ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 10 ปฏิกิริยา (ต้น)
วันรุ่งขึ้นสืออีเหนียงไปคารวะนายหญิงใหญ่เร็วกว่าปกติเล็กน้อย
นายหญิงใหญ่กำลังหวีผม เมื่อรู้ว่านางมาจึงรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย
“หนึ่งวันพึ่งถักได้แค่หนึ่งตัวเองเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงอธิบายอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “ข้าถักได้ไม่เร็วเท่าอาจารย์เจี่ยน”
มีรอยยิ้มปรากฎขึ้นในดวงตาของนายหญิงใหญ่ กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นับจากนี้เจ้าก็ไม่ต้องมาคารวะข้าเช้าเย็นแล้ว ตั้งใจปักม่านกันลมผืนนั้นก็ถือว่าเป็นการกตัญญูต่อข้าแล้ว”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอบรับด้วยความเคารพว่า “เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่รู้ว่านางมีงานต้องทำ ให้นมแพะหนึ่งชามเป็นรางวัลแล้วจึงให้นางกลับออกไป
ลั่วเชี่ยวเป็นคนส่งนางออกไป
นางถือโอกาสนี้เชิญลั่วเชี่ยวกับเหลียนเฉียว
ลั่วเชี่ยวประหลาดใจเล็กน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “ช่างบังเอิญเหลือเกินเจ้าค่ะ พี่เหลียนเฉียวป่วย คนรับใช้นายหญิงใหญ่มีเพียงบ่าวกับคนของบ่าวเพียงแค่สองสามคน…ไม่รู้ว่าจะมีเวลาว่างหรือไม่”
“ความจริงแล้วก็เพียงแค่มาพบปะกันเท่านั้น” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “งานของพี่ลั่วเชี่ยวนั้นสำคัญ อย่างไรเสียทุกคนต่างก็อาศัยอยู่ในจวนเดียวกัน ภายภาคหน้าก็ยังมีโอกาสได้พบกัน”
ลั่วเชี่ยวยิ้ม “หากวันไหนพวกเรามีเวลาว่างก็จะขอไปรบกวนคุณหนูสิบเอ็ดเหมือนเดิมเจ้าค่ะ”
ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ นายหญิงใหญ่ที่อยู่ในห้องถามสาวใช้น้อยที่อยู่ข้างๆ ว่า “คุณหนูสิบเอ็ดไปแล้วหรือยัง”
สาวใช้น้อยเดินออกไปดูแล้วหันกลับมาตอบ “ยังเจ้าค่ะ กำลังพูดคุยอยู่กับพี่ลั่วเชี่ยวเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่พยักหน้า ลั่วเชี่ยวแหวกม่านแล้วเดินเข้ามา
“เจ้ากับสืออีเหนียงพูดคุยสิ่งใดกัน” นายหญิงใหญ่ถามลอยๆ
ลั่วเชี่ยวตกใจเล็กน้อย ยิ้มแล้วตอบว่า “ตอนกลางวันสืออีเหนียงจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับหู่พั่ว จึงได้เชิญบ่าวกับเหลียนเฉียวไปร่วมสนุกด้วยเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ไม่ได้ถามต่อ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อู๋เซี่ยวเฉวียนว่าอย่างไรบ้าง”
ลั่วเชี่ยวพูดว่า “ผู้ดูแลอู๋บอกว่า ณ เวลานี้ในราชสำนักมีข่าวออกมาว่าหลังจากตรุษจีนฮ่องเต้จะใช้กองกำลังทหารกับเป่ยเจียง ราคาทองคำจึงร่วงรุนแรงมาก จำนวนเงินที่ท่านแลกนั้นมีมากจนคลังเงินทั่วไปไม่สามารถจ่ายได้ ส่วนคลังเงินที่มีอำนาจเมื่อเห็นท่านรออย่างเร่งรีบก็ราคาขึ้นสูงไม่ยอมลงให้เลย เมื่อคำนวณดูเช่นนี้ ความแตกต่างอยู่ระหว่างสี่ถึงห้าพันเหรียญ ไม่คุ้มทุนเลยเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่คิ้วขมวด “เจ้าไปบอกเขาว่าสี่ห้าพันเหรียญก็สี่ห้าพันเหรียญ คิดหาวิธีแลกเงินก่อนกลางเดือนสองของปีหน้าให้ได้”
ลั่วเชี่ยวตอบรับแล้วเดินออกไป
******
สืออีเหนียงกลับมาถึงหอลู่จวินให้ปินจวี๋นำเทียบเชิญไปให้เรือนเจียวหยวน สือเหนียงและสือเอ้อร์เหนียง ส่วนตงชิงให้ไปหาป้าสวี่
ป้าสวี่ไม่อยู่ สาวใช้น้อยที่รับใช้ป้าสวี่บอกปัดว่า “เมื่อท่านป้ากลับมาข้าจะบอกให้เจ้าค่ะ”
ตงชิงเพียงแค่ทำไปตามมารยาท ถามไถ่สาวใช้น้อยสองสามประโยค จากนั้นก็ไปหาอู๋เซี่ยวเฉวียน
อู๋เซี่ยวเฉวียนกำลังทานอาหารเช้า ได้ยินว่าตงชิงคนของสืออีเหนียงมา จึงสวมรองเท้าแล้วออกไปต้อนรับทันที “มีเรื่องอะไรก็ให้สาวใช้น้อยมาบอกข้าก็ได้ แม่นางตงชิงไม่จำเป็นต้องเดินมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง ทานข้าวเช้าหรือยัง เข้ามาทานด้วยกันสักหน่อย”
ท่าทางเกรงใจเช่นนี้ทำให้ตงชิงประหลาดใจเล็กน้อย ใช้เวลานานกว่าสติจะกลับมา “ขอบคุณท่านป้า ข้าทานข้าวเช้ามาแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดถึงจุดประสงค์ที่มา
อู๋เซี่ยวเฉวียนได้ยินนางบอกว่ายังมีธุระต้องทำจึงไม่ได้ให้นางอยู่ต่อ พูดอย่างเป็นกันเองว่า “บอกกับคุณหนูสิบเอ็ดด้วยว่าเมื่อถึงเวลาข้าจะไปแน่นอน!”
ตงชิงไปหาป้าเหยาต่อด้วยความสับสน
ป้าเหยายืนเท้าเอวอยู่ที่ประตูใหญ่หน้าลานซีคว่า พูดเสียงดังราวกับว่ากลัวคนอื่นจะไม่ได้ยิน “เชิญข้าไปงานเลี้ยงอย่างนั้นหรือ คุณหนูสิบเอ็ดของพวกเจ้าช่างใส่ใจจริงๆ แต่ว่าข้ามีเวลาว่างเสียที่ไหนกัน เมื่อครู่นายหญิงใหญ่ก็ได้ให้ข้าส่งคนไปทำความสะอาดสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังศาลาหน่วนถิง แล้วก็ไปก่อไฟทำฟืน จะได้ใช้ในวันข้ามปี” พูดพลางโบกมือเหมือนปัดยุงและแมลงวันไปด้วย “เมื่อถึงเวลาค่อยว่ากัน”
ตอนมาตงชิงได้เตรียมใจไว้อยู่แล้ว รู้ว่านางไม่มีวันพูดดีกับตัวเองอย่างแน่นอน แต่ว่าต่างคนก็ทำงานอยู่ในจวนเดียวกัน ถึงแม้ว่าเงยหน้าจะมองไม่เห็นแต่เมื่อก้มหน้าก็อาจจะเห็นกัน หลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น นางจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จุดประสงค์ร้ายของป้าเหยา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เมื่อถึงเวลาข้าจะส่งสาวใช้น้อยมาเชิญท่านป้าอีกครั้งเจ้าค่ะ”
ไม่อาจด่าคนที่ยิ้มให้ตัวเองได้
ป้าเหยาเหมือนจะหยุดสิ่งที่ต้องการจะพูดเอาไว้ บอกอย่างเย็นชาว่า “อืม” เป็นคำตอบ
ด้านข้างกลับมีคนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ต่อจากนี้พวกเจ้าก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว นางกำลังทำงานให้เจ้านายของนาง เจ้าก็ไว้หน้านางสักหน่อย อีกสักครู่ก็ไปกินเลี้ยงด้วยกันก็พอแล้ว”
ตงชิงตัวแข็งทื่อ
นางกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าป้าเหยาผู้นั้นต้องพูดอะไรบางอย่างแน่นอน
นางคิดถึงวันก่อนที่ป้าเหยาถือของขวัญหลากสีเดินถามไปทั่วหมู่บ้าน “ตระกูลซย่าไปทางไหน…บุตรสาวของพวกเขาที่ทำงานในจวนสกุลหลัวนั้นได้หมั้นหมายกับหลานชายของข้าแล้ว ข้ามาเพื่อเกี่ยวดอง”เมื่อนางกลับไปเหล่าบรรดาเพื่อนบ้านที่มากินเหล้าฉลองงานแต่งน้องสาวต่างก็พากันถามนางว่า “เมื่อไรจะแต่งออกไป…”
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ ตงชิงก็โกรธจนแน่นหน้าอก หันหลังกลับแล้วเดินไปที่ห้องครัว
พอป้าเฉาผู้ดูแลครัวเห็นนางก็มีสีหน้าไม่ดี “แม่นางเปลี่ยนรายการอาหารเถิด สิบตำลึงซื้อเป็ดที่ตุ๋นในยาจีนได้เหลือเฟือ แต่ว่าโสม เทียนหมา ตังกุยและเก๋ากี้ที่ต้องใช้ต้มในน้ำซุป…” นางพูดด้วยสายตาดูหมิ่น “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังสั่งผัดเผ็ดทะเล หอยทะเลตุ๋นซุปไก่ ซุปปลาเกร็ดเงิน หน่อไม้หยก…ในเมื่อแม่นางจัดการงานให้คุณหนูสิบเอ็ดก็ต้องพิจารณาสักหน่อย คนที่รู้ก็จะบอกว่าแม่นางเป็นคนใจกว้าง คนที่ไม่รู้ก็จะบอกว่าพวกเรารังแกคุณหนูสิบเอ็ดที่ไม่เข้าใจเรื่องในครัวเอาได้”
ตงชิงหน้าแดงไปหมด
คราวที่แล้วคุณหนูห้าเป็นคนเลี้ยง ก็ใช้เงินเพียงสิบตำลึงแล้วยังสั่งให้ทำพระกระโดดกำแพงได้ นางได้ลองลดปริมาณตามสัดส่วนแล้ว แต่ทำไมเมื่อถึงคราวของนางจึงไม่พอเสียได้ จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะโลกนั้นโหดร้าย เห็นว่าคุณหนูสิบเอ็ดไม่ได้หน้าเหมือนกับคุณหนูห้าเมื่ออยู่ต่อหน้านายหญิงใหญ่
“เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง หวังว่าท่านป้าจะไม่โกรธเคือง” นางฝืนยิ้มกล่าวขอโทษป้าเฉา “ท่านป้าบวกลบตามที่เห็นสมควรเถิด”
ป้าเฉาพยักหน้า แล้วหันไปสั่งผู้หญิงในครัวให้สับเป็ด จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปโดยทิ้งตงชิงไว้คนเดียว
******
ตงชิงเดินกลับมาที่หอลู่จวิน
ถูกลมหนาวจากป่าพัดผ่าน จึงได้สติกลับมา
วันนี้พวกนางเป็นคนจัดเลี้ยง ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ จะลืมเรื่องสำคัญแล้วเอาแต่โกรธท่านป้าทั้งสองได้อย่างไร
จะว่าไปแล้วท่านป้าทั้งสองก็อายุมากกว่าตัวเอง เข้ามาในจวนเร็วกว่าตัวเอง ตำแหน่งสูงกว่าตัวเอง นางควรจะอบรมวินัยในส่วนที่ไม่ดีของตัวเอง…นึกถึงตอนที่เข้ามาในจวนครั้งแรก ไม่ได้เรียนรู้กฎระเบียบให้ดี โดนตีโดนด่ายังถือเป็นเรื่องเล็ก ไม่ให้กินข้าวไม่ให้นอนก็ยังมี แต่ทำไมพอมาอยู่กับคุณหนูสิบเอ็ดได้สองสามปีกลับรับเรื่องพวกนี้ไม่ได้เสียแล้ว!
ถึงแม้จะบอกตัวเองเช่นนี้ แต่ตงชิงก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก!
นางมองไปที่กำแพงกระเบื้องสีเทาท่ามกลางหิมะในฤดูหนาวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงในวันนี้ ซึ่งเป็นศาลาหน่วนถิงที่อยู่หน้าหอลู่จวิน
หิมะขาวท่ามกลางพื้นที่สีเขียวขจี ศาลาหน่วนถิงที่ทาด้วยสีแดงเปรียบเสมือนไฟที่ให้ความอบอุ่นแก่คน
เมื่อแหวกผ้าม่านสีแดงขนาดใหญ่ ความร้อนก็พุ่งเข้าใส่หน้า
ปินจวี๋พาชิวจวี๋กับจู๋เซียงไปทำความสะอาดพึ่งจะเสร็จ เก้าอี้สีดำถูกขัดจนมันเงาสว่างแวววาว โต๊ะเล็กถูกวางด้วยแจกันดอกไม้มงคลสีแดง บนโต๊ะน้ำชามีถาดน้ำชาวางอยู่ โต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สองโต๊ะวางเรียงกันอยู่ตรงกลาง
“พี่ตงชิง ดูสิว่ามีอะไรต้องเพิ่มหรือต้องลดหรือไม่” ปินจวี๋ยิ้มทักทาย
ไม่รอให้ตงชิงตอบ ชิวจวี๋ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าว่าต้องประดับด้วยสับปะรดจึงจะดี”
ปินจวี๋กลับบอกว่า “หากจะใช้สับปะรด ข้าว่าเอาดอกเหมยมาเสียบจะดีกว่า”
“แต่ว่าหากจะนำดอกเหมยมาเสียบก็ต้องไปเปิดกล่องเอาแจกันดอกเหมยออกมา คุณหนูสิบเอ็ดมีแจกันดอกเหมยสามอัน อันหนึ่งเป็นดินเผาเคลือบทองหลากสี อันหนึ่งเป็นศิลาสีฟ้า อีกอันหนึ่งเป็นดินเผาสีขาวเรียบ ล้วนเป็นของดีทั้งนั้น อีกสักครู่จะมีคนมาเยอะแยะมากมาย หากหายไปสักอัน ต่อให้ร้องไห้ฟูมฟายก็คงไม่ได้กลับคืนมา” ชิวจวี๋แย้งขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
ปินจวี๋อดถอนหายใจไม่ได้ “สับปะรดและส้มมะงั่วถูกจัดเก็บโดยท่านป้าที่ดูแลจวน หากจะไปเอาก็ต้องใช้ป้ายอนุญาตจากป้าสวี่…ไปเปิดตู้เอาแจกันดอกเหมยยังจะง่ายกว่า”
ทั้งสามคนพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
ความโศกเศร้าจางๆ เมื่อครู่ได้กลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ ตงชิงอดไม่ได้ที่จะกอดชิวจวี๋ที่อายุเพียงสิบสองปี “หากมีวันนั้นพวกเราก็ทำในสิ่งที่ทำได้ก็พอแล้ว”
******
ขณะที่กำลังทานอาหารกลางวัน สืออีเหนียงถามตงชิงเรื่องที่ไปเชิญแขก
“ป้าสวี่ไม่ได้อยู่ที่เรือน สาวใช้จะนำความไปบอกให้ ป้าอู๋บอกว่าเมื่อถึงเวลาจะมาแน่นอนเจ้าค่ะ…” นางหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ป้าเหยายังไม่ได้ตัดสินใจ อีกสักครู่บ่าวจะให้สาวใช้น้อยไปเชิญอีกครั้ง คุณหนูห้ากำลังวาดตัวอักษรอยู่ จึงไม่ได้พบนาง จื่อเวยบอกว่า ต้องรอให้คุณหนูห้าอนุญาตก่อนถึงจะรู้ว่ามาได้หรือไม่ ส่วนคุณหนูสิบก็ได้พบแค่ไป่จือ ไป่จือบอกว่ารอดูสถานการณ์ก่อน ส่วนคุณหนูสิบสอง ป้าหลิวได้บอกว่าคุณหนูสิบสองนอนเร็ว ต้องมีคนคอยรับใช้อยู่ข้างๆ หากนางมา อวี่ถงกับอวี่ไหวก็จะมาไม่ได้ หากอวี่ถงกับอวี่ไหวมา นางก็จะมาไม่ได้ ต้องแลกเปลี่ยนกัน งานเลี้ยงครึกครื้นเช่นนี้ให้สาวๆ ไปกันจะดีกว่า นางไม่ขอมาร่วมด้วย ให้อวี่ถงกับอวี่ไหวพาไป๋จูกับจินจูมาด้วยเจ้าค่ะ”
ไม่ได้เจอป้าสวี่ ท่าทางของป้าเหยา คนในเรือนเจียวหยวน คุณหนูสิบกับคุณหนูสิบสองยังเหมือนเมื่อก่อน พูดง่ายๆ ก็คือมีเพียงอู๋เซี่ยวเฉวียนที่จู่ๆ ก็กลายเป็นว่ากระตือรือร้นที่จะสนิทสนมขึ้นมา
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อยไม่ได้พูดอะไร
ในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด
สีหน้าครุ่นคิดได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหู่พั่วที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง
******
ในช่วงบ่าย อู๋เซี่ยวเฉวียนก็ได้มาถึงแล้ว ยังนำเหล้าจินหวามาด้วยสองไห “บ่าวเป็นคนว่างงาน คุณหนูสิบเอ็ดดูสิว่ามีอะไรให้บ่าวช่วยได้บ้างเจ้าคะ”
ฟังคำพูดที่เกรงใจของอู๋เซี่ยวเฉวียน สืออีเหนียงจะให้นางช่วยงานได้อย่างไร วางงานปักที่ปักไปได้สองในสามส่วนลงแล้วลุกขึ้นต้อนรับนาง
“อย่าเลยเจ้าค่ะ อย่าเลย” อู๋เซี่ยวเฉวียนโบกมือไปมา “ท่านกำลังถักด้ายมงคลให้ซิวเกอ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก มีหู่พั่วอยู่เป็นเพื่อนบ่าวก็พอแล้ว ท่านทำงานของท่านไปเถิด บ่าวจะไปทักทายแม่นางตงชิง ไปดูนางจัดการงานเสียหน่อยเจ้าค่ะ” นางยืนยันที่จะไปศาลาหน่วนถิง
แน่นอนว่าสืออีเหนียงกังวลกับงานถักที่ยังทำไม่เสร็จ สั่งให้หู่พั่วไปศาลาหน่วนถิงเป็นเพื่อนอู๋เซี่ยวเฉวียน
ตงชิงไปเร่งอาหารที่ห้องครัว ปินจวี๋นำชิวจวี๋กับจู๋เซียงต้อนรับแขกในเรือน
เมื่อเห็นอู๋เซี่ยวเฉวียนเข้ามาทุกคนก็เข้าไปคำนับอย่างกระตือรือร้น นางคำนับกลับแล้วพูดคุยกับปินจวี๋และคนอื่นๆ อย่างขบขัน ทำให้ทุกคนหัวเราะ
ไม่นานอวี่ถงกับอวี่ไหวก็เดินนำไป๋จูกับจินจูเข้ามา เมื่อเห็นอู๋เซี่ยวเฉวียน พวกนางก็แสดงท่าทีประหลาดใจ แต่อู๋เซี่ยวเฉวียนกลับทักทายพวกนางตามปกติ
อวี่ถงและคนอื่นๆ รีบเก็บสีหน้าของตัวเองและคำนับอู๋เซี่ยวเฉวียน
เวลานี้จื่อเวยคนของอู่เหนียงก็มาถึงแล้ว
อู๋เซี่ยวเฉวียนได้เข้าไปกล่าวทักทาย
จื่อเวยมีสีหน้าตกใจ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะดึงสติกลับมาแล้วคำนับอู๋เซี่ยวเฉวียน
“ท่านป้าก็มาด้วยหรือเจ้าคะ ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ…”
นางพึมพำออกมาสองประโยค แล้วก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเสียมารยาท จึงยิ้มแล้วกล่าวเสริมว่า “ข้าเห็นว่าท่านป้างานยุ่งน่ะเจ้าค่ะ แต่กลับมาก่อนข้าเสียอีก”
อู๋เซี่ยวเฉวียนท่าทางสงบนิ่ง ยิ้มอย่างเป็นมิตร “ข้าเป็นคนว่างงาน ไม่เหมือนพวกเจ้าต่างมีงานต้องทำ ว่างไม่ได้เลย”