ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 12 ศักดิ์ศรีตระกูลเย่ว์ ข้าจะเหยียบย่ำให้หมด
ผู้อารักขาขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจ เจียงหลีบาดเจ็บถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังอยากไปพบนายน้อย มิหนำซ้ำ นางยังกล้าเอ่ยนามของนายน้อยออกมาตรงๆ อีกด้วย แต่ทว่าด้วยสายตาอันแน่วแน่ของนาง ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้
ด้วยเหตุนี้ เจียงหลีที่ฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดของซี่โครงที่หักจึงถูกพามาหาลู่เจี้ย
ลู่เจี้ยมองไปที่สภาพของนางแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ไม่เจอกันเพียงครู่เดียว เจ้าทำให้ตัวเองมีสภาพสะบักสะบอมเยี่ยงนี้ได้ ดูท่าว่าเจ้าจะทำให้ชีวิตน้อยๆ นี้มีอันเป็นไปก่อนที่ข้าจะได้ใช้ประโยชน์เสียแล้ว”
เจียงหลีมองไปที่ลู่เจี้ย พลันคิดว่าชายคนนี้กำลังยิ้ม แต่นัยน์ตาดูล่องลอย ดูออกยากว่าแท้จริงแล้วกำลังคิดสิ่งใดอยู่
นางเข้าใจดีว่าเสียงข่มขู่สุดท้ายที่ดังขึ้นเมื่อครู่ต้องเป็นเจตนาของลู่เจี้ย ภายในจวนซ่อนยอดฝีมือไว้มากมายถึงได้กล้าพูดจาเช่นนั้น ฉะนั้น เขารับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนอกประตูใหญ่นั่นเป็นแน่แท้ แต่ตอนนี้กลับมาแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้ทุกอย่างอยู่แล้ว
“ข้าต้องการให้ท่านช่วยข้าสักเรื่อง” เจียงหลีขอร้องอย่างตรงไปตรงมา
ความเจ็บปวดบนร่างกายนั้น รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นางไม่มีเวลาพูดจาเล่นลิ้นกับเขาแล้ว
ลู่เจี้ยขมวดคิ้ว ทำให้ใบหน้างดงามล่มเมืองของเขายิ่งดูงามจับจิตจับใจมากยิ่งขึ้น “ข้อเรียกร้องของเจ้าช่างมากมายเหลือเกิน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าขอร้องหนึ่งครั้งสองครั้งได้ แต่จะขอเป็นครั้งที่สามนั้นไม่ได้”
เจียงหลีกัดฟัน จ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่งดงามดุจหยกบริสุทธิ์ “ข้ามีข้อแลกเปลี่ยน”
“หืม เจ้าในตอนนี้ ยังมีอะไรที่สามารถนำมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับข้าได้หรือ” ลู่เจี้ยหรี่ตาลงด้วยความสนใจ เขามองไปที่สาวน้อยที่ขอร้องเขา แต่แววตาของนางกลับแฝงความโหดเ**้ยมที่ขัดกับอายุ ความแข็งกร้าวในแววตานั้นแม้แต่ยอดฝีมือที่เก่งที่สุดในจวนก็ยังไม่มีแววตาเช่นนี้ ลู่เจี้ยชอบความเป็นนางในมุมนี้ แต่ถ้าจะให้เขาออกหน้า แค่นั้นยังไม่เพียงพอ
จะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยน
เจียงหลีในตอนนี้มิมีสิ่งมีค่าใดติดตัว สิ่งเดียวที่มีคืออาวุธเทพ ‘จูเสีย’ ของที่มู่ชิงเกอได้หลอมขึ้นให้นาง แต่จูเสียได้หลอมรวมเข้ากับนางเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว ไม่เพียงแต่นางจะไม่ยอมนำมันออกมาแลก ต่อให้นางอยากเอามันออกมาแลก ตอนนี้นางไม่สามารถรับรู้ถึงมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการนำมันออกมาได้เลย
เมื่อเห็นว่านางเงียบไป ดวงตาใสวาววับดุจกระจกของลู่เจี้ยนั้นล้อแสงส่องประกายแวววาว เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่สู้นำความลับของเจ้ามาแลกเปลี่ยน”
เจียงหลีจ้องมองไปที่เขาโดยไม่กล่าวสิ่งใด พลางคิดว่าเขากำลังล้วงความลับของตระกูลเจียงอยู่
ลู่เจี้ยสะบัดแขนเสื้อ กดสายตาลงต่ำเพื่อจับจ้องมองนาง ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม แต่พลันเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นใคร”
พอเจียงหลีได้ยินคำถาม หัวใจกระตุก แววตาวูบไหว “ข้าเป็นใคร ท่านตรวจสอบไปแล้วมิใช่หรือ”
ลู่เจี้ยหัวเราะออกมาเบาๆ “หากเจ้าเป็นบุตรสาวของเจียงหลินเฟิงจริง คงไม่ตกอยู่ในสภาพถูกผู้อื่นจับไปขายเป็นทาส อีกทั้งยังเกือบสิ้นลมกลางลานประลองหรอก”
เจียงหลีปิดปากเงียบ
นางทราบดีว่านางไม่สามารถปิดบังคนเจ้าเล่ห์เพทุบายราวสุนัขจิ้งจอกอย่างเขาได้
เขาคงสงสัยนางมาตั้งแต่ต้นเป็นแน่ เพียงแค่ไม่ได้กล่าวเปิดโปง แต่พยายามหยั่งเชิงนางมาโดยตลอด โอกาสที่มาถึงในวันนี้กลับเป็นตนที่หยิบยื่นให้ เขาเพียงแค่ทำทุกอย่างไปตามที่นางเปิดช่องเท่านั้น เจียงหลีรู้สึกในทันใดว่าการแข่งขันรอบสองระหว่างนางและเขา ก็ยังเป็นนางที่แพ้ราบคาบอีกเช่นเคย
“ได้ ข้าตกลง เพียงแค่ท่านช่วยข้าในครั้งนี้ ข้าจะบอกความจริงกับท่านว่าข้าเป็นใคร” หลังจากครุ่นคิดสักครู่ นางก็เอ่ยปากตอบตกลงโดยทันที
มุมปากของลู่เจี้ยยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้าง เขาถามด้วยความสนอกสนใจว่า “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยทำสิ่ง
ใด”
“กระดาษและพู่กัน ข้าต้องการเขียนหนังสือถอนหมั้น หลังจากนั้น รบกวนท่านให้คนส่งไปที่จวนตระกูลเย่ว์ แห่ไปให้เอิกเกริก เอาให้คนทั้งเมืองได้ทราบเรื่องนี้!” เจียงหลียิ้มเย็น พร้อมกล่าวถึงสิ่งที่ตนต้องการ
แท้จริงแล้วนี่ไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นอะไร เพียงแต่นางในตอนนี้จำเป็นต้องพึ่งพาบารมีของลู่เจี้ย นางต้องทำให้ไว ต้องชิงส่งหนังสือขอถอนหมั้นตัดหน้าตระกูลเย่ว์ ไม่อย่างนั้นแล้ว ชื่อเสียงของเจ้าของร่างนี้จะต้องป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี การส่งหนังสือขอถอนหมั้นไม่เพียงแค่เป็นการแก้แค้นเย่ว์หนานซี ทั้งยังเป็นการปลดปล่อยเจ้าของร่างเดิมให้หลุดพ้น
หลังจากที่ลู่เจี้ยได้ยินสิ่งที่นางร้องขอ แววตาของเขาวูบไหวอยู่ครู่หนึ่ง พลันหัวเราะออกมาเสียงดัง “นี่เจ้ากำลังจะตบหน้าตระกูลเย่ว์ให้คนทั้งเมืองซูหนานเห็น”
เจียงหลียกมุมปากวาดขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ นัยน์ตากลับยังคงเย็นชาดุจน้ำแข็ง “ข้าต้องการเหยียบย่ำคนตระกูลเย่ว์ เอาให้พวกมันหมดทางพลิกคืน!”
“ได้!” ลู่เจี้ยตอบรับด้วยเสียงอันดัง และหันไปสั่งการข้ารับใช้หญิง “ไปนำกระดาษและพู่กันมา”
…
เย่ว์หนานซีที่หมดสติถูกนางเหอซื่อและเจียงอวี๋พยุงกลับจวนตระกูลเย่ว์ ภายในจิตใจของนางทั้งสองเคียดแค้นเจียงหลีเข้ากระดูกดำ แต่คิดไม่ถึงว่าในตอนที่พวกนางเพิ่งจากมา เจียงหลีก็วางแผนขั้นต่อไปเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“ท่านแม่ สิ่งที่เจียงหลีทำลงไปในวันนี้ชักจะมากเกินไปแล้ว นางกล้าทำร้ายพี่หนานซี” เจียงอวี๋เช็ดคราบเลือดที่มุมปากของเย่ว์หนานซีด้วยดวงความสงสารและเจ็บช้ำน้ำใจ นัยน์ตาอัดแน่นไปด้วยความแค้น
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ตำแหน่งของเย่ว์หนานซีในตระกูลสำคัญถึงเพียงนี้ ตระกูลเย่ว์ไม่มีทางปล่อยผ่านเรื่องนี้เด็ดขาด” นางเหอซื่อคับแค้นใจยิ่งนัก เจียงหลีตกต่ำถึงเพียงนี้ ยังมีหน้ามาวางตัวเหิมเกริมต่อหน้านางอีก
เมื่อกล่าวถึงตระกูลเย่ว์ เจียงอวี๋พลันรู้สึกกลุ้มใจพลางกล่าวว่า “พี่หนานซีกลับไปในสภาพนี้ นายใหญ่ตระกูลเย่ว์จะไม่เดือดดาลแทบคลั่งหรือ”
“ยิ่งเดือดดาลสิยิ่งดี ถ้าไม่เดือดดาลพอจะไปจัดการนางสารเลวนั่นได้อย่างไร” นางเหอซื่อหัวเราะอย่างสะใจ
“แต่ว่าเขาจะไม่เอาโทสะมาลงที่พวกเราหรือ” เจียงอวี๋คิดไปไกลกว่านั้น เพราะอย่างไรเสียก็เป็นพวกนางสองแม่ลูกที่ยุยงเย่ว์หนานซีให้ไปหาเจียงหลี
นางเหอซื่อพลันหน้าถอดสี แสร้งทำเป็นไม่เดือดร้อนพร้อมกล่าวว่า “พวกเรามีเจตนาดี ใครจะไปรู้ว่านางเจียงหลีจะยโสโอหัง กำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะนาง หนานซีก็ไม่มีทางตกอยู่ในสภาพแบบนี้”
นางกรอกตาไปมาพลางกล่าวกับบุตรสาวว่า “หลังจากกลับไปถึงจวน พวกเรา…”
…
“ใครหน้าไหนเป็นคนทำ!”
หลังจากที่เย่ว์หนานซีถูกพากลับไปที่จวน เสียงตะคอกที่อัดแน่นด้วยโทสะของนายใหญ่ตระกูลเย่ว์ก็ดังก้องไปทั่วจวน
ภายในจวนตระกูลเย่ว์ ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดแม้นเพียงสักครึ่งคำ เพราะกลัวจะโดนหางเลขไปด้วย หมอประจำตระกูลเย่ว์ถูกส่งเข้าไปรักษาตัวเย่ว์หนานซีทันที พร้อมด้วยยาวิเศษประจำตระกูลที่เย่ว์ชิงหลิวผู้เป็นนายใหญ่ได้สั่งการให้นำออกมาใช้ เพื่อรักษาชีวิตของบุตรชายผู้เป็นแก้วตาดวงใจของตน ทำให้ห้องพักของเย่ว์หนานซีนั้นมีผู้คนเดินเข้าๆ ออกๆ เพื่อทำการรักษาเขาอยู่ตลอดเวลา
ภายในห้องพักมีเสียงร้องไห้ของฮูหยินใหญ่เล็ดรอดออกมาไม่หยุด ส่วนนายท่านใหญ่นั้นยืนอยู่หน้าห้องด้วยใบหน้าอันมืดครึ้ม สายตาจับจ้องไปที่นางเหอซื่อและเจียงอวี๋
“เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ ใครเป็นคนทำให้เย่ว์หนานซีบาดเจ็บถึงเพียงนี้” เย่ว์ชิงหลิวนั้นฝึกจิตจนบรรลุถึงระดับสูงสุด เมื่อเขาโมโหนางเหอซื่อและเจียงอวี๋จึงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบกายที่บีบรัดขึ้นในฉับพลัน ประหนึ่งว่าพวกนางถูกตรึงร่างไว้กับที่
“นายท่าน คือ…คือว่าทั้งหมดเป็นเพราะนางสารเลวเจียงหลีเจ้าค่ะ” นางเหอซื่อรีบรายงาน
“เจียงหลีหรือ” เย่ว์ชิงหลิวผู้อยู่ในระดับหลิงเจี้ยงหรี่ตาลงคล้ายกับประหลาดใจที่ได้ยินชื่อนี้
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นนางที่ทำให้พี่หนานซีกลายเป็นแบบนี้” เจียงอวี๋เช็ดน้ำตาป้อยๆ มองไปทางห้องของเย่ว์หนานซีด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง
“นางเนี่ยนะ? เด็กผู้หญิงธรรมดาคนนึงจะทำให้ลูกชายข้ากลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร”
เย่ว์ชิงหลิวไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ เย่ว์หนานซีเป็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์และเก่งกาจที่สุดในบรรดาคนตระกูลเย่ว์รุ่นเดียวกัน เป็นผู้ฝึกพลังที่ได้เบิกเนตรญาณและผ่านการฝึกฝนแล้ว แม้ว่าจะอายุยังน้อยแต่ก็ฝึกได้เป็นหลิงซื่อระดับห้า เจียงหลีที่ไม่รู้จักการฝึกพลังด้วยซ้ำจะทำร้ายลูกชายผู้เก่งกาจของเขาได้อย่างไร
“แน่นอนว่านางไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง แต่ว่านางได้ต้นไม้ใหญ่บารมีล้นฟ้าเป็นที่พึ่งพิง หากไม่ใช่เพราะนางพูดจายั่วยุ หนานซีก็ไม่มีทางโดนทำร้ายโดยมิได้กระทำสิ่งใดผิดแบบนี้” นางเหอซื่อรีบกล่าวแทรก แต่ทว่า พวกเขาคงมิรู้ว่าในขณะที่เย่ว์ชิงหลิวกำลังซักไซ้หาความจริงกับสองแม่ลูกอยู่นั้น ขบวนชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งได้แห่อย่างเอิกเกริกออกจากจวนตระกูลลู่แล้ว
เสียงดังอึกทึกครึกโครม
เป็นเสียงตีฆ้องรัวกลองดังไปทั่วท้องถนน ร้องเรียกให้ชาวบ้านที่สัญจรไปมาหันมองด้วยความสนใจ แม้แต่บรรดาแขกเหรื่อในโรงน้ำชาร้านเหล้าทั้งหลายยังต่างยื้อแย่งกันยื่นหน้าออกมาทางช่องหน้าต่างเพื่อสังเกตความเป็นไป
“ท่านทั้งหลายโปรดฟังให้ดี วันนี้เจียงหลีข้ารับใช้ของตระกูลลู่จะขอถอนหมั้นกับคุณชายเย่ว์หนาน
ซีแห่งตระกูลเย่ว์ ต่อจากนี้ไปทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์ใดเกี่ยวข้องกันอีก!”