รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] - บทที่ 1162 ตำรับลูกกลอนมีปัญหาใหญ่ ทรมานกันถึงขั้นสติฟั่นเฟือน!
- Home
- รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]
- บทที่ 1162 ตำรับลูกกลอนมีปัญหาใหญ่ ทรมานกันถึงขั้นสติฟั่นเฟือน!
บทที่ 1162 ตำรับลูกกลอนมีปัญหาใหญ่ ทรมานกันถึงขั้นสติฟั่นเฟือน!
…………….
บทที่ 1162 ตำรับลูกกลอนมีปัญหาใหญ่ ทรมานกันถึงขั้นสติฟั่นเฟือน!
เย่คงต้องการสนทนากับหินแก่ชั่วช้าผ่านทรี
ทว่าเขาไม่ได้รับการตอบกลับจากหินแก่ชั่วช้า หินแก่ชั่วช้านั้นเจ้าเล่ห์เพทุบาย ขี้ระแวงเป็นที่สุด เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการเปิดใจคุยกับเขาง่าย ๆ
“ทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด…”
สีหน้าเย่คงราบเรียบ อธิบายเรื่องราวของแดนฝังศพรวมถึงห้ากองกำลังใหญ่ เขาหวังให้หินแก่ชั่วช้าเข้าร่วมแดนฝังศพ
ทว่าเขายังไม่ได้รับการตอบกลับจากหินแก่ชั่วช้า
“น่าเสียดาย…”
เขาสั่นศีรษะ รู้ดีว่าไม่อาจดึงหินแก่ชั่วช้ามาเป็นพวกได้แล้ว
ที่หินแก่ชั่วช้าไม่ตอบเป็นการแสดงจุดยืนแล้วยังไม่ต้องสงสัย หินแก่ชั่วช้าไม่ต้องการเข้าร่วมแดนฝังศพ
และความจริงก็เป็นเช่นนั้น
หินแก่ชั่วช้าไม่ต้องการเข้าร่วมแดนฝังศพจริง ๆ มันกลัวว่าทั้งหมดนี้คืออุบาย กลัวว่าเย่คงเพียงแต่หลอกล่อเขา กลัวว่าหลังเขาเข้าร่วมแดนฝังศพอาจถูกสังหาร
มันนั้นรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยเชื่อผู้ใดนอกจากตนเอง!
ถึงแม้ห้ากองกำลังและแดนฝังศพนั้นน่าประหวั่นพรั่นพรึง กระนั้นก็ใช่ว่ามันไม่มีความหวัง ขอเพียงมันระวังตัวมากพอให้ซ่อนตัวถึงตอนสุดท้าย ใช่ว่ามันไม่มีโอกาสให้ฉวยจนได้รับชัยชนะในที่สุด
ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นห้ากองกำลังหรือแดนฝังศพลงท้ายก็ต้องกระทบกระทั่งกัน ขอเพียงมันอยู่รอดปลอดภัยไปถึงท้ายสุด ไม่แน่ว่าจะไม่เป็นฝ่ายเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เพียงผู้เดียว
หลังเย่คงรู้ว่าหินแก่ชั่วช้าคงไม่เข้าร่วม เขาหันมองทรี คราวนี้ไม่ได้ส่งวาจาไปถึงหินแก่ชั่วช้าผ่านทรี หากแต่กล่าวกับทรี “เจ้าเต็มใจเข้าร่วมแดนฝังศพหรือไม่”
ทรีมีความสามารถไม่เลว เขาหมายตานาง หลังนางเข้าร่วมแดนฝังศพต้องเป็นหนึ่งกำลังสำคัญด้วยแน่นอน
ถึงอย่างไรยามนี้ทรีก็มีพลังรบระดับอัครขั้นสิบหก กล้าแกร่งกว่าจ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายรวมกันเสียอีก
“ข้า…ไปได้หรือ”
ทรีถามด้วยท่าทีเต็มตื้น
นางต้องอยากเข้าร่วมแดนฝังศพแน่นอน จะได้สลัดการควบคุมจากหินแก่ชั่วช้า ทว่านางทำได้จริงหรือ
ต้องรู้ว่า ร่างกายของนางไม่ใช่ของนาง หากแต่มาจากรูปปั้นหินไร้โฉมหน้าในวัดจิตรกรรมฝาผนัง อยู่ในการควบคุมของหินแก่ชั่วช้า
“ไยจึงไม่ได้”
เย่คงหัวเราะ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความมั่นใจ เขายกมือปล่อยพลังมวลหนึ่งใส่ตัวทรี ทรีพลันรู้สึกว่าตนได้รับอิสรภาพ ไม่ถูกควบคุมอีกต่อไป ร่างกายเป็นของตนเองแล้ว
“ขอบคุณ!”
นางกล่าวขอบคุณเย่คงรัว ตื้นตันเหลือคณา นางได้รับชีวิตใหม่ หินแก่ชั่วช้าไม่อาจควบคุมนางอีกแล้ว
“ไม่ต้องขอบคุณ”
เย่คงคลี่ยิ้ม “ไปกันเถิด”
จากนั้น เขาพาทรีและจ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลายอย่างหรูเยวียไปจากที่นี่ กลับไปยังที่ตั้งแดนฝังศพ
“บัดซบ!”
“อ๊ากกก!”
หลังพวกเย่คงไปแล้ว เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังออกจากมุมมืดไม่หยุด
พวกเขาคือสิ่งมีชีวิตจากห้ากองกำลังใหญ่ หมายตาทรีไว้เช่นกัน ติดตามทรีมาตลอด ใช้ทรีเป็นเหยื่อเพื่อสังหารปัจเจกชนอื่น
อนิจจา แผนของพวกเขาพังเพราะเย่คง เย่คงพาตัวทรีไปด้วย
พวกเขาได้รับข่าวว่าเย่คงมีพระบัญชาจากจ้าวแดนฝังศพ รู้ว่าพวกเขาสกัดเย่คงไม่ได้ เพราะอย่างนี้ถึงไม่ได้โผล่ออกไป
หาไม่แล้วอย่างไรพวกเขาก็ไม่ยอมให้เย่คงพาทรีไปด้วย!
พวกเขาเดือดดาลเหลือแสน พากันรายงานสถานการณ์นี้ต่อเบื้องบนในกองกำลังของตน พวกเขาอยากให้เบื้องบนประทานศาสตราทรงพลังมาให้ ป้องกันไม่ให้สมาชิกแดนฝังศพดึงปัจเจกชนอื่นเข้าร่วมอีก
“ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้ คนของแดนฝังศพไม่กล้าทำตามอำเภอใจ พวกเขามีขอบเขต ที่พาไปมีเพียงปลาซิวปลาสร้อย ผู้ที่เก่งกาจจริง ๆ พวกเขาไม่ทำ และไม่กล้าดึงไปเป็นพวก”
“บัดนี้ยังไม่ใช่เวลาเปิดฉากสงครามกับแดนฝังศพ”
เบื้องบนจากกองกำลังของพวกเขาตอบกลับมา ให้พวกเขาอย่าใส่ใจนัก
ปลาซิวปลาสร้อยจำนวนหนึ่งถูกแดนฝังศพพาไปด้วยไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีทางเกิดผลกระทบอันใด
“ได้!”
หลังได้รับการตอบกลับ พวกเขาไม่ได้ถือสาเรื่องนี้อีก ทำหน้าที่ของตนต่อไป กำจัดปัจเจกชนอื่น ๆ ชะล้างสมรภูมิตัดสินสุดท้าย ทำให้แน่ใจว่าในศึกตัดสินสุดท้ายมีเพียงกองกำลังของพวกเขา
…
ขณะเดียวกัน จวินอีเดินทางตามการชี้ทางของเข็มทิศล่าสมบัติอย่างรวดเร็ว สุดท้าย เขาก็มาถึงสถานที่ที่เข็มทิศล่าสมบัติชี้
“ยังมีชีวิตอยู่จริงหรือ!”
เขามีหน้าตาตะลึง ท่าทางไม่อยากเชื่อ เขาได้เห็นสิ่งมีชีวิตผู้นำตำรับลูกกลอนออกจากวิหารโบราณลึกลับในสถานที่นี้!
ตามที่ลือกันว่า วิหารโบราณลึกลับมองว่าสิ่งมีชีวิตตนนี้ทำลายสมดุล จึงปลิดชีพเขา และในอดีตพวกเขาก็ได้เห็นร่องรอยการตายอย่างอนาถของสิ่งมีชีวิตตนนี้
คิดไม่ถึงเลย สิ่งมีชีวิตตนนี้ยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ เขามองปราดเดียวก็จำสิ่งมีชีวิตตนนี้ได้!
เวลานี้ สิ่งมีชีวิตตนนั้นกำลังนั่งขัดสมาธิ ฝุ่นผงเต็มกาย ไม่รู้ว่าไม่ได้ขยับเขยื้อนมานานเท่าใดแล้ว
“ผู้อาวุโส!”
เขาคำนับสิ่งมีชีวิตตนนี้อย่างนอบน้อมเพื่อปลุกให้ตื่น
สิ่งมีชีวิตตนนี้ถูกส่งมาก่อนข้า ถือเป็นผู้อาวุโสสำหรับเขาแน่นอน
ทว่าดูเหมือนสิ่งมีชีวิตตนนี้ไม่ได้ยินเสียงของเขา ไม่เคยตอบรับอันใด ยังคงหลับตาสนิท นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น
“ผู้อาวุโส!”
จวินอีร้องเรียกอีกครา
คราวนี้ สิ่งมีชีวิตตนนั้นเคลื่อนไหว ม่านแสงลอยขึ้นจากตัว ดวงตาที่หลับสนิทเปิดออก ฝุ่นผงหายไปจนสิ้น!
“เจ้าเรียกข้าหรือ”
เขาหันมองจวินอีและถาม
จวินอีมึนงงไปเล็กน้อย รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตตนนี้ดูไม่ปกติ
สถานที่นี้ปราศจากสิ่งมีชีวิตตนอื่น เขาต้องเรียกสิ่งมีชีวิตตนนี้อยู่แล้ว!
“ใช่แล้วผู้อาวุโส!”
กระนั้นเขายังตอบเสียงนบนอบ
“ผู้อาวุโสเป็นชื่อข้าหรือ” สิ่งมีชีวิตตนนั้นทอดมองจวินอี ถามด้วยท่าทางจริงจัง
“ห๊ะ”
จวินอีอึ้งงัน สิ่งมีชีวิตตนนี้ดูไม่ปกติจริง ๆ หาไม่แล้วไยจึงเอ่ยวาจาเช่นนี้!
เขาตระหนักได้ในพริบตาว่าตำรับลูกกลอนนั้นมีปัญหาจริง สิ่งมีชีวิตนนี้เจอเหตุการณ์เหนือคาดหมายเพราะตำรับลูกกลอนนั้นจริง ๆ!
“ผู้อาวุโส ท่านเป็นอันใดไป”
เขาเอ่ยถามสิ่งมีชีวิตตนนั้น
“เหอะ ๆ ๆ…”
หารู้ไม่ สิ่งมีชีวิตตนนั้นกลับหัวเราะเสียงพิลึกชวนพิศวง ตะโกนลั่น “ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโส ข้าคือจ้าวแห่งวิหารโบราณ! สมาชิกทั้งหมดในวิหารโบราณล้วนเป็นข้ารับใช้ของข้า!”
ตู้มมม!
เสียงระเบิดสยดสยองดังไม่หยุด พลังน่าครั่นคร้ามเหลือคณาพวยพุ่งออกจากสิ่งมีชีวิตตนนี้ สถานที่นี้ระเบิดแหลกลาญ กลายเป็นซากปรักหักพัง
“ไม่ ๆ ๆ ข้าไม่ใช่จ้าวแห่งวิหารโบราณ ข้าคือจ้าวแห่งใต้หล้า สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนเป็นข้ารับใช้ของข้า ต่างต้องทำตามคำสั่งข้า!”
สิ่งมีชีวิตตนนั้นหัวเราะร่วน ท่าทางคล้ายวิกลจริต พลังน่าครั่นคร้ามยิ่งขึ้นพวยพุ่งออกมา
พลังระดับนี้น่ากลัวเกินไป ต่อให้จวินอีอยู่ในขอบเขตอัครขั้นสิบเก้าแล้วยังรับไม่ไหว ชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ ตัวสั่นเทิ้มไม่หยุด!
กระทั่งเขามีวี่แวววิถีสลาย ร่างกายและวิญญาณต่างพากันสลายโดยควบคุมไม่อยู่!
ยังดี ช่วงเวลาคับขันมีพลังไหลออกจากเข็มทิศล่าสมบัติปกป้องเขาไว้ วี่แววที่วิถีเขาจะสลายถึงหยุด
“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
เขาตกตะลึงอย่างยิ่งยวด เหงื่อเย็นไหลโซมทั่วกาย สิ่งมีชีวิตตนนี้น่าพรั่นพรึงยิ่งนัก ต้องรู้ว่า สิ่งมีชีวิตตนนี้ยังไม่ได้ลงมือกับเขา นี่เป็นเพียงพลังที่ไหลออกมาเท่านั้นยังส่งผลให้เขาวิถีสลายอย่างคุมไม่อยู่
หากสิ่งมีชีวิตตนนี้ลงมือกับเขา เขาต้องถูกสังหารในพริบตาแน่!
พลังที่สิ่งมีชีวิตตนนี้มีน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด!
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าดูเป็นคนน่าสนุก มาเถิด มาเล่นเป็นเพื่อนข้า!”
สิ่งมีชีวิตตนนั้นคลี่ยิ้มให้จวินอี
จากนั้น เสียงดังตู้ม เขาบุกไปหาจวินอี!
จวินอีตระหนก รีบเรียกใบไม้แห้งเหี่ยวออกมารับมือศัตรู ทว่าระหว่างที่สิ่งมีชีวิตตนนี้บุกมากลับชะงักงันเสียเฉย ๆ!
“ฮือ ๆ ๆ…”
ที่ชวนอ้าปากค้างคือ หลังสิ่งมีชีวิตตนนี้หยุด ได้ร่ำไห้สะอึกสะอื้น ปากร้องไปว่า “อย่าตีข้า เสี่ยวเจี๋ยเป็นเด็กดีที่สุดแล้ว ท่านอยากให้ข้าทำอะไรข้ายอมทำหมด!”
เกิดอะไรขึ้น?!
“ไม่ใช่ว่าสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ?!”
เขาเอ่ยด้วยหน้าตาพิลึก ท่าทางของสิ่งมีชีวิตตนนี้ดูอย่างไรก็เป็นบ้าไปแล้ว
เป็นผลให้เขาเชื่อไม่ลง
ตัวตนสยดสยองปานนี้ กลับวิกลจริตไปแล้วหรือ
พูดไปผู้ใดจะเชื่อ!
ต่อให้เขาเห็นกับตาก็ยังไม่เชื่อ!
“ตำรับลูกกลอนนี้มีปัญหาใหญ่!”
เขาเอ่ยอย่างอดไม่ได้ รู้สึกว่าตำรับลูกกลอนนี่แหละที่ทรมานสิ่งมีชีวิตตนนี้จนสติฟั่นเฟือน
อีกด้าน สิ่งมีชีวิตตนนั้นยังคงร้องไห้ จวินอีเห็นแล้วสงสาร เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ผู้อาวุโส อย่าร้องไห้อีกเลย ไม่มีผู้ใดตีท่าน!”
“ห๊ะ จริงหรือ”
“ใช่แล้ว ที่นี่มีเพียงข้ากับผู้อาวุโส ไม่มีผู้อื่นอยู่!”
จวินอีกล่าว
สิ่งมีชีวิตตนนั้นหันมองรอบ ๆ ก่อนจะหัวเราะร่วน “จริงสิ ไม่มีผู้อื่นอยู่ ผู้ที่ตีข้าไปแล้ว! ดีจังเลย!”
ทว่าเขาหยุดหัวเราะหลังจากนั้น สีหน้าหม่นหมองเหลือคณา หันมองจวินอีด้วยท่าทางน่าสงสาร “แต่ผู้ที่ตีข้าอาจกลับมาอีก! เจ้าปกป้องข้าได้หรือไม่ เสี่ยวเจี๋ยไม่อยากโดนตีอีกแล้ว!”
ตัวตนน่าครั่นคร้ามระดับนี้กลับอยู่ในสภาพเช่นนี้ ความรู้สึกของจวินอียากจะพรรณนาออกมาจริง ๆ
เขาเอ่ยอย่างทนไม่ไหว “ข้าปกป้องท่านได้ จากนี้ไปท่านไม่ต้องโดนตีอีกแล้ว!”
แต่แล้วสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงคือ สิ่งมีชีวิตตนนี้กลับหวดหมัดใส่เขา!
เขาตั้งตัวไม่ทันสักนิด ถูกหมัดนั้นต่อยเข้าอย่างจัง กระเด็นออกไปในบัดดล ร่างทั้งร่างถูกเล่นงานจนผิดรูปทรง อย่าให้เอ่ยเลยว่าสะบักสะบอมเพียงใด!
ยังดี เขายังมีพลังเข็มทิศล่าสมบัติคอยคุ้มกัน หาไม่แล้วต้องถูกเล่นงานจนร่างระเบิดในหมัดเดียวแน่!
“เจ้า!”
เขาบันดาลโทสะ ดวงตาพ่นไฟ หมอนี่บ้าไปแล้วจริง ๆ เมื่อครู่ยังขอร้องให้เขาอยู่ปกป้อง ลมหายใจต่อมาก็ซัดหมัดใส่เขา!
“ฮือ ๆ ๆ พี่ชายอย่าดุข้า เจ้าว่าจะปกป้องข้าไม่ใช่หรือ”
สิ่งมีชีวิตตนนี้คุกเข่ากับพื้น เอ่ยเสียงสะอื้นด้วยท่าทางน่าสงสาร ราวกับผู้ที่ถูกต่อยคือเขาเสียอย่างนั้น
“เขาเสียสติไปแล้ว ไยข้าต้องถือสา…”
เห็นท่าทางน่าสงสารเช่นนี้ของสิ่งมีชีวิตตนนี้แล้ว หัวใจจวินอีอ่อนยวบ
“ไม่ต้องร้อง ไม่ต้องร้อง ข้าจักปกป้องเจ้าเอง!”
เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยนกับสิ่งมีชีวิตตนนั้นอีกครั้ง
…………….