ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 208 ท่านชนะแล้ว!
กลีบดอกไม้กลายเป็นสายฝนที่งดงามโปรยลงมาเต็มไปหมด ปกคลุมชายหนุ่มรูปงามทั้งสองที่อยู่ระหว่างท้องฟ้าและพื้นดิน
“การต่อสู้ระหว่างหลิงไซว่และเนี่ยนซือ เป็นสิ่งที่ผู้คนเฝ้ารอคอยจริงๆ” หรงจิ่งไม่ปิดบังความรอคอยในแววตาเลยสักนิด
ด้านหลังของเขา แสงสีทองพลุ่งพล่าน ร่างที่ใหญ่มหึมาของวิญญาณยุทธ์ปรากฏขึ้นแล้ว
ท่ามกลางสายฝนกลีบดอกไม้ที่งดงาม ร่างปีศาจที่ใหญ่มหึมาสามตัวกำลังคำรามใส่เขาผู้มีรูปโฉมอย่างไร้ที่ติ ก่อให้เกิดการต่อสู้ที่รุนแรง
แววตาของลู่เจี้ยยังคงสงบนิ่ง เขามองปีศาจสามตัวข้างหลังหรงจิ่ง แล้วยิ้มเล็กน้อย “ข่าวลือจากข้างนอกที่บอกว่าขาข้างหนึ่งขององค์ชายจิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นหลิงไซว่แล้ว จะเป็นหลิงไซว่ที่อายุน้อยที่สุด”
ขาข้างหนึ่งก้าวเข้าสู่หลิงไซว่?
ในขณะที่ผู้คนยังคาดไม่ถึง หรงจิ่งเป็นหลิงไซว่ตั้งนานแล้ว
ทันใดนั้นลู่เจี้ยเกิดความกลัวเล็กน้อย นึกถึงสึกครั้งนั้นที่เจียงหลีไปหาเรื่องหรงจิ่ง ตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ข้างๆ เจียงหลี แต่เขาก็รู้ว่าถ้าหรงจิ่งไม่ยั้งมือ ก็ไม่รู้ว่าเจียงหลีจะเป็นอย่างไรบ้าง
“นายน้อยลู่ในสายตาผู้คน ไม่ได้เป็นเพียงนายน้อยที่เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ หรอกรึ” หรงจิ่งอมยิ้มแล้วถามกลับ
ลู่เจี้ยยิ้ม ไม่พูดอะไรอีก หรงจิ่งหุบยิ้ม แววตาเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
การต่อสู้ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นลู่เจี้ยหรือหรงจิ่ง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ต่อให้จุดจบของการต่อสู่ครั้งนี้จะถูกกำหนดไว้แล้วก็ตาม
ถึงแม้ว่าเนี่ยนจงและหลิงไซว่จะอยู่ในคนละระบบกัน แต่ความต่างของพลังนั้นต่างกันหนึ่งขั้นใหญ่ๆ เลยทีเดียว
ความแวววาวในดวงตาของลู่เจี้ย ความรุนแรงที่ซ่อนเร้นเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ
พลังจิตที่อยู่รอบๆ ตัวเขา กลายเป็นพายุฝนที่โหมกระหน่ำ คลื่นยักษ์ที่น่ากลัวพุ่งเข้าใส่หรงจิ่ง แต่วิญญาณยุทธ์ของหรงจิ่งกักเก็บพลังรอจังหวะเพื่อปลดปล่อย สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่อันตรายเสียแล้ว
ตูมมม!
พลังจิตที่ไร้รูปร่าง ฝุ่นปลิวว่อน ก้อนหินกลิ้งไถลไป ปะปนกับกลีบดอกไม้ ค่อยๆ ปกคลุมไปทั่วร่างของหรงจิ่ง มีเพียงแสงสีทองที่ส่องสว่างไม่ดับลง
ตูมมม!
ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็มืดครึ้ม
ท้องฟ้าที่เดิมทีปลอดโปร่ง ชั่วพริบตาก็มืดครึ้มลง บนท้องฟ้าของทุ่งดอกไม้ที่บานสะพรั่ง กลุ่มก้อนเมฆกลายเป็นพายุหมุน ในนั้นเหมือนกับมีเสียงคำรามของปีศาจร้ายดังออกมา กำลังค่อยๆ กดลงมาที่พื้น เพื่อกลืนกินหรงจิ่ง
โฮกกก!
เสียงคำรามของวิญญาณยุทธ์ เหมือนกับจะต่อต้านพลังนี้
แสงสีทองพุ่งออกมาจากกลางพายุไปบนฟ้า ทันใดนั้นร่างวิญญาณยุทธ์ของหรงจิ่งตัวหนึ่งก็ใหญ่ขึ้น บ่าทั้งสองข้างต้านทานกับท้องฟ้าที่กดลงมา ส่งเสียงคำรามอย่างสุดพลัง
อ้าก!
อ้าก!
ฟ้าดินกำลังสั่นสะเทือน ภูเขาและแม่น้ำกำลังร้องไห้สะอื้น
การต่อสู้ในครั้งนี้ สะท้านฟ้าสะเทือนปฐพี
ผู้คนที่อยู่ไกลๆ มองไปที่นั่นด้วยความตกใจกลัว พายุสีดำบนฟ้าที่กลืนกินอย่างต่อเนื่อง พลังที่บ้าคลั่งกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้พวกเขาต่างพากันหนีไปรอบนอก ไม่กล้าเข้าใกล้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ตรงนั้นมีผู้ที่เก่งกาจต่อสู้กันอยู่รึ”
“เป็นพลังที่น่ากลัวมาก! เป็นใครที่ต่อสู้กันอยู่”
“อยากจะไปดูจริงๆ เลย!”
“ไม่ต้องไป พลังรุนแรงและน่ากลัวขนาดนี้ คนอย่างพวกเราเข้าใกล้ ได้เละเป็นผุยผงแน่”
“รีบไป ออกห่างไปอีกหน่อย จะได้ไม่โดนลูกหลง”
“……”
ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว ดำเนินอยู่อย่างนั้นสักพักแล้วค่อยๆ สงบลง เพียงแต่ ถึงแม้จะสงบลงแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ กลัวมากว่าความประมาทจะนำมาซึ่งอันตราย
ในส่วนลึกของทุ่งดอกไม้ ที่ๆ มีดอกไม้บานสะพรั่งผืนนั้นไม่มีอยู่อีกแล้ว เหลือเพียงกิ่งไม้โล้นๆ ราวกับถูกสายฝนทำลายไป
ลู่เจี้ยยังคงยืนอยู่ที่เดิม เหมือนจะไม่ได้ขยับไปเลยแม้แต่ก้าวเดียว
และหรงจิ่งในตอนนี้เหมือนจะจนตรอก เสื้อสีขาวบนตัวเขา ขาดเป็นชิ้นๆ มวยผมที่เรียบร้อยก็มีเส้นผมหลุดร่วงลงมาไม่น้อย
ที่มุมปากของเขา มีรอยเลือดติดอยู่
แม้ว่าเขาจะจนตรอกเช่นนี้ ดวงตาคู่นั้นที่ใสแจ๋วของเขา ยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ท่านชนะแล้ว! นายน้อยตระกูลลู่ ไม่ธรรมดาจริงๆ”
ลู่เจี้ยกลับพูดอย่างสงบนิ่งว่า “ขั้นพลังของข้าสูงกว่าท่าน ถือว่าได้เปรียบ”
พูดจบ เขาก็หันตัวเดินจากไปอย่างสงบนิ่ง
หรงจิ่งขมวดคิ้ว มองตามหลังของลู่เจี้ยด้วยแววตาที่สับสนเล็กน้อย ทำได้เพียงรอให้ลู่เจี้ยจากไป เมื่ออาเฉวียนมาถึงข้างๆ เขาก็ยังคงมองอยู่
“คุณชายขอรับ นี่เขาหมายความว่าอย่างไร” อาเฉวียนถามอย่างไม่เข้าใจ
หรงจิ่งไม่ได้พูอะไร แววตาบ่งบอกว่าเขาก็ไตร่ตรองอยู่
ลู่เจี้ยนัดเขามาเอง หรือเพียงเพื่อต้องการต่อสู้ แล้วนี่สมใจเขาแล้วรึ
ไม่สิ ไม่น่าง่ายดายเช่นนั้น หรงจิ่งปฏิเสธการคาดเดานี้ในใจ ดูจากหลายๆ เรื่องในตอนนี้ เดิมทีลู่เจี้ยไม่ใช่คนที่ทำเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ เขาต้องมีจุดประสงค์ของเขาแน่นอน เพียงแต่ว่าจุดประสงค์นี้ยังคง……
“พวกเรากลับกันเถอะ” หรงจิ่งหันหลัง แล้วพูดกับอาเฉวียน
……
อีกฝั่งหนึ่ง ลู่เจี้ยนั่งรถม้ากลับไปแล้ว
ในรถม้า เงาปรากฏอยู่ข้างๆ เขา เทของเหลวใสจากขวดดินเผาใส่แก้ว หลังจากนั้นจึงยื่นแก้วให้กับลู่เจี้ย
ลู่เจี้ยรับมา แล้วดื่มเข้าไป ส่งแก้วเปล่าคืนให้เงา
แต่เงายังไม่ละจากไป จะเปิดปากพูดแต่ก็ปิดปากลง ไม่ได้พูดอะไรออกมา มองไปที่เขา ลู่เจี้ยเงยหน้าขึ้นมอง พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “อยากถามอะไรก็ถามมาเถอะ”
“นายน้อยไม่ได้บอกว่าจะให้หรงจิ่ง……” เงามีความสงสัยเล็กน้อย
ก่อนไปประลอง นายน้อยบอกแล้วว่าในขั้นสุดท้าย เขาคงจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ต้องให้หรงจิ่งจัดการให้สำเร็จ และหรงจิ่งก็จะทำตามแผนที่เขาวางไว้ ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน
วันนี้พวกเขาพบเจอกันแล้ว แต่เพียงประลองกันเล็กน้อย หลังจากนั้น……ก็ไม่มีเกิดขึ้น
“หรงจิ่งนั้นไม่ธรรมดา” เสียงของลู่เจี้ย ค่อยๆ ดังขึ้น “เขาทำเสมือนได้ละทางโลกแล้ว แต่ในใจกลับหยิ่งผยองเป็นอย่างมาก ความหยิ่งผยองนี้เป็นจุดอ่อนของเขา”
“ความยิ่งผยอง?” เงายังคงไม่เข้าใจ
ลู่เจี้ยพูด “เมื่อมีคนกดหัวเขา ก็จะไปกระตุ้นใจที่ชอบเอาชนะของเขา และความต้องการเอาชนะนี้ ไม่ใช่การเอาชนะคู่ต่อสู้ แต่ต้องการแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้”
เงาขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจที่ลู่เจี้ยพูด อะไรคือไม่ใช่การเอาชนะคู่ต่อสู้ แต่ต้องการแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้?
เห็นเขาไม่เข้าใจ ลู่เจี้ยก็ไม่ได้อธิบายเพิ่ม เพียงพูดว่า “อีกหน่อย เจ้าก็จะค่อยๆ เข้าใจเอง”
“แต่ว่าหรงจิ่งจะทำตามแผนที่ท่านวางไว้หรือ” เงาเป็นกังวล
แววตาของลู่เจี้ยเคร่งขรึมขึ้น “ทำแน่นอน ในตอนที่เขาทนไม่ไหวจนต้องลงมือกับหลีเอ๋อร์ เขาก็กลายเป็นหมากตัวหนึ่งในมือของข้าแล้ว”
เงามองใบหน้าด้านข้างของลู่เจี้ย แล้วทอดถอนใจ
คนในใต้หล้า ล้วนแต่คิดว่าตนเองฉลาด คือผู้ควบคุม แต่กระดานหมากในใต้หล้านี้ จากที่เขาพบเห็น มีเพียงนายน้อยของเขาผู้นี้ที่เป็นคนเดินหมากตัวจริง!
“เงา” ทันใดนั้นลู่เจี้ยก็เรียก
เงาหยุดคิด โค้งตัวลง “ขอรับ”
“พวกหลีเอ๋อร์……” เสียงของลู่เจี้ยขาดไป หลังจากนั้นนานมาก เขาจึงพูดเต็มๆ ประโยค “ไปนานเท่าไหร่แล้ว”
“……” เงาอึ้งไป ลอบถอนหายใจ ตอบตามความเป็นจริง “นายน้อย วันนี้เป็นวันแรกที่องค์หญิงเสวียนเทียนเสด็จเดินทางขอรับ”
“เพิ่งจะวันแรกเองหรือ ข้ากลับรู้สึกเหมือนนานมากๆ แล้ว” ลู่เจี้ยพูดพึมพำ
Related