา คิดว่าอี๋เหนียงทั้งสองท่านออกบวชเพราะทนไม่ได้ที่ถูกนายหญิงใหญ่ข่มเหง ดังนั้นจึงไม่ตอบตกลง ครั้งนี้หลังจากที่มาถึงเยี่ยนจิงพร้อมกับคนในจวน ยิ่งได้เห็นความเป็นไปของสัตว์โลก ดังนั้นจึงอยากจะออกจากเรือนแล้วมาอยู่ที่วัดของข้า ข้าไม่รู้ว่าฮูหยินรู้จักวัดฉือหยวนหรือไม่ ในเยี่ยนจิงนั้นแม้ว่าวัดฉือหยวนของข้าจะไม่สามารถเทียบกับวัดฮู่กั๋ว อารามเมฆขาวและสำนักอื่นๆ ในลัทธิเต๋าที่ได้รับการดูแลโดยพระภิกษุลู่ซือ แต่ว่าก็ใช่ว่าจะไร้ชื่อเสียง” เมื่อพูดถึงตรงนี้ใบหน้าของนางก็เผยให้เห็นความภาคภูมิใจ “อี๋เหนียงทั้งสองรู้ตัวอักษร รู้จักขอบเขต พูดจานุ่มนวลอ่อนหวานสง่างาม หากมาอยู่ที่วัดข้าไม่เพียงแต่จะมีสมาธิในการฝึกฝนพระพุทธศาสนา ซ้ำยังจะฝึกฝนได้อย่างเชี่ยวชาญอีกด้วย ตอนนี้ฮูหยินย้ายมาอยู่ที่เยี่ยนจิง แต่อี๋เหนียงทั้งสองไม่คุ้นชินกับสถานที่และคนในท้องถิ่น เหตุใดจึงไม่อำนวยความสะดวกให้อี๋เหนียงทั้งสองเล่า”
แผนของอี๋เหนียงทั้งสองช่างแยบยลเสียจริง!
แค่เพียงรู้ตัวอักษร รู้จักขอบเขต พูดจานุ่มนวลสง่างามเกรงว่าคงจะไม่สามารถเข้าตาไต้ซือท่านนี้ได้
“ไม่ทราบว่าอี๋เหนียงทั้งสองบริจาคเงินให้วัดไปแล้วเท่าไร”
สืออีเหนียงถามพลางมองไต้ซือจี้หนิง
จี้หนิงหัวเราะ “ฮูหยินเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ด้วย พวกนางก็แค่บริจาคไปห้าพันตำลึง”
สืออีเหนียงใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงท่าทีประหลาดใจ
จี้หนิงผู้นั้นยิ้มแล้วพูดว่า “เงินพวกนี้คงไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับฮูหยินของหย่งผิงโหว แต่สำหรับอี๋เหนียงทั้งสองแล้วมันกลับแสดงถึงบุญที่ได้จากความกตัญญูต่อพระโพธิสัตว์ ดังนั้นจึงได้ขอร้องให้อาตมามาช่วยในครั้งนี้”
สืออีเหนียงอดเสียใจแทนหยางอี๋เหนียงไม่ได้
ตอนแรกนางคิดว่าสิ่งที่อยู่ในกำไลของสือเหนียงคือตั๋วเงิน แต่ต่อมาได้พบว่ามันคือสารหนู…ตอนนั้นนางเอาแต่คิดว่าเงินพวกนั้นไปไหนเสียแล้ว หรือว่านางจะเอาสารหนูมาทำอะไร
มาถึงตอนนี้พึ่งจะมีคำตอบของเรื่องราวทั้งหมด
สือเหนียงอยู่ที่อวี๋หังซึ่งเป็นที่ที่ไม่อาจได้เจอกับนายท่านใหญ่ มีแต่จะถูกนายหญิงใหญ่จัดการใช้มีดกรีดเฉือน ไม่สู้ลุกขึ้นทำอะไรบางอย่าง ไม่แน่อาจจะมีทางออก ดูเหมือนว่าอี๋เหนียงทั้งสองจะหลอกตัวเองเพื่อได้รับความไว้วางใจจากหยางอี๋เหนียง จึงได้ช่วยกันวางแผนทำให้ศัตรูแตกกันแล้วจากนั้นก็หาทางปลีกตัวออก หยางอี๋เหนียงใช้การตายของตัวเองดึงดูดความสนใจของผู้อื่น ในขณะเดียวกันก็หวังว่าเมื่อนายหญิงใหญ่รู้ว่าตัวเองตายแล้วก็จะสงสารสือเหนียงขึ้นมาบ้าง ให้อี๋เหนียงทั้งสองถือโอกาสไปเข้าร่วมงานวัดแล้วพาตัวสือเหนียงไป จากนั้นก็เข้าเมืองหลวงไปด้วยกัน
สือเหนียงปรากฏตัวได้บังเอิญเช่นนี้ คาดว่าจะมาเยี่ยนจิงได้สักระยะหนึ่งแล้วกระมัง เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งจดหมายรายงานให้พวกนาง
เมื่อได้รับการขอร้องจากคนอื่นก็ต้องทำให้เต็มที่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนที่สือเหนียงแต่งงานกับหวังหลังเหตุใดท่านป้าทั้งสองไม่ออกมาห้าม
ดูเหมือนว่าจี้หนิงจะสามารถมองทะลุผ่านจิตใจของนางได้ ยิ้มแล้วพูดว่า “อี๋เหนียงทั้งสองให้ข้านำความมาบอกฮูหยินว่าคุณหนูสิบมาขอความเมตตา ขอความเป็นธรรม พวกนางก็เป็นเพียงแค่หญิงที่อ่อนแอ แค่อยากจะขอให้มีชีวิตอยู่รอดก็พอแล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อน “ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของสกุลเดิมของข้า เกรงว่าจะต้องให้ท่านแม่เป็นคนตัดสินใจ”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” จี้หนิงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เพียงแต่ว่าการที่นายหญิงใหญ่สกุลหลัวให้ท่านแต่งเข้าจวนหย่งผิงโหว คาดว่าจะพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว อี๋เหนียงทั้งสองแม้จะมีเงินไม่มากแต่ก็ไม่เคยเสียใจที่ตัวเองมีน้อย ดูแล้วเงินพวกนี้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับนายหญิงใหญ่สกุลหลัว แต่สำหรับวัดฉือหยวนของข้าแล้วกลับมีประโยชน์ยิ่งนัก หากมีคนที่พูดจาไพเราะอย่างอี๋เหนียงทั้งสองมาอยู่ที่วัดของข้า คาดว่าคงจะได้รับความศรัทธาจากหญิงสูงศักดิ์อยู่ไม่น้อย นี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้าต้องมาขอความเมตตาจากฮูหยิน”
นางย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าชอบอี๋เหนียงทั้งสอง ยินดีต้อนรับอี๋เหนียงทั้งสองมาบวชอยู่ที่วัดฉือหยวน ดูแล้วนางคงมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะบุกน้ำลุยโคลน
สืออีเหนียงเองสามารถเข้าใจได้
การที่วัดจะพัฒนาได้ต้องอาศัยคนที่มีความคิดเห็นสอดคล้องกัน ปกติแล้วคนที่ออกบวชหากไม่ใช่เพราะว่าชีวิตอับจนจนไร้ที่พึ่งก็เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงทางครอบครัวทำให้รู้สึกท้อแท้ การที่ไม่ได้รับการศึกษาทำให้เกิดความเย็นชาต่อสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ เหมือนกับอี๋เหนียงทั้งสองที่เคยเติมกำยานและอ่านหนังสือเป็นเพื่อนนายท่านใหญ่ในตอนกลางคืน มีความรู้ที่ไม่ธรรมดา อายุปูนนี้แล้วยังจะคิดออกจากเรือน คงกลัวว่าหากไปรบกวนแผนที่นายหญิงใหญ่วางไว้แล้วจะถูกนายหญิงใหญ่เอาคืน คาดว่าพวกนางเองก็คงมีความปรารถนาที่อยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ การที่ทั้งสองคนนี้จะเข้าไปอยู่ในวัดฉือหยวนได้ก็ต้องบริจาคเงินค่าน้ำมันตะเกียงจำนวนมาก…แต่อย่างไรก็ตามจี้หนิงก็ต้องออกหน้าแทนพวกนาง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้สือเหนียงแต่เข้าจวนเม่ากั๋วกง ส่วนตัวเองแต่งเข้าจวนหย่งผิงโหว หากพูดตามความเป็นจริงแล้วการที่สือเหนียงแอบหนีออกจาเรือนจะมีผลกระทบต่อนางก็คือทำให้นางขึ้นชื่อว่ามีพี่สาวที่ดื้อรั้น…สุดท้ายแล้วคนที่เสื่อมเสียชื่อเสียงก็คือพวกนางสองคน ไม่คุ้มค่าที่จวนสกุลหลัวจะต้องมาเสื่อมเสียเช่นนี้
ดังนั้นไต้ซือจี้หนิงจึงได้กล้าพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
“ในเมื่อฮูหยินไม่คัดค้าน เช่นนั้นอีกสักครู่ข้าจะไปจวนสกุลหลัว” จุดประสงค์ของไต้ซือจี้หนิงบรรลุแล้ว นางยิ้มแล้วยืนขึ้น “หากไท่ฮูหยินซักถาม ข้าจะบอกว่าอี๋เหนียงทั้งสองอยากจะบวชมาอยู่ที่วัดฉือหยวนจึงขอร้องให้ข้ามาเชิญฮูหยินให้ไปบอกกล่าวกับนายหญิงใหญ่สกุลหลัว ส่วนเรื่องอื่นนั้นข้าจะไม่เอ่ยถึง”
หรือว่านางจะต้องขอบคุณไต้ซือจี้หนิงกับอี๋เหนียงทั้งสองกระมัง
สืออีเหนียงยิ้มทั้งๆ ที่โกรธเคือง
จู่ๆ นางก็เข้าใจความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสวีลิ่งอี๋
วันนั้นที่ลานเล็ก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นแผนของหยวนเหนียง ทั้งๆ ที่รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร แต่เพื่อที่จะทำให้หยวนเหนียงไม่ต้องเป็นกังวลจึงทำได้เพียงเดินไปติดกับอย่างช่วยไม่ได้…
******
เมื่อกลับมาที่ห้องของไท่ฮูหยิน ไต้ซือจี้หนิงก็พูดเหมือนกับที่พูดในห้องปีกตะวันออก บอกว่าได้รับคำร้องขอจากอี๋เหนียงทั้งสองให้มาเชิญสืออีเหนียงไปช่วยพูดกับนายหญิงใหญ่ แล้วยังบอกอีกว่าสืออีเหนียงรู้สึกว่าในเมื่ออี๋เหนียงทั้งสองตั้งใจที่จะออกบวชก็ควรที่จะสนับสนุนให้พวกนางบรรลุเป้าหมาย รอให้งานแต่งผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วค่อยไปปรึกษาไท่ฮูหยินและท่านโหวว่าจะกลับไปไหว้ท่านพ่อท่านแม่วันใด เพื่อที่จะได้ปรึกษากับท่านแม่เรื่องของอี๋เหนียงทั้งสอง
เมื่อทุกคนได้ฟังแม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่คำพูดของไต้ซือจี้หนิงนั้นก็มีเหตุผล แล้วอีกอย่างเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องในครอบครัวของสืออีเหนียงจึงไม่มีใครซักถามอะไรอีก
ไต้ซือจี้หนิงพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็กล่าวลา ไท่ฮูหยินเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงไปที่พระอุโบสถกับป้าตู้ จากนั้นคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไป
เมื่อสืออีเหนียงกลับมาที่เรือนก็เรียกตงชิงมาแล้วเล่าเรื่องจุดประสงค์การมาของจี้หนิงให้นางฟัง
“เจ้ากลับไปที่จวนสกุลหลัวแล้วนำเรื่องนี้ไปบอกคุณนายใหญ่ ต้องกำชับคุณนายใหญ่ไว้ให้ดี ดูท่าทางของไต้ซือจี้หนิงแล้วนางคงจะตั้งใจเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้จริง” แล้วกำชับว่า “เล่าให้คุณนายใหญ่ฟังก็พออย่าพึ่งบอกกับนายหญิงใหญ่ ให้คุณนายใหญ่ช่วยออกความคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไร”
ตงชิงตอบรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงเรียกป้าเถามา “ช่วยเลือกคนที่ฉลาดๆ ให้ข้าสักสองสามคนได้หรือไม่ ตอนนี้ข้ามีสาวใช้ระดับสองสองคน สาวใช้ระดับสามหกคนแต่ยังขาดคนใช้แรงงานสี่คน”
ป้าเถาตอบว่า “ฮูหยินวางใจเถิดเจ้าค่ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบ่าว ตอนบ่ายจะพาคนมาให้ท่านดูตัว”
สืออีเหนียงพยักหน้า พูดเบาๆ ว่า “ช่วยจัดการเลือกคนสักสองสามคนให้ไปทำงานที่ห้องหนังสือของจวนนอกได้หรือไม่”
สมแล้วที่เป็นคนของหยวนเหนียง!
หลังจากที่ป้าเถาประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก็รีบตอบเสียงเบาว่า “คุณชายน้อยทั้งสามคนเรียนหนังสืออยู่ในจวน ที่นั่นมีคนที่เราส่งไปอยู่หลายคน ฮูหยินต้องการจะรู้เรื่องอะไรแค่ถามบ่าวมาก็พอแล้ว ถึงแม้ว่าบ่าวจะไม่สามารถให้คำตอบได้ในตอนนี้ แต่ตอนบ่ายบ่าวจะนำจดหมายมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงส่ายหน้าเบาๆ “ฟังจากน้ำเสียงของท่านโหว เกรงว่าเขากำลังพยายามหาอาจารย์ที่เหมาะสมมาให้คุณชายน้อยทั้งสามคน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะต้องไปนั่งเรียนที่ห้องหนังสือของเรือนนอกอย่างแน่นอน ปีนี้จุนเกอหกขวบ ร่างกายก็ไม่แข็งแรง คาดว่าคงจะต้องไปนั่งเรียนกับคุณชายน้อยทั้งสามคนที่ห้องหนังสือ ไท่ฮูหยินไม่ได้คิดจะมอบจุนเกอให้ข้าดูแล ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็เป็นหญิงที่อยู่แต่ในเรือน ไม่สู้พวกผู้ชายที่ได้ออกไปข้างนอก มีความรู้กว้างขวาง หากมีอาจารย์ที่ดีคอยให้คำแนะนำ ไม่เพียงแต่จะทำให้จุนเกอได้เรียนรู้ ซ้ำยังสามารถควบคุมพฤติกรรมการเรียนรู้ของจุนเกอได้อีกด้วย หากมีเรื่องอะไรพวกเราก็จะได้พูดคุยกับอาจารย์ได้ ให้อาจารย์ช่วยอบรมสั่งสอนจุนเกอ ดีกว่าที่พวกเราจะมาคิดหาทางแทรกแซงเช่นนี้”
ป้าเถาเอ่ยปากชม “ความคิดของฮูหยินช่างดีจริงๆ บ่าวเข้าใจแล้ว จะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เมื่อพูดจบก็ลุกจะเดินออกไป
“เจ้าไม่ต้องรีบร้อน” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ประการแรกเรื่องของอาจารย์ยังไม่ได้มีการตัดสินใจ ประการที่สองตอนนี้ทำได้เพียงแค่เตรียมตัวไว้ก่อน เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะไปดึงดูดความสนใจของคนอื่นเข้า ต้องจำไว้ว่ายังมีคุณชายน้อยอีกสามคนที่ต้องเรียนด้วยกัน คนที่รู้ก็จะคิดว่าพวกเราแค่ต้องการดูแลจุนเกอ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็จะคิดว่าพวกเราต้องการจับตามองคุณชายน้อยสอง”
ป้าเถารีบพยักหน้า “ฮูหยินวางใจได้ บ่าวจะจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบเชียบที่สุดเจ้าค่ะ ”นางพูดด้วยสีหน้าลังเล “เพียงแต่ว่าทางด้านของหว่านเซียง ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาเล็กน้อย…”
“เจ้าพูดมาเถิด”
“เมื่อวานหว่านเซียงมาหาบ่าว บอกว่าในจวนมีครัวเล็กใหญ่ทั้งหมดสิบเอ็ดห้อง เมื่อวานตอนบ่ายฮูหยินสามบอกว่านอกเหนือจากห้องครัวของไท่ฮูหยิน ห้องครัวอื่นๆ ที่เหลืออีกสิบห้องต้องทำอาหารตามรายการที่เขียนไว้ ไม่อนุญาตให้เพิ่มรายการอาหาร หากใครต้องการจะเพิ่มรายการอาหารก็ต้องออกเงินจ่ายให้ห้องครัวเอง” ป้าเถากลัวว่าสืออีเหนียงจะฟังไม่เข้าใจจึงอธิบายต่อว่า “เมื่อก่อนตอนที่คุณหนูใหญ่เป็นผู้ดูแลได้จ่ายเงินให้ตามขนาดเล็กใหญ่ของห้องครัว มีบางครัวที่ใช้เงินไปมากในช่วงครึ่งเดือนแรก ในช่วงครึ่งเดือนหลังจึงต้องประหยัดเล็กน้อย แต่ก็ไม่เคยเกิดการใช้จ่ายเกินตัว การเพิ่มอาหารเพียงชั่วคราวถือเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ย่อมต้องออกเงินเองอยู่แล้ว แต่หากฮูหยินสามทำเช่นนี้…”
“…การทำเช่นนี้เท่ากับว่าครัวทั้งสิบห้องสามารถนำเงินมารวมกันเพื่อซื้อวัตถุดิบได้” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “หากเป็นเช่นนี้ห้องครัวก็จะมีรายได้มากมายใช่หรือไม่”
ป้าเถาประหลาดใจ
รอยยิ้มของสืออีเหนียงยังคงอ่อนโยนและดูเป็นมิตรเช่นเดิม แต่ในแววตาลึกๆ กลับดูสงบนิ่ง ราวกับกำลังจะบอกว่า ก็เป็นเพียงแค่กลยุทธ์เล็กๆ น้อยๆ ไม่เห็นมีเรื่องอันใดน่ากังวล