ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 219 หนึ่งปีเพียงชั่วพริบตา กับ การสอบวัดผล
เดือนที่สามของการสถาปนาราชวงศ์จยาเซียน มีเพียงลู่เจี้ยเท่านั้นที่มิได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ นี่มิเพียงแต่สร้างความสงบสุขให้แก่ราษฎร แต่ยังยึดครองรัฐฉู่ให้อยู่ในอาณัติได้อีกด้วย
ครึ่งปีหลังจากการสถาปนาราชวงศ์จยาเซียน ลู่เจี้ยต้องทำศึกสงครามกับราชวงศ์ต้าฉินและรบชนะตลอดทางภายในระยะเวลาเพียงสองเดือนเท่านั้น ก็สามารถโจมตีจากเป่ยฝางเข้าสู่เมืองหลวงของราชวงศ์ต้าฉินได้แล้ว
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ณ ดินแดนแห่งหนานฮวง ไม่มีรัฐฉู่และอาณาจักรต้าฉินอีกต่อไป และอาณาเขตของจยาเซียนได้แผ่ไพศาลไปอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วพริบตา ก็มาถึงช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว และหลังจากนั้นเพียงเดือนกว่าก็จะเข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาว
ดูเหมือนจะเหนื่อยล้าหรืออาจมีแผนการอื่นรออยู่ การปล้นสะดมของราชวงศ์จยาเซียนจึงหยุดชะงักลง และมีข่าวลือเล็ดลอดออกมาว่าราชวงศ์จยาเซียนจะหยุดโจมตีเพราะ…ลู่เจี้ยล้มป่วย
ณ พระราชวังซั่งตูแห่งราชวงศ์จยาเซียน
ปลายฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นและทุกอย่างแลดูหดหู่
ภายในตำหนักที่ไกลโพ้นและเงียบสงบนั้น มีเสียงไอดังขึ้นเป็นระยะๆ
ลู่วั่งชวนยืนอยู่นอกประตูของห้องโถงด้านใน และถอนหายใจอย่างต่อเนื่อง ความเศร้าโศกของเขาทำให้ดูแก่และซีดเซียวขึ้นเล็กน้อย
“เจี้ยเอ๋อร์ หากเจ้าเปลี่ยนใจ ข้าจะไปเชิญหลิงหวังกลับมา” ลู่วั่งชวนจำไม่ได้แล้วว่าเขาพูดเช่นเดียวกันนี้ไปกี่รอบแล้ว
แต่ทว่า ภายในห้องโถงด้านใน คำตอบของลู่เจี้ยนั้นก็หนักแน่นดังเดิม “ท่านปู่ได้โปรดยกโทษให้หลานชายที่อกตัญญูด้วย”
ลู่วั่งชวนเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจ แล้วเดินจากไปอย่างจนปัญญา
ขณะนี้ ภายในห้องโถงด้านในนั้นร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เตาให้ความร้อนในเรือนลุกไหม้ที่มุมทั้งสี่ของห้องโถง
แม้จะยังไม่ถึงช่วงฤดูหนาว แต่ลู่เจี้ยได้จัดเตรียมของใช้สำหรับป้องกันความหนาวเย็นไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งแม้แต่ตาข่ายกั้นลมก็ถูกแทนที่ด้วยผ้าสำลีแบบหนา
การปิดกั้นลมในฤดูใบไม้ร่วงนี้ กลับทำให้แสงสว่างในห้องโถงมืดสนิทลงไปมาก
ห้องโถงด้านในไม่มีคนนอก มีเพียงลู่เจี้ยที่สวมเสื้อคลุม เผยผิวซีดขาวและราศีอันอ่อนแอ นอกจากนั้นก็ยังมีคนถือถ้วยยา ซึ่งใบหน้าธรรมดาๆ นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกของเงารวมอยู่ด้วย
“นายน้อย สู้ไปรับองค์หญิงเสวียนเทียนกลับมาจะดีกว่าหรือไม่” เงาทนไม่ได้ที่เห็นลู่เจี้ยฝืนกลั้นความคิดของตัวเองไว้
ลู่เจี้ยส่ายศีรษะอย่างช้าๆ “อย่าไปรบกวนนาง”
“นั่น…จดหมายจากองค์หญิงเสวียนเทียน…” เงาเตือนสติอีกครั้ง
ลู่เจี้ยนิ่งเงียบ
ครึ่งเดือนก่อน เจียงหลีส่งจดหมายมาหนึ่งฉบับ
จดหมายระบุไว้ว่าไม่เกินสามเดือนจากนี้จะเป็นช่วงการสอบประจำปีของสถาบันไป๋หยวนซีเฉียน และการสอบครั้งนี้อนุญาตให้ญาติและเพื่อนฝูงมาสังเกตการณ์ได้ รวมถึงสามารถจัดกลุ่มและทำภารกิจของการสอบครั้งนี้ร่วมกันได้อีกด้วย
เจียงหลีหมายความว่าต้องการให้เขามาและเป็นคู่หูของนาง
ลู่เจี้ยปกปิดสภาพร่างกายของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมมาโดยตลอด และมิอยากให้เจียงหลีรับรู้ แต่หากเขาเดินทางไปที่นั่น อาการป่วยของเขาคงเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่เป็นแน่แท้ และหากไม่ไป ก็จะทำให้นางต้องผิดหวังเช่นกัน
“ไปเตรียมตัวเร็ว พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปซีเฉียนกัน” ลู่เจี้ยกล่าวอย่างช้าๆ หลังจากนิ่งเงียบไป
เงาอ้าปากค้างและอยากจะบอกว่าร่างกายของลู่เจี้ย มิสามารถต้านทานต่อความเร่งรีบเช่นนี้ได้
แต่เขารู้ดีว่าเมื่อเจ้านายของเขาตัดสินใจแล้ว จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ทันใดนั้น เงาก็รู้สึกว่าเขาถามคำถามที่โง่มากออกไป การเคลื่อนไหวของราชวงศ์จยาเซียนหยุดชะงักอย่างกะทันหัน ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่จดหมายถูกส่งมาถึงแล้ว
ข้ากลัวว่านายน้อยได้ตัดสินใจไปตั้งแต่เวลานั้นแล้ว
เขาทนไม่ได้ที่จะทำให้นางผิดหวัง!
และไม่มีใครรู้ว่าการโจมตีของราชวงศ์จยาเซียนนั้นเกิดจากคนๆ เดียว ซึ่งมิใช่ลู่เจี้ย แต่เป็นเจียงหลี
ราชินี องค์หญิงเสวียนเทียนแห่งราชวงศ์จยาเซียนของพวกเขา!
“นายน้อย ท่านชายจิ่งมาขอรับ” บ่าวรับใช้รายงานจากด้านนอกห้องโถง ขัดจังหวะการถอนหายใจของเงา
ลู่เจี้ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และพูดอย่างใจเย็น “ให้เขาไปรอในห้องอุ่น”
“ขอรับ” บ่าวรับใช้ก้าวถอยหลังออกไป
ลู่เจี้ยลุกขึ้นยืนและบอกกับเงาว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าที”
…
ห้องอุ่นของลู่เจี้ยสร้างขึ้นในสวนป่า สามารถเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ของสวนที่แตกต่างกันจากบริเวณโดยรอบ ภายในห้องอบอุ่นยิ่งนัก
หรงจิ่งยืนอยู่ในห้องอุ่นและเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ภายนอกอย่างสนอกสนใจ แม้ว่าเขาจะเข้าออกที่นี่มานานกว่าหกเดือนและคุ้นชินกับต้นไม้และใบหญ้าทั้งหมดของที่นี่แล้ว แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย
พอลู่เจี้ยเดินเข้ามา สิ่งที่เขามองเห็นคือเงาด้านหลังของหรงจิ่ง
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านหลัง หรงจิ่งก็หันมาสบตาและมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าในช่วงฤดูหิมะ ทิวทัศน์ที่นี่คงงดงามยิ่งนัก”
การดื่มสุรา การเพลิดเพลินกับหิมะ และการพูดคุยอย่างสนุกสนานภายในห้องอุ่นนี้ ช่างวิเศษเสียจริงๆ
ลู่เจี้ยลดสายตาลงและเดินไปยังที่รองนั่งอันนุ่มสบายของห้องอุ่นแล้วนั่งลง “น่าอิจฉาท่านชายจิ่งเสียจริงที่อยู่เหนือโลกโลกีย์ แต่ทว่า เพราะความนิ่งสงบเช่นนี้ ก็ได้พลาดความสุขในชีวิตจริงมากมาย”
“อาทิ” หรงจิ่งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ลู่เจี้ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ แววตาประกายสีเขียวคราม ราวกับว่าสำรวจหัวใจของมนุษย์ได้ “ข้างกายคุณชายจิ่ง มีคนที่คุ้มค่ากับการทำทุกอย่างเพื่อเขาผู้นั้นหรือไม่”
รอยยิ้มมุมปากของหรงจิ่งจางลง
คำถามของลู่เจี้ยดูเหมือนจะนุ่มนวล แต่ก็แฝงไปด้วยความหมาย
“แล้วนายน้อยลู่มีหรือไม่” หรงจิ่งย้อนถาม
ลู่เจี้ยยิ้มทันทีและตอบโดยไม่ลังเล “มี”
คำตอบที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้หรงจิ่งถึงกับหรี่ตาทั้งสองข้าง แววตาเผยให้เห็นถึงการครุ่นคิด
“ท่านชายจิ่งเคยเห็นหน้าแล้วหนิ” ลู่เจี้ยมองเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ
ประโยคนี้ ทำให้หรงจุนจินตนาการถึงใบหน้าของหญิงสาวผู้หนึ่ง ความจริงแล้วรูปลักษณ์อันสง่างามของหญิงสาวผู้นั้นมิได้สะกดจิตผู้คนได้ถึงเพียงนั้น แต่ความหยิ่งผยองและความมุ่งมั่นในดวงตาของนางต่างหากที่ทำให้ผู้คนจดจำนางได้
นางเคยกล่าวว่า ทุกคนที่เหยียดหยามลู่เจี้ย คือศัตรูของนาง สมควรถูกทารุณและสังหาร!
ส่วนเขา…ไม่ลังเลเลยที่จะเปิดเผยความลับที่เขาเก็บซ่อนไว้เป็นเวลานานหลายปีเพื่อนาง และสังหารทหารนับพันเพียงคนเดียว ภาพนั้น หากนึกย้อนกลับไป ก็เหมือนตกอยู่ในนรกและน่าสะพรึงกลัวเฉกเช่นคงเดิม
แต่ฉากที่ทั้งสองกอดกัน กลับเป็นฉากที่อบอุ่นใจจนทำให้ปวดใจนัก
“ข้ามี แต่เจ้าไม่มี แค่ประการนี้ เจ้าก็แพ้ข้าอีกแล้ว” คำพูดของลู่เจี้ยดูไม่ตั้งใจ แต่ทุกคำเหมือนค้อนหนักทุบมาที่หัวใจของหรงจิ่งทีละคำ
เมื่อหรงจิ่งได้สติกลับมาจากคำพูดของลู่เจี้ย ลู่เจี้ยก็ได้เดินจากไปแล้ว
เพลานี้ เขามองไปที่ทิวทัศน์อันสวยงามของสวนแห่งนี้ แต่เขารู้สึกหมดความสนใจและเหมือนขาดอะไรบางอย่างในก้นบึ้งของหัวใจ ทำให้เขารู้สึกหดหู่ ทันใดนั้น เขาก็หัวเราะและส่ายหัวแล้วพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา “ลู่เจี้ยเอ๋ยลู่เจี้ย เจ้าสามารถฆ่าคนให้ตายได้โดยไม่หลั่งเลือดจริงๆ”
…
ในชั่วพริบตา ก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว
ปลายปีใกล้เข้ามาถึงแล้วเช่นกัน สถาบันไป๋หยวนนับวันสู่การสอบวัดผล
กล่าวกันว่าการวัดผลในครั้งนี้จะถูกส่งไปในพื้นที่แปลกประหลาด เป็นระยะเวลาเจ็ดวัน มีเพียงลูกศิษย์ที่ได้คะแนนตามกำหนดเท่านั้น ถึงจะถือว่าสอบผ่านการสอบวัดผลครั้งนี้
“อาหลี เจ้าให้ข้าร่วมทีมกับลู่เสวียน แล้วเจ้าจะทำอย่างไร” เจียงเฮ่ามองไปที่น้องสาวอย่างไม่พอใจ
เขาถูกอาหลีทอดทิ้งแล้วจริงๆ!
“พวกพี่ทั้งสองร่วมมือกัน ข้าก็จะได้วางใจ ส่วนข้ามีคนรออยู่แล้ว” เจียงหลีพูดตามใจคิด
“ใครกัน” ถึงทำให้นางไว้วางใจได้มากกว่าเขาเสียอีก เจียงเฮ่าไม่พอใจมากขึ้น
เจียงหลีโค้งมุมปากขึ้น แต่มิได้ตอบกลับ
นางมิได้เล่าเรื่องจดหมายที่เขียนถึงลู่เจี้ยให้เจียงเฮ่าและลู่เสวียนฟัง ทางลู่เจี้ยก็มิได้ตอบจดหมาย นางจึงกังกลใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือไม่
อันที่จริง การสอบวัดผลเป็นเพียงเรื่องรอง นางแค่ไม่อยากให้เขาได้ใจ แท้จริงแล้วเพราะนางคิดถึงเขาต่างหาก
“การสอบวัดผลเริ่มต้นขึ้นแล้ว! ผู้เข้าสอบและคู่ของตนเข้าสู่การสอบวัดผล” เสียงของผู้อำนวยการสอบวัดผลครั้งนี้ดังขึ้น
เจียงหลีขมวดคิ้วและหันไปมอง
ลู่เจี้ยยังมาไม่ถึง…
Related