ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 16 มาหาถึงที่
เจียงหลีและลู่เจี้ยแลกเปลี่ยนลมปราณกันลับๆ หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาอารมณ์แปรปรวน
“เจ้าแน่ใจหรือ” ลู่เจี้ยถามย้ำอีกครั้ง น้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนเป็นเข้มขรึม
เจียงหลีพยักหน้า แปลกใจว่าทำไมเขาต้องสนใจด้วย
นางไม่รู้ว่าเด็กทุกคนบนโลกนี้ ขณะที่อายุหกถึงเจ็ดปี ต้องเข้าพิธีเบิกเนตรญาณ เพื่อทำการทดสอบพรสวรรค์ เด็กที่มีพรสวรรค์จะมีชะตาชีวิตที่แตกต่างจากผู้คนทั่วไปโดยธรรมชาติ แท้จริงแล้วขณะที่เจียงหลียังเด็กก็เคยเข้าร่วมการทดสอบเช่นกัน แต่ว่าเบิกเนตรญาณไม่สำเร็จ กล่าวได้ว่านางไม่มีพรสวรรค์
หลังจากที่ทุกคนเข้าพิธีเบิกเนตรญาณแล้ว จะมีการบันทึกผลลัพธ์ไว้ และสามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย
แต่ตอนนี้ นางกล่าวว่าตนเองสามารถรับรู้ได้ถึงเนตรญาณ นี่ไม่เพียงแต่เป็นการบ่งบอกว่านางไม่ใช่เจียงหลีคนเดิมแล้ว และยังบ่งบอกอีกว่าสิ่งที่นางพูดนั้นมีความเป็นไปได้จริง
สิ่งที่ลู่เจี้ยสนใจคือสิ่งนี้
“ใครก็ได้ ไปนำหินวิญญาณมา” ลู่เจี้ยสั่ง
เขารู้สึกสงสัยว่า ‘ราชินี’ บางองค์จะมีเนตรญาณจริงหรือไม่
“ขอรับ นายน้อย” มีเสียงคนตอบจากข้างนอก
เจียงหลีรู้สึกสงสัย ไม่รู้ว่าหินวิญญาณคืออะไร นางมองไปที่ลู่เจี้ย หวังว่าจะได้รับการอธิบาย แต่ว่าชายคนนี้ กลับไม่มองสายตาอ้อนวอนของนาง
ไม่นาน เจียงหลีได้ยินเสียงชุดเกราะและเสียงฝีเท้าจากข้างหลัง มีสายลมพัดผ่านตัวนางไป
เจียงหลีมองเห็นผู้อารักขาตระกูลลู่คนหนึ่ง ยืนอยู่ข้างๆ นาง และในมือของเขาถือก้อนหินสีดำอยู่
“นายท่าน หินวิญญาณขอรับ”
นี่น่ะหรือหินวิญญาณ เอามาใช้ทำอะไรกัน เจียงหลีจ้องมองหินสีดำก้อนนั้นอย่างสงสัย
“เจียงหลี” ลู่เจี้ยก็ส่งเสียงเรียก
เจียงหลีละสายตาจากก้อนหินมองมาที่เขา
“รับหินวิญญาณไป ดูดซับพลังข้างในแล้วปลดปล่อยพลังของเจ้าออกมา” ครั้งนี้ลู่เจี้ยส่งเสียงออกมา ดูจริงจังมากกว่าเดิม
ผู้อารักขาที่ส่งหินวิญญาณมาให้ มองมาที่เจียงหลีอย่างประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าเจ้านายน้อยให้เขานำหินวิญญาณมา ก็เพื่อเบิกเนตรญาณของทาสหญิงนี้
ทาสหญิงคนหนึ่ง จะมีพลังตื่นรู้จริงหรือ หากนางเกิดมีขึ้นมา ก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้เลย!
เขาทำใจให้สงบ นำก้อนหินในมือยื่นให้กับเจียงหลี พร้อมบอกนางว่าต้องดูดซับหินวิญญาณอย่างไร
เจียงหลีรับก้อนหินที่หนักและเย็นนั้นมา ขณะที่นางเรียนรู้วิธีการใช้หินวิญญาณ นางมีความฉงนใจเล็กน้อย ภายในความทรงจำของเจ้าของเดิม ประสบการณ์ในช่วงวัยเด็กช่างเลือนรางนัก
สำหรับเจียงหลีแล้ว ครั้งนั้น ถึงจะนับเป็นการตื่นรู้ที่แท้จริงครั้งแรก
เจียงหลีนั่งขัดสมาธิ นำหินวิญญาณวางไว้ที่มือทั้งสองข้าง หลับตาลง ทำตามวิธีที่ผู้อารักขาบอกกับนาง เพื่อดูดซับพลังงานของหินวิญญาณ
มีพลังหนึ่งที่มองไม่เห็นแต่คุ้นชินนักซึมเข้ามาภายในร่างกายของนาง หลั่งไหลไปทั่วร่างอย่างช้า ๆ
นี่มัน! เจียงหลีประหลาดใจ พลังภายในของหินนี้ คือวัตถุที่นางกลืนกินขณะที่นางล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่านั่นเอง
เจียงหลีควบคุมอารมณ์ของนางไว้ สงบสติอารมณ์ แล้วเบิกเนตรญาณ
เนตรญาณ เนตรญาณอยู่ที่ใดกัน
ขณะที่เจียงหลีกำลังทำสมาธิ คลับคล้ายมีเสียงของลู่เจี้ยลอยเข้ามาในหูว่า
“ว่ากันว่า การเบิกเนตร จะกำหนดชะตาชีวิตของเจ้าได้ ระหว่างการฝึกฝนนี้ หากสามารถบรรลุได้หนึ่งสิ่ง เนตรญาณจะถูกใช้ไปหนึ่ง หมายความว่าเป็นบุคคลที่มีเนตรญาณมากกว่าหนึ่งแต่กำเนิด ภาวะน้อยไปหนึ่ง เว้นแต่ขณะที่ภาวะถูกทำลาย จะมีโชคลาภประเสริฐที่เบิกเนตรญาณใหม่ขึ้นได้อีกครั้ง ดังนั้น บางคนที่ทำการเบิกเนตรญาณในครั้งแรก สามารถปลุกญาณได้เพียงสามหรือสี่ญาณเท่านั้น ท้ายที่สุด กลับมีถึงห้าถึงหกเนตรญาณ แน่นอนว่า การเบิกเนตรญาณตอนโตแล้วไม่มีทางได้ผลดีเท่าการเบิกเนตรญาณในวัยเยาว์ ข้าขอดูซิ ว่าเบิกเนตรญาณของเจ้าครั้งนี้ จะเบิกเนตรญาณได้กี่ดวง”
เสียงของลู่เจี้ยหายไป เจียงหลีค่อยๆ ขมวดคิ้ว
พลังของหินวิญญาณ ประหนึ่งกำลังปลุกกำลังภายในร่างกายนาง นางรู้สึกราวกับว่ากำลังโดนเข็มทิ่มแทงเส้นเลือด
พลังของหินวิญญาณกำลังฉีกวิญญาณของนาง ประหนึ่งจะฉีกอะไรออกมาให้จงได้
ท่าจะไม่ดีแล้ว! สีหน้าของเจียงหลีขาวซีด นางรับรู้ได้ถึงพลังของวัตถุที่นางกลืนกินแต่ยังไม่สมบูรณ์ที่ซ่อนอยู่ในวิญญาณของนาง คลับคล้ายว่าพลังนั้นได้รับการกระตุ้น มีลำแสงหนึ่งส่องออกมา
ผู้อารักขาที่อยู่ข้างเจียงหลี มองนางด้วยความรู้สึกเป็นกังวล แต่ไม่กล้าส่งเสียงรบกวน
ลู่เจี้ยก็จ้องมองนางตาไม่กะพริบ มองเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวของนาง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นวาบ
ทันใดนั้น มีแสงสีทองออกมาจากตัวของเจียงหลี แสงจากบนลงล่าง ล้อมรอบตัวนางราวกับสิ่งที่ปรากฏตรงนี้เป็นภาพลวงตา หลอมรวมกลายเป็นลวดลายที่สวยงาม วิจิตรยิ่งนัก
“หนึ่ง สอง สาม สี่…” ผู้อารักขานับด้วยเสียงทุ้ม
แสงสีทองยังแผ่ออก ส่องสว่างจากตัวนางไม่หยุด รอบตัวนางกลายเป็นวงแหวนที่สดใสงดงาม เจียงหลีที่โดนห่อหุ้มด้วยแสงสีทอง ผิวนางเป็นประกายแวววับดั่งหยกล้ำค่า ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ สวยงามไม่มีใครทัดเทียม ระหว่างคิ้วมีพลังที่ยากจะเปรียบเปรย นี่คือพรสวรรค์ ที่แตกต่างจากคนธรรมดา
ดวงตาทั้งคู่ที่ดูเกียจคร้านของลู่เจี้ย ค่อยๆ พินิจอย่างตั้งใจ ถึงขั้นนั่งตัวตรงขึ้นมา มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
“หก เจ็ด แปด”
“เก้า!”
ผู้อารักขากลั้นหายใจ เบิกตาโต ปิดริมฝีปากแน่น ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า เขาคิดว่าตัวเองนับเลขผิดแน่ๆ
ลู่เจี้ยลุกยืนพรวด มองไปที่หญิงสาวที่โอบล้อมด้วยวงแหวนสีทองด้วยความตกใจ
แต่ว่า สิ่งที่ล้อมรอบตัวเจียงหลี คือวงแหวนเก้าวงอย่างแท้จริง!
“เก้าเนตรญาณ!”
ผู้อารักขาตกตะลึง ดวงตาของลู่เจี้ยก็เป็นประกายแพรวพราว
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็น ท่ามกลางแสงสดใสที่ทำให้ตกตะลึงทั้งเก้านั้น ยังมีแหวนอีกวงหนึ่งที่เลือนรางประหนึ่งไม่มีอยู่
เจียงหลีไม่ได้มีเพียงแค่เก้าดวง แต่เป็นสิบดวงที่ไม่เคยปรากฏในผู้ใดมาก่อน! นางอยู่เหนือตำนานทั้งหลาย!
“สี่เนตรญาณ ก็นับได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์แล้ว ห้าเนตรญาณก็นับได้ว่าเป็นเทียนเจียว ในราชวงศ์
โฮ่วจิ้นนี้ หากมีหกเนตรญาณก็ได้ชื่อว่าเป็นความภาคภูมิไม่มีใครเทียบได้แล้ว”
ปีศาจ! นี่มันนังปีศาจในตำนาน! ผู้อารักขาพูดในใจหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเขา
พรสวรรค์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ได้ปรากฏต่อหน้าเขา ผู้อารักขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้น เขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่เยือกเย็นของลู่เจี้ยที่มองมา ผู้อารักขาตกใจ คุกเข่าลงทันที “นายน้อย เรื่องในวันนี้ ข้าน้อยจะไม่ปริปากบอกเล่าแม้แต่ครึ่งคำ หากข้าน้อยผิดคำพูด ขอให้ไม่ได้ตายดี! วายวอดไปทั้งเก้าชั่วโคตร!”
สายตาอาฆาตของลู่เจี้ยหายไป ญาณในตัวเจียงหลีก็ค่อยๆ จางหายไป วงแหวนเก้าวงที่สะดุดตา
มลายหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่า
นางลืมตาขึ้น ไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวนาง ได้ยินลู่เจี้ยพูดว่า
“นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องคอยติดตามเจียงหลี ขณะที่เจ้ายังมีประโยชน์อยู่นี้ ให้รับใช้ตามคำสั่งจากนาง”
“ขอรับ นายน้อย!” ผู้อารักขารีบขานรับ ไม่กล้าแสดงความกังวลใดออกมาให้เห็น แม้นว่าขณะนี้หัวใจของเขายังคงเต้นแรงไม่หยุด
“อะไรนะ ทำไม…” เจียงหลีไม่เข้าใจ เหตุใดจู่ๆ นางก็มีคนรับใช้เพิ่มอีกคนหนึ่ง
ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นแทรกคำพูดเจียงหลี
“นายน้อยขอรับ เย่ว์ชิงหลิวจากตระกูลเย่ว์มาขอเข้าพบขอรับ”
เจียงหลีมองด้วยสายตาเย็นชา
มาถึงรวดเร็วยิ่งนัก!