ราชาโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 30
“ จ้า ๆ ก่อนจะดีใจ เธอช่วยลุกออกจากตัวฉันก่อนได้ไหม…เธอก็รู้นิว่าฉันหายใจลำบาก ”
“ อ—อื้ม!? ขอโทษนะ พอดีข้าลืมไป ”
ยัยแก่กล่าวขอโทษออกมาด้วยความร้อนรน จากนั้นจึงมุดตัวถอยหลังออกมาจากผ้าห่ม
ถึงฉันจะไม่ได้ตั้งใจดมก็เถอะ แต่เพราะเมื่อกี้เธอมุดเข้ามาในผ้าห่มเดียวกัน แถมยังนอนทับบนตัวฉันอีกด้วย มันเลยช่วยไม่ได้ที่จะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยเข้าจมูกมา
และในตอนนี้ พอยัยแก่ยืนขึ้นแล้วมันจึงทำให้ฉันเห็นชุดของเธอ ชุดที่ยัยแก่กำลังสวมอยู่มันดูไม่ได้เข้ากับรูปลักษณ์เด็กน้อยของเธอเลย มันเป็นชุดนอนลูกไม้ซีทรูสีดำ ปลายกระโปรงยาวไม่ถึงครึ่งน่อง ปิดได้แค่บางส่วนของต้นขาเท่านั้น และภายใต้ชุดนอนแบบผู้ใหญ่สุดวาบหวิวนั่นก็ไม่มีชุดชั้นในด้วย…
( เอาเรื่องตั้งแต่ตื่นเลยเหรอเนี่ย )
ฉันคิดขณะยิ้มเจื่อนในใจ ถึงเธอจะทำให้ฉันรู้สึกตะลึงได้นิดหน่อยก็เถอะ แต่ทว่า ตอนนี้ฉันยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าต้องทำอยู่ ซึ่งนั่นก็คือการรักษาตัวเองยังไงล่ะ
“ ⟨มิติเถ้าธุลีสละหนึ่งวัน⟩ ”
“ …… ”
ยัยแก่ยืนมองดูฉันด้วยสายตาเป็นห่วง มองดูฉันที่กำลังพะงาบปากพึมพำกล่าวคำพูดประหลาดออกมา และทันใดนั้นก้อนแสงสีเทาปริศนาก็ปรากฏออกมาจากหน้าอกซ้ายแล้วลอยตัวสูงขึ้น จากนั้นมันก็แตกตัวออกกระจายกลายเป็นละอองไหลปกคลุมเข้าสู่ร่างกาย
และเมื่อแสงทุกอย่างจางหายไปแล้ว ฉันก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยท่าทีนิ่งสงบ สีหน้าก็ยังเรียบเฉยทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วยกมือขึ้นมากำแน่นและแบออก ทำแบบนั้นซ้ำอีกหลาย ๆ ครั้งจนแน่ใจแล้วว่าปกติ
( ครั้งนี้คือช่วงไปทัศนศึกษาตอนม.1สินะ… )
ก็อย่างที่รู้ ฉันคือคนที่เกิดมาพร้อมกับ [ร่างไร้พร] ที่จะทำให้ผู้ครอบครอบมีแต่เรื่องร้าย ๆ ประสบเข้ามาในชีวิต ซึ่งร่างพิเศษนี้จะเกิดขึ้นได้เพียงแค่ครั้งเดียวในหนึ่งสหัสวรรษเหมือนกันกับ [ร่างของนักบุญ] ที่แก้วครอบครองอยู่
ตามหนังสือเก่า ๆ และความข้อมูลที่เคยได้ยินมา การเกิดขึ้นพร้อมกันของร่างพิเศษทั้งสองจะมีโอกาสเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้นที่เส้นเวลาของทั้งสองทับซ้อนกัน และเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเหมือนหลุดออกมาจากนิยายนั้นมันก็เกิดขี้นจริงแล้วเมื่อสิบห้าปีก่อน
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย ที่ฉันอยากบอกคือ [ร่างไร้พร] นั้นมันเป็นเหมือนเนื้อร้ายที่จะติดตัวเจ้าของไปจนตาย ไม่มีวันรักษาหายได้ ซึ่งประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์ได้พิสูจน์เรื่องนี้ไปแล้ว
และเป็นเพราะฉันคือผู้เกิดใหม่ ฉันเลยยังคงจำได้ถึงภาพแรกหลังเกิดมา…ภาพของหมอและพยาบาลที่ใช้สายตามองมาที่ฉันยังไงหลังทำคลอดเสร็จ และภาพของคุณพ่อกับคุณแม่เองที่มีสายตาไม่ต่างกันตอนมองมาที่ฉัน
แน่นอนว่าฉันในสภาพนอนติดเตียงแบบนั้นมันคือเมื่อนานมาแล้ว ตัวฉันในตอนนี้สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เหมือนคนปกติ เดินได้เหมือนคนปกติ กินได้เหมือนคนปกติ พูดได้เหมือนคนปกติ ปกติจนน่ายินดี
และทั้งหมดคงต้องบอกว่าเป็นเพราะตระกูลไคม์ที่ยอมให้ความช่วยเหลือคนแปลกหน้าอย่างฉัน พวกเขาใช้ทรัพยากรของตระกูลไปมากมายเพื่อค้นหาวิธีการรักษาฉัน จนท้ายที่สุดก็ทำสำเร็จ ฉันสามารถกลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้แล้ว…ถึงมันจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ แถมสิ่งที่ฉันต้องเเลกเปลี่ยนเองก็นับว่าหนักหนาพอตัวเหมือนกัน…
“ เจ้า… ”
ยัยแก่ขานเรียกฉันที่กำลังจ้องฝ่ามือตัวเองอยู่ สายตาของเธอหรี่ลงคล้ายกำลังกังวลเรื่องบางอย่าง คำพูดที่อยากพูดออกมาขาดช่วงไปเล็กน้อย
“ ….ยังจำข้าได้อยู่ไหม? ”
เธอกล่าวถามคำถามที่น่าเหลือเชื่อออกมา ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่เข้าใจความหมายของประโยคคำถามนี้แน่ แต่เพราะคำถามนี้ถูกถามมาที่ฉันโดยตรง ถ้าเกิดไม่เข้าใจก็แย่น่ะสิ
“ เอ๋? เธอเป็นใครเหรอ? ”
ฉันกล่าวออกมาพลางเอียงหัวเล็กน้อย
“ มีธุระอะไรกับฉันรึเปล่า? ”
“ …… ”
ฉันยังคงถามต่อไป และสีหน้าของเธอก็อึมครึมขึ้น หลังจากนั้นพวกเราทั้งคู่ก็จ้องหน้ากันต่อไปอีกสักพักใหญ่…
“ ฮะฮ่า~ ล้อเล่นหรอกน่า~ ”
“ …… ”
“ ….ขอโทษครับ ”
ฉันพยายามจะเล่นมุกให้เธอคลายเครียดลง เพราะเห็นว่าสีหน้าดูค่อยไม่ดี แต่ก็ดูเหมือนว่าฉันจะเผลอไปทำให้เธอโกรธแทนซะแล้ว
เธอแสดงท่าทีเย็นชา เผยสายตาศูนย์องศา ปล่อยบรรยากาศกดดันจนต้องพูดขอโทษออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
( เฮ้อ ฉันคงไม่เหมาะกับทางสายนี้สินะ ดูท่าแล้วคงต้องกลับไปเป็นตัวตบมุกเหมือนเดิม… )
ฉันไม่เคยบอกคุณพ่อคุณแม่มาก่อนถึงสิ่งที่ฉันต้องแลกเปลี่ยนไปเพื่อจะได้มีชีวิตเหมือนคนธรรมดาอยู่กับพวกเขา
สิ่งนั้นก็คือ ‘ความทรงจำ’ ฉันจะเสียความทรงจำในอดีตหนึ่งวันให้กับพลังปริศนาเพื่อแลกกับวันพรุ่งนี้ที่ยังเดินได้ แน่นอนว่าฉันกำหนดไม่ได้ว่าต้องเสียวันไหนไป มันจะสุ่มจากในความทรงจำทั้งหมดของฉันเองและเลือกดึงหนึ่งในนั้นออกไป ฉันจะจำไม่ได้เลยว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่เอาตามจริง มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับฉันมากนักหรอก เพราะเวลาที่ลืมสักวันไปแล้ว วันที่ใกล้เคียงกันจะถูกกระตุ้นให้จำได้ขึ้นมา และถ้าเอาวันพวกนั้นมาใช้อ้างอิงก็น่าจะพอคาดเดาได้ว่าวันที่ลืมไปมีอะไรพิเศษเกิดขี้นรึเปล่า…
“ เธอไม่ต้องกังวลมากนักหรอก ต่อให้ฉันลืมก็ลืมแค่วันเดียวเองนี่ เธอคิดว่าลืมแค่นั้นแล้วฉันจะมีอาการความจำเสื่อมเหมือนเมื่อกี้จริง ๆ รึไง? ”
“ มันก็จริงอยู่ที่ลืมแค่วันเดียว…แต่นั่นก็เมื่อใช้ครั้งเดียวไม่ใช่เหรอ เจ้าต้องทำแบบนี้ทุก ๆ วัน แล้วจะไม่ให้ข้าอดกังวลได้ยังไงกันเล่า ”
“ …… ”
ทุกสิ่งที่เธอพูดมาล้วนแต่เป็นความจริง มันเคยมีกรณีที่เลวร้ายเกิดขึ้นมาแล้วครั้งนึง ในเช้าวันหนึ่งที่ฉันใช้พลังปกติ แต่แล้วก็พบว่าตัวเองลืมสามวันติดกัน มันไม่ใช่การใช้พลังครั้งเดียวแล้วเสียสามวัน แต่เป็นการเสียวันละหนึ่งแล้วบังเอิญโดนสามวันที่เรียงต่อกัน ตอนนั้นฉันพึ่งจะสังเกตว่าตัวเองไม่สามารถคาดเดาเรื่องของวันที่ลืมไปได้เลยเพราะขาดสิ่งอ้างอิงไปแล้ว
ถึงจะลองไปถามคนอื่นแทน แต่ก็ใช่ว่าจะมีคนอยู่กับฉันด้วยตลอดเวลาสักหน่อย และยิ่งจำไม่ได้ด้วยว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วจะให้ไปถามใครล่ะ?
( ฉันนอนไปถึงชั่วโมงรึยังนะ? ไม่สิ ถึงสิบนาทีรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย )
แต่ก็ดูเหมือนโชคของฉันจะยังมีเหลือจากชีวิตที่แล้วอยู่บ้างล่ะนะ ส่วนใหญ่ของวันที่ลืมไปก็ไม่ได้เป็นวันที่สำคัญอะไรขนาดนั้นด้วย มันก็แค่พวกวันที่น่าเบื่อในอดีต…
“ ชั่งเรื่องพวกนั้นเถอะ ฉันไม่ได้อยากคิดเรื่องปวดหัวตั้งแต่ตื่นนอนหรอกนะ ตอนนี้กี่โมงแล้วล่ะ? ”
ฉันมองไปที่ยัยแก่ก่อนจะเคาะที่ข้อมือคล้ายถามถึงนาฬิกา ยัยแก่หันมองรอบ ๆ ห้องก่อนจะเข้าใจ
“ ห้องนี้ลืมติดนาฬิกาสินะ…อืม ก็พึ่งจะตีสี่เอง ”
“ …… ”
“ ….พึ่งจะตีสี่เอง ”
“ ไม่ต้องย้ำก็ได้เฟ้ย! …เฮ้อ~ ”
ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงเอนหลังนอนลง พยายามสงบสติแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“ ขอร้องล่ะครับคุณนายแพน โปรดปล่อยให้เด็กชายตัวน้อย ๆ อย่างผมได้นอนเต็มอิ่มเถอะครับ ดูที่ใต้ตาของผมสิ มันชักจะเหมือนแพนด้าเข้าไปทุกวันแล้วนะครับ— ”
“ —ฮึบ! ”
ยัยแก่ใช้จังหวะที่ฉันพร่ำพรรณนาถึงชีวิตที่ไม่ได้นอนของตัวเอง ลอบกระโดดขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันกับฉัน เธอหงายตัวขึ้นจากนั้นจึงหยิบผ้าห่มมาห่ม
“ เจ้าอยากนอนก็นอนต่อไปสิ ข้าเองก็ชักง่วงแล้วเหมือนกัน หาว~ ”
“ ถ้างั้นคุณเธอก็ออกไปสิครับ…!! ”
“ ไม่เอา ข้าอยากนอนที่นี่ ”
“ นี่มันห้องของตรูนะเฟ้ย! ห้องของเธอเองก็มีไม่ใช่รึไง?! ”
“ ก็ที่นี่มันคฤหาสน์ของข้านะ! ข้าจะนอนที่ไหนมันก็เรื่องของข้าสิ! ”
เธอตอกกลับมาด้วยความจริงที่ฉันลืมนึกไป จากนั้นเธอก็เอาผ้าห่มออกแล้วโยนมาให้ฉันห่ม ก่อนจะนอนตะแคงหันหน้าไปฝั่งนอกเตียง
ฉันนิ่งอึ้งไปสักพักเพราะพึ่งจำได้ ก่อนจะตัดสินใจเมินอีกฝ่ายแล้วนอนตะแคงพลิกตัวหันไปอีกฝั่งแทน แต่นี่ไม่ใช่เพราะรู้สึกโกรธหรอกนะ…
( ยัยบ้า! ถ้าหันหลังให้ในชุดแบบนั้น ฉันก็นอนไม่หลับกันพอดีสิฟะ!…/// )
~★★★~
ในเช้าวันถัดมา
ฉันตื่นขึ้นพร้อมกับความเหนื่อยล้าที่ลดลงไปแล้วบางส่วน และเมื่อเหลือบมองข้าง ๆ ฉันก็ไม่พบยัยแก่ แต่แล้วก็คิดได้ว่าเธอน่าจะลงไปรอในห้องอาหารแล้ว
และขณะที่ฉันกำลังยืดเส้นเตรียมจะลงจากเตียง ฉันก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง ความรู้สึกที่ทำให้ขนลุกทั้งตัว…
“ ฮัดชิ้ววว!? ”
ฉันหลับตาปี๋แล้วจามออกมาอย่างแรง หลังจากสูดน้ำมูกแล้วฉันก็รีบคว้าผ้าห่มมาห่มทันที
“ ม—เมื่อคืนฝนตกเหรอฟะ? ทำไมอากาศมันถึงได้เย็นขึ้นขนาดนี้เนี่ย?? ”
ฉันนั่งตัวสั่นอยู่ใต้ผ้าห่มขณะพยายามคิดหาสาเหตุ และเมื่อฉันหันมองสำรวจทั่วห้องก็พบว่า แอร์ที่ติดอยู่ทางผนังด้านซ้ายมันเปิดอยู่ แถมยังถูกตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 18 องศาด้วย
ฉันมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนเปิดเอาไว้ ดังนั้นตัวการที่เป็นคนทำก็คงมีแค่คนเดียวเท่านั้น…
“ อ—อา…ก—แก้แค้นเรื่องเมื่อคืนงั้นสินะ? ”
ยัยนั่นคงจะตื่นมาแล้วเปิดมันทิ้งไว้เพื่อแกล้งฉันแน่ แถมที่ยังไม่ยอมปลุกฉันด้วยคงเพราะต้องการให้ได้ลิ้มรสความหนาวเย็นนี้เต็มปอดแน่
และหลังนั่งทำใจสักพักแล้ว ฉันก็กัดฟันลุกขึ้นเดินไปปิดแอร์ได้สำเร็จ จากนั้นฉันก็ไปเปลี่ยนชุดเป็นอีกตัวที่ถูกเตรียมไว้ให้เหมือนกันแทน แต่ชุดนี้ค่อนข้างจะดูดีเหมาะสมกับคฤหาสน์มากกว่าอันที่แล้ว
เมื่อเตรียมตัวเสร็จ ฉันก็เปิดประตูห้องออกไปแล้วเดินไปที่ห้องอาหาร และจากที่ฉันพอจะจำได้ เวลาที่นัดกันไว้คือตอนเที่ยง แต่ถ้าดูจากนาฬิกาแถวนี้แล้ว ฉันคงเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปแน่
( หืม พวกหน่วยรักษาความปลอดภัยนี่ ดูท่าแล้วเรื่องที่จะพูดคุยกันคงสำคัญน่าดู )
หน้าห้องอาหาร มีคนสวมสูทดำสองคนยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่ สีหน้าท่าทางขึงขังของทั้งคู่ทำเอาฉันรู้สึกลำบากใจเลยเวลาเดินผ่าน ยังโชคดีที่ทั้งคู่จำหน้าฉันได้เพราะพวกเขาคือหนึ่งในคนที่โผล่มาชี้ปืนใส่ฉันเมื่อคืนนี้ ฉันเลยได้ผ่านเข้ามาอย่างปลอดภัย…
“ แม่ครับ! ผมไม่ยอมเด็ดขาดเลยนะ! ทำไมยัยผู้หญิงคนนั้นถึงได้รับการสืบถอดล่ะครับ!! แล้วที่ผ่านมาผมทำไปเพื่ออะไรกัน!? ”
“ ใจเย็น ๆ ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะคุยกับท่านผู้นำตระกูลให้นะ ใจเย็น ๆ นะ— ”
“ —ไม่ก็คือไม่สิ พวกเจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดรึไงกัน นี่ไปอยู่เมืองนอกกันนานจนฟังภาษาบ้านเกิดของตัวเองไม่รู้เรื่องแล้วเหรอหะ ”
“ ก็มันไม่ยุติธรรมนี่คะท่านผู้นำ! ลูกชายของดิฉันอุตสาห์ไปเรียนเมืองนอกตั้งหลายปีเพื่อเตรียมตัวกับการเป็นผู้รับการสืบทอดคนถัดไปต่อจากท่าน แต่ท่านกลับเลือกเด็กคนนั้นในตอนที่เราไม่อยู่ อย่างงี้แล้วใครจะไปยอมรับได้ยังไงกันล่ะคะ! ”
เมื่อฉันเข้ามาในห้องอาหารแล้ว เสียงเอะอายโวยวายของคนจำนวนมากก็ประโคมเข้าใส่ทันที รอบโต๊ะอาหารที่เมื่อคืนนี้มีคนเพียงแค่คนไม่กี่คน แต่ตอนนี้กลับมีคนเยอะขึ้นจนที่นั่งไม่เหลือแล้ว
จากการกวาดสายตาดูคร่าว ๆ ของฉัน คนบางส่วนภายในห้องนี้เป็นคนที่ฉันเคยเจอมาเมื่อคืนนี้ และอีกบางส่วนก็คือคนที่ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย
( พวกนี้คงเป็น ‘คนที่เหลือ’ ที่พูดไว้สินะ… )
หลายคนหันหน้ามามองฉันที่พึ่งเข้ามาก่อนจะกลับไปเอะอะโวยวายดังเดิม
และจากบทสนาที่เหมือนการบอกอ้อม ๆ ว่าไปอยู่ไหนมา มันก็ทำให้ฉันรู้ว่าคนที่พึ่งมาถึงนี้คือคนภายในตระกูลไคม์ที่ไปอาศัยอยู่ต่างประเทศมานานหลายปี ซึ่งไม่แปลกเลยที่ฉันจะไม่เคยเห็นหน้าพวกเขา
ขณะที่ฉันกำลังครุ่นคิด หางตาของฉันก็เหลือบไปเห็นแก้วที่นั่งตรงหัวโต๊ะตรงข้ามกับยัยแก่ เธอนั่งก้มหน้าอยู่เงียบ ๆ คนเดียวท่ามกลางความวุ่นวาย
( ยังไม่หายอีกเหรอเนี่ย? )
ฉันมองแก้วที่แสดงสีหน้าอึมครึม ไร้วี่แววของความสุขให้เห็นบนใบหน้านั่น…
ฉันพรูหายใจออก จากนั้นจึงหันไปมองคนอื่น ๆ
“ นี่คุณยายคะ ทำไมถึงไม่เลือกหนูแทนล่ะคะ หนูมั่นใจเลยนะว่าตัวเองสามารถทำได้ดีกว่ายัยผู้หญิงมืดมนตรงนั้นอีก…เอาแต่ก้มหน้าอยู่นั่นแหละ รามันงอกบนหัวแล้วมั้ง ”
“ ไม่พูดแบบนั้นสิลูกพ่อ อย่าลืมมารยาทไง มารยาท ”
“ อ๋อ ค่ะ หนูขอโทษที่เผลอพูดจาไม่ให้เกียรตินะคะคุณพ่อ ”
“ อื้ม ดีมากลูกพ่อ ”
จากในวงสนทนา ฉันสังเกตวัยรุ่นหญิงที่แต่งตัวไฮโซกับชายวัยกลางคนสูทสีน้ำเงินเป็นพิเศษ เนื่องจากคำพูดของพวกเขาที่มันฟังดูแล้วรู้สึกคันหูแปลก ๆ เพราะคนที่ต้องได้รับคำขอโทษมันควรจะเป็นแก้ว ไม่ใช่พ่อของเธอสักหน่อย
ตึง!!
และทันใดนั้น พี่ทรายก็ลุกยืนพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับใช้มือที่กำแน่นทุบลงไปบนโต๊ะอาหารสุดแรง ทำให้เกิดเสียงดังจนทุกคนต้องเงียบปากลงและหันหน้ามามองเธอเป็นตาเดียว
ภายใต้สถานการณ์ชวนงุนงงนี้ พี่ทรายยังคงแสดงสีหน้าสุขุมออกมาเป็นปกติ เธอหันไปพูดกับยัยแก่จากนั้นจึงหันมาพูดกับคนที่เหลือต่อ…
“ ขอโทษที่ต้องทำเสียงดังนะคะคุณยาย…ตอนนี้พวกเราควรจะพูดกันทีละคน ไม่ใช่ใครคิดจะพูดอะไรก็พูดขึ้นมา ถ้ายังเป็นแบบนี้แล้วใครจะไปฟังรู้เรื่องกัน ดังนั้นช่วยหุบปากเเล้วใจเย็น ๆ ลงกันก่อนนะ… ”
“ …… ”
ไม่มีใครคัดค้านอะไร…แน่นอน ไม่ใช่ว่าไม่มีคนอยากคัดค้าน แต่เพราะกระทั่งพวกเขาที่เป็นญาติห่าง ๆ ไม่ได้รู้จักกันอะไรมากนัก แต่ทว่าพวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงออร่าความเป็นผู้นำที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของพี่ทรายจนจิตสำนึกเผลอยอมจำนนไปโดยไม่รู้สึกตัว
ดูท่าแล้วก่อนที่ฉันจะเข้าห้องมา พี่ทรายคงจะอดทนฟังคนพวกนี้มานานมากแล้ว จนท้ายที่สุดก็ระเบิดออกมาแบบนี้ ไม่แปลกเลย เพราะขนาดฉันที่ได้มาฟังแค่ไม่กี่นาทีก็ยังรู้สึกเหมือน IQ ของตัวเองกำลังจะลดลงเลย
( อืม…แล้วฉันควรทำอะไรในสถานการณ์อย่างงี้ดีเนี่ย? กลับขึ้นห้องเลยดีไหมนะ ไม่สิ ถ้าออกไปตอนนี้ก็มีแต่จะทำตัวสะดุดตาเปล่า ๆ ถ้างั้น… )
ทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะอาหารส่วนใหญ่ล้วนแต่มีฐานะกันทั้งนั้น ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลกอะไรเลยที่จะมีคนรับใช้ส่วนตัวกัน และตอนนี้พวกคนรับใช้ส่วนตัวที่มาพร้อมกันกับพวกเขาก็กำลังยืนอยู่บริเวณกำแพงห้อง พยายามรักษาระยะห่างจากเจ้านายไว้เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน
จากที่ฉันเห็น คนรับใช้ส่วนตัวของพวกเขาหน้าตาดีกันทั้งนั้น ถ้ามีฉันไปยืนแทรกอยู่ด้วยคงถูกมองว่ามาผิดที่แน่ แต่ในเวลานี้ฉันเริ่มขี้เกียจที่จะสนใจอะไรแบบนั้นแล้ว ถ้ามัวแต่คิดมากก็คงไม่ได้เริ่มทำอะไรสักที
ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปหาเมดสาวคนหนึ่งที่ยืนชิดติดกำแพง และกำลังแสดงสีหน้านิ่งเฉยแม้เจ้านายของตัวเองจะกำลังนั่งอมทุกข์อยู่คนเดียวก็ตาม…
“ นี่จัสมิน ”
“ ……? ”
ฉันเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายก่อนจะเรียกชื่อเธอขึ้น
“ เธอช่วยอธิบายให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง? ”
“ ….ก็ได้ค่ะ แต่โปรดช่วยถอยไปห่าง ๆ ด้วย ”
“ อ—เอ๊ะ? ด—ได้สิ? ”
ฉันก้าวถอยออกมาตามที่เธอขอ จากนั้นจึงใช้นิ้วชี้เกาที่แก้มพลางครุ่นคิด
( รู้สึกเหมือนถูกรังเกียจเลยแฮะ หรือจะเป็นเพราะฉันยังไม่ได้อาบน้ำกันนะ…? )