ราชาโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 13
“ เเม่ยังไม่ค่อยง่วงนอนน่ะ เเต่ลูกมีอะไรจะบอกเเม่ไหม… ”
“ หืม??? ”
คุณเเม่ได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อเห็นฉันไม่เข้าใจที่จะสื่อ
ซึ่งเเน่นอนว่าใช่ ไอ้ตัวฉันไม่เข้าใจที่คุณเเม่กำลังสื่อเลยสักนิดเดียว ทั้งที่วันนี้ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลยเเท้ๆ เเล้วจะให้ฉันบอกเรื่องอะไรกันล่ะ?
“ วันนี้เเม่บังเอิญได้ยินเรื่องที่ลูกคุยกับพ่อเค้าน่ะ…แต่ทำไมล่ะ…ทำไมลูกถึงไม่บอกกับเเม่บ้าง! ทำไมทำเหมือนแม่เป็นคนนอกอย่างนั้นล่ะ! นี่แม่เชื่อใจไม่ได้เลยงั้นเหรอ? ถึงตอนนี้เเม่จะรู้เเล้วก็เถอะ…เเต่เเม่อยากได้ยินจากปากของลูกตรงๆเองมากกว่านะ! ”
ทันใดนั้นคุณแม่ก็ตบโต๊ะเสียงดังพร้อมกับยืนขึ้น คุณแม่ที่สุภาพเรียบร้อยและจิตใจดีกำลังแสดงสีหน้าที่เศร้าสร้อยออกมาต่อหน้าฉัน
“ ….เฮ้อ~ เรื่องนี้นี่เอง ผมก็นึกว่าเผลอทำอะไรผิดไปซะอีก ”
“ ผิดสิจ๊ะ! ลูกทำผิดร้ายแรงมากเลยด้วย! แทบทั้งวันนี้เเม่ยังไม่ได้คุยกับลูกเลยสักคำนะ รู้ไหมว่าเเม่เหงามากแค่ไหน ”
“ อ—เอ๊ะ?! ”
น้ำตาที่เอ่อล้นไหลผ่านสองแก้มสีชมพูของคุณแม่ประหนึ่งกับน้ำตก เหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้ทำเอาฉันต้องแสดงท่าทีลนลานออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ จ—ใจเย็นก่อนสิแม่?! เอ่อ…เอาเป็นว่าผมขอโทษด้วยละกันครับ ”
จะบอกว่าฉันผิดเองก็ได้ที่ไม่ได้คุยกับคุณแม่เลยในวันนี้ แต่ฉันก็คิดไม่ถึงว่าคุณแม่จะแสดงอาการเหงาออกมามากขนาดนี้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนพวกเราก็ได้คุยกันแค่เดือนละครั้งเอง แต่นี่แค่วันเดียวก็อาการแย่ขนาดนี้แล้ว
หลังจากที่คุณแม่ยอมนั่งลงสงบสติดีๆ ฉันก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนกับตอนที่เล่าให้คุณพ่อฟัง แน่นอนว่ามันต้องเป็นเรื่องโกหกอยู่แล้ว
ถึงคุณแม่จะเป็นคนที่พิเศษต่างจากคุณพ่อ แต่ฉันก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเล่าความจริงให้ฟังสักหน่อย เพราะบางครั้งการไม่รู้เลยอาจดีที่สุด…
“ …… ”
“ มีอะไรรึเปล่าครับแม่? ”
หลังจากที่เล่าจบ จู่ๆคุณแม่ก็จ้องหน้าฉันโดยที่ไม่พูดอะไร…
ทำไมทุกคนถึงชอบทำแบบนี้ใส่ฉันกันนะ? หน้าของฉันมันมีอะไรน่ามองนักรึไง ออกจะเหมือนหน้าคนตายด้วยซ้ำ ขนาดตัวฉันเองยังไม่กล้ามองกระจกนานๆเลย
“ แม่รู้นะว่าลูกกำลังโกหกอยู่ ลูกโกหกแม่เหมือนกันกับตอนพ่อเค้าไม่มีผิด…นิสัยไม่ดีเลยนะจ๊ะ ”
“ เอ๋? ใครโกหกงั้นเหรอครับแม่ นั่นเรื่องจริงเลยนะ ขนาดพ่อที่อยู่กับแม่ในตอนนั้นเองก็ยังบอกว่าได้ยินเสียงไซเรนด้วยนี่ มันจะเป็นเรื่องโกหกได้ไงกันล่ะครับ ”
“ ….เฮ้อ~ ”
“ หืม? ”
ฉันใช้คำพูดของคุณพ่อมาประกอบกับเรื่องโกหกด้วย ตอนนั้นคุณพ่อได้บอกว่าได้ยินเสียงไซเรนตอนอยู่กับคุณแม่ ซึ่งหมายความว่าตอนนั้นคุณแม่เองก็อาจได้ยินด้วยเหมือนกัน
การโกหกโดยใช้ความจริงมาผสมกับคำโกหกมีโอกาสน้อยมากที่ถูกจับได้ และฝ่ายที่ฟังมีโอกาสสูงมากที่จะหลงเชื่อเนื่องจากคำโกหกที่ปะปนไปด้วยความจริงบางส่วนจะทำให้ฝ่ายที่ฟังเกิดความไม่มั่นใจกับสิ่งที่รู้มาและหากอีกฝ่ายไม่หนักแน่นพอก็จะเกิดความคิดว่าตัวเองอาจเป็นฝ่ายผิด สุดท้ายก็จะเลือกรับคำโกหกนี้เข้าไปโดยไม่ตัว
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ใครที่จะทำได้ง่ายๆ เพราะบางครั้งคำโกหกที่นำมาใช้อาจจะไปขัดแย้งกับความจริงที่ใช้ร่วมจนถูกจับได้ก็ได้
สิ่งที่จำเป็นต้องคำนวนในการโกหกแบบนี้นั้นก็มีหลายๆอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ‘โชค’ ถ้าหากโชคไม่เข้าข้างแล้วละก็ต่อให้จะเป็นอัจฉริยะที่ใช้สมองคำนวนจนใกล้ระเบิดหรือนักแสดงที่แสดงเก่งระดับแนวหน้ายังไงก็ถูกจับได้อยู่ดี…
“ แม่เป็นแม่ของลูกนะเมฆ แม่จะไม่รู้ได้ไงว่าลูกกำลังโกหก…และอีกอย่างนะ เสียงไซเรนในตอนนั้นนั่นมันของรถดับเพลิงต่างหากล่ะจ๊ะ ตอนนั้นพ่อเค้าอาจจะมองไม่เห็นตัวรถเพราะมันค่อนข้างไกลแต่แม่มองเห็นนะ สายตาของแม่ดีออกจะตายไป…แต่ถ้าปล่อยเลเซอร์ได้ด้วยก็คงดี ”
เฮ้อ~โชคไม่เข้าข้างเลยแฮะ…
“ ขอโทษครับ คราวหน้าจะไม่ทำอีกแล้วครับ ”
“ อื้มๆ! ดีมากจ่ะ เอาตามจริงแม่ก็ไม่ได้อยากว่าเรื่องที่ลูกพูดโกหกหรอกนะ ที่ลูกทำไปก็เพราะแค่ไม่ต้องการให้ใครมาเป็นห่วงใช่ไหมล่ะ แม่รู้นะว่าลูกเป็นคนใจดี… ”
ใจดี? คำนี้ไม่ค่อยเข้ากับฉันเลยแฮะ ฉันชอบคำว่า‘ใจหล่อ’ซะมากกว่า ฟังดูเท่กว่าเยอะเลย แต่ช่างมันเถอะ…
“ แต่ในบางครั้งการที่ลูกไม่ยอมบอกใครและเลือกเก็บมันไว้คนเดียว มันจะยิ่งทำให้คนอื่นรู้สึกเป็นห่วงลูกมากขึ้นไปอีกนะ… ”
“ ค้าบๆ เข้าใจแล้ว แต่นี่มันนอกเรื่องไปไกลมากแล้วนะแม่ พรุ่งนี้ผมยังต้องไปเรียนอยู่นะ ”
“ เอ๊ะ?! งั้นเหรอ ขอโทษทีนะจ๊ะ แม่ลืมไปเลยว่าลูกต้องไปโรงเรียนพรุ่งนี้ ”
คุณแม่ได้แสดงท่าทีลนลานเหมือนกับฉันก่อนหน้านี้และเตรียมตัวกลับขึ้นไปนอน
หลังจากเคลียร์ปัญหากับคุณแม่เสร็จฉันก็รีบออกมาจากบ้านทันที ถึงจะถูกคุณแม่ซักถามเหตุผลนิดหน่อยแต่ฉันก็สามารถตอบเลี่ยงๆผ่านมาได้
ใจจริงก็อยากตอบไปว่า ‘จะไปหาเด็กผู้หญิงที่แอบนัดเจอกันไว้ครับ’ แต่ถ้าตอบไปแบบนี้ฉันคงได้มานั่งเคลียร์กับคุณแม่อีกรอบแหง
“ เฮ้อ~โคตรปวดขาเลยวุ้ย~ ทำไมยัยบ้านั่นถึงไม่นัดเจอกันในที่ที่ใกล้กว่านี้ฟะ?…อา แต่พอท้องฟ้ามันมืดแล้ว พวกดาวก็ดูโดดเด่นขึ้นมาเลยแฮะ ”
หลังเดินมาแล้ว10นาที เหนือหัวของฉันตอนนี้ก็เต็มไปด้วยจุดแสงเล็กๆของดวงดาวนับล้านท่ามกลางจักรวาลที่ไร้สีสัน
หลังจากที่ได้เกิดมา หนังสือที่เคยอ่านส่วนใหญ่มักเขียนคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับดวงดาวไปในทิศทางเดียวกันเสมอ ถึงจะมีบางเล่มที่พยายามสร้างความแตกต่างแต่ก็ยังมีเนื้อหาหลายๆส่วนที่คล้ายคลึงกัน
แต่เมื่อนานแสนนาน ฉันเคยได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ผู้เขียนเป็นแค่สามัญชนทั่วไป เขาไม่ได้เป็นที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงมากนักหรอก สามารถพิสูจน์ได้จากจำนวนคนที่รู้จักผลงานของเขา บางคนอาจจะหาว่าเขาบ้าและเลิกอ่านต่อเลยด้วยซ้ำหลังอ่านไปเพียงหนึ่งหน้ากระดาษ
ภายในหนังสือของเขากล่าวไว้ว่า ดวงดาวคือจิตวิญญาณของเหล่าทวยเทพที่ไม่สามารถเกิดใหม่ได้ การตายของเหล่าทวยเทพนั้นเกิดมาจากสงครามของพวกเขาที่เคยทำให้จักรวาลต้องแตกสลายมาแล้วครั้งนึง และเมื่อเวลาผ่านไปจิตวิญญาณของเหล่าทวยเทพก็หลอมรวมกับบางสิ่งจนกลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับในจักรวาล
ฉันเองก็เป็นคนๆนึงที่คิดว่าเนื้อหามันแปลก แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่เขาเขียนอธิบายมามันจะไม่ใช่ความจริงซะทีเดียว ยังไงซะก็ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้อยู่แล้วเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องเทพ…
( เมื่อไรกันนะ… )
ฉันเดินต่อไปพร้อมกับเงยหน้าเหม่อมองท้องฟ้าเหมือนพระเอกMVเพลง
ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งล่าสุดที่ตัวเองได้ทำแบบนี้มันคือตอนไหน แต่ตัวฉันในตอนนั้นคงจะมีความสุขมากแน่ การที่ไม่ต้องคิดอะไรเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองไปก็จะพบกับเส้นทางไร้สิ้นสุด…
“ …จะไปลืมได้ยังไงล่ะ… ”
สะพานทอง จริงๆเเล้วมันไม่ใช่สะพานตามชื่อของมันหรอก เเต่มันคือชื่อของบริเวณหนึ่งภายในสวนสาธารณะ ตรงตำเเหน่งนั้นจะเป็นเส้นทางเดินสายยาวประกอบด้วยพุ่มดอกไม้สีเหลืองทองรอบข้าง เปรียบเสมือนกับการเดินบนสะพานที่มีเเม่น้ำสีทองที่ไหลผ่าน เพราะอย่างงั้นถึงทำให้มันถูกเรียกว่าสะพานทอง
( ไม่อยากเข้าไปใกล้เลยเเฮะ…ดีไม่ดีเธออาจทำฉันติดโรคพิษสุนัขบ้าก็ได้ )
เมื่อมาถึงสะพานทองแล้ว ฉันก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังกระหน่ำเท้าใส่พื้นไม่ยั้งด้วยท่าทางที่โมโหสุดขีด ราวกับว่าถ้าเห็นใครเดินเข้ามาใกล้ เธอจะกระโดดเข้าไปกัดคนๆนั้นทันที
และดูเหมือนฉันจะยังโชคร้ายเหมือนเดิม เพราะแก้วที่ยืนกระทืบพื้นอย่างเมามันก่อนหน้านี้ได้เงยหน้ามาเห็นฉันพอดี…
“ ทำไมถึงได้มาช้าเเบบนี้เนี่ย ฉันบอกแล้วไงว่าให้นายมาถึงภายในครึ่งชั่วโมงน่ะ แต่นายกลับมาช้าไปตั้ง20นาทีเลยนะ! ”
“ ใจเย็นก่อนสิ เธอเสียงดังเกินไปแล้วนะ ”
“ ฉันจะไปใจเย็นได้ไงกันยะ! นายปล่อยให้ฉันยืนรอเป็นไอ้โง่คนเดียวในที่มืดๆแบบนี้ตั้งเกือบชั่วโมงเชียวนะ! ”
“ เธอเป็นคนมารอก่อนเองนะ และอีกอย่างเธอก็เป็นคนเลือกที่นี่เองนี่หน่า จะมาโทษฉันคนเดียวได้ไงเล่า? ”
“ แต่ฉันก็โทรบอกเรื่องเวลานายแล้วนี่ แล้วทำไมนายถึงยังมาช้าอีกกันยะ! เดินจากบ้านมาก็น่าจะแค่15นาทีเองนะ ”
เส้นเลือดของเธอปูดโปนออกมาให้เห็นได้ชัดเจน ตอนนี้เธอคงโมโหจนใจสติแตกแล้ว คงจะดีกว่าถ้าไม่ไปยั่วยุเธอเพิ่ม
“ พอดีแม่ฉันเข้ามาชวนคุยนิดหน่อยเลยทำให้มาสายน่ะ ”
“ คุณน้าเหรอ…งั้นช่างมันก็ได้ เข้าเรื่องเลยดีกว่า— ”
“ —เดี๋ยวดิ!? นี่เธอจะเปลี่ยนอารมณ์เร็วเกินไปไหมเนี่ย?! เมื่อกี้นี้ยังโมโหจนอยากจะฆ่าฉันอยู่เลยแท้ๆ!? แล้วไหงจู่ๆถึงใจเย็นจนน่ากลัวแบบนี้ล่ะฟะ?! ”
เสมือนแรงโน้มถ่วงกลับหัว จู่ๆแก้วที่โกรธเลือดขึ้นหน้าเมื่อกี้ก็ใจเย็นลงอย่างประหลาด มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่กระทันหันจนฉันรู้สึกขนลุกแปลกๆเลยล่ะ
“ แล้วมันไม่ดีตรงไหน? หรือว่านายเป็นพวกที่เวลาโดนด่าแล้วรู้สึกดีเหรอ? ”
“ ไม่ใช่เฟ้ย! ”
“ งั้นก็เลิกต่อล้อต่อเถียงแล้วมาเข้าเรื่องกันได้แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องไปเรียนอยู่นะ ถ้าพวกเราขาดเรียนติดต่อกันในช่วงเปิดเรียนแบบนี้มันจะส่งผลเสียหลายๆด้านเอานะ ”
“ ไม่ต้องบอกก็รู้น่า… ”
เฮ้อ~ปวดหัวจริงเลยเวลาได้คุยกับเธอเนี่ย จะมีสักครั้งไหมนะที่พวกเราสามารถคุยกันได้เหมือนคนปกติน่ะ?
แก้วได้สูดหายใจเข้าลึกสุดปอดและพยายามปล่อยลมหายใจออกมาอย่างช้าๆเป็นจังหวะ ภาวะอารมณ์ของเธอในตอนนี้มั่นคงอย่างมาก ราวกับความโกรธที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้เป็นเหมือนสิ่งที่เธอจงใจแสดงมันออกมา เธอเรียบเรียงสิ่งที่จะพูดไว้ในหัวให้เป็นระบบและเริ่มเปิดปากเข้าประเด็นสักที…
“ นายคงจะไม่ได้ลืมเรื่องในตอนเช้าหรอกใช่ไหม? พวกผู้บุกรุกที่บุกเข้ามาแล้วถูกฉันซัดจนสลบไปหมดและหลังจากนั้นนายก็ฆ่าพวกเขา… ”
“ ฉันบอกไปแล้วไงว่าไม่ได้ฆ่าเฟ้ย! ”
“ อืม…แค่ล้อเล่นน่ะ ”
แก้วได้ยื่นสมาร์ทโฟนของเธอที่เปิดหน้าจอเป็นเว็บไซต์ข่าวบางอย่างมาให้ฉัน บนหน้าจอมีรูปบุคคลเหมือนกำลังถูกตามหาอยู่ ฉันเองก็ไม่แน่ใจเพราะเว็บไซต์นี้เป็นภาษาจีนทั้งหมด
“ หลังจากที่นายทำอะไรสักอย่างกับร่างพวกผู้บุกรุก ฉันก็เก็บเส้นผมของหนึ่งในผู้บุกรุกที่ตกบนพื้นแล้วส่งไปให้คนของพี่ทรายเค้าตรวจสอบดู และผลคือคนๆนั้นเป็นคนที่หายตัวไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ครั้งล่าสุดที่มีการพบเห็นตัวเขาก็คือภายในมณฑลเสฉวนของจีน เเละตอนนี้ทางตำรวจจีนเองก็ยังหาตัวเขาไม่พบเลยกลายเป็นข่าวใหญ่อยู่เพราะมีหลายคนที่หายตัวไปในช่วงนี้เหมือนกัน ส่วนตัวฉันคิดว่าผู้บุกรุกที่เหลือเองก็น่าจะเป็นเหมือนกัน…คนหายน่ะ ”
คดีคนหายงั้นเหรอ?
ฉันเลื่อนดูรายละเอียดของข่าวที่ถูกเขียนไว้ ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็พอจะดูภาพประกอบรู้เรื่องอยู่บ้าง รูปของคนมากมายที่ได้หายไปในช่วงนี้ทั้งหมดมีคนๆนึงที่ฉันพอจะรู้สึกคุ้นๆนิดหน่อย
( อ้า! ไอ้คนแขนหลุดนี่เอง งั้นก็จริงอย่างที่เธอพูดสินะ ที่ว่าคนที่เหลือเองก็น่าจะเป็นคนหายเหมือนกัน… )
ใบหน้าในรูปนี้ตรงกับหน้าของคนที่ฉันเผลอดึงแขนหลุดเปี๊ยบเลย รอยแผลใต้ปากนั่นฉันจำมันได้ ในตอนนั้นเพราะแผลมันสะดุดตา ฉันเลยเลือกเข้าไปดึงคฑาของเขาและเหตุการณ์ก็วุ่นวายหลังจากนั้น
“ และที่น่าตกใจที่สุดเลยจากผลการตรวจสอบอีกอย่างดูเหมือนว่าผู้บุกรุกนั้นจะตายไปตั้งนานแล้วด้วย ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อน ”
“ อืม…ฉันพอจะรู้ความสามารถหน่วยข่าวกรองของพี่ทรายนะ แต่นี่มันไม่ได้ตรวจผิดพลาดแน่เหรอ? มันฟังดูน่าเหลือเชื่อที่คนตายจะเดินทางข้ามประเทศมาได้น่ะ ”
ด้วยความสามารถของหน่วยข่าวกรองแห่งตระกูลไคม์ เพียงแค่เส้นผมเส้นเดียวก็สามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียด เพราะงั้นความผิดพลาดก็แทบจะเป็นศูนย์เลย…
“ เรื่องนั้นฉันเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ฉันเลยฝากให้พวกเค้าตรวจซ้ำอีกรอบดูแล้ว แต่ไม่ว่าจะตรวจสักกี่ครั้งผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม พวกผู้บุกรุกตายกันก่อนจะมาถูกฉันซัดซะอีก ”
เดี๋ยวนะ? ถ้าคนพวกนี้ตายไปตั้งนานเเล้วก็หมายความว่าไอ้พวกนี้นั่งเครื่องบินข้ามประเทศมาในฐานะซอมบี้งั้นเหรอ? แล้วพวกพนักงานการบินไม่เอะใจกันบ้างเลยรึไงนะ? อย่างน้อยศพพวกนี้ก็น่าจะมีกลิ่นสิ
แต่ถ้าเกิดคนพวกนี้ตายไปนานแล้วจริง มันก็จะสอดคล้องกับว่าทำไมแขนที่ฉันเคยดึงไปมันถึงหลุดออกมาอย่างง่ายดายผิดปกติ
“ ตอนนี้ภายในมณฑลเสฉวนที่ทุกคนคิดว่าปลอดภัยกลับมีคดีคนหายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลจีนเองก็พยายามเตือนให้ระวังตัวเเล้ว เเต่ชาวบ้านกลับไม่ฟังเเละยังคงใช้ชีวิตต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขี้น นายคิดว่าเเปลกไหม? ”
“ อา ก็แปลกจริงนั่นแหละ แต่เธอนี่รู้เรื่องนี้เยอะเหมือนกันนะ ”
“ ก็มันเข้ามาเกี่ยวข้องกับฉันด้วยนี่ การศึกษาไว้ก่อนก็เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองไง ”
การที่มีคนหายและตายกลายเป็นศพ ก็สามารถสันนิษฐานได้ว่าเป็นการฆาตกรรม อ้างอิงจากผู้บุกรุกก่อนหน้า เหตุผลที่ต้องฆ่าก็อาจจะเป็นเพราะต้องการร่างกายที่ไร้ชีวิต อีกฝ่ายน่าจะมีความสามารถให้การควบคุมคนตายได้
ถึงจะไม่รู้โดยละเอียด แต่ข้อมูลที่มีก็สามารถทำให้คิดได้แบบนี้เท่านั้น
แต่ที่ฉันไม่เข้าใจคือเหตุผลว่าจะเอาไอ้เจ้าซอมบี้พวกนี้ไปใช้ทำอะไรกันแน่ หรือว่าต้องการให้กองทัพซอมบี้บุกยึดครองโลกเหมือนในหนังรึไง?
ในระหว่างที่ฉันครุ่นคิด แก้วก็หยุดอธิบายเรื่องราวแล้วถามคำถามประหลาดๆใส่ฉัน น้ำเสียงของเธอแฝงความจริงจังบางอย่าง
“ นี่เมฆ…นายเคยไปสัญญาอะไรกับพี่เค้ารึเปล่า? ”
“ สัญญา? ”
“ ก็หลังจากที่นายคุยกับพี่เค้าเสร็จและเอาสมาร์ทโฟนมาคืนฉัน ตอนนั้นฉันได้ยินพี่เค้าพูดบางอย่างขึ้นมาที่เกี่ยวกับสิ่งที่เคยสัญญากับนายไว้ น้ำเสียงในตอนนั้นมันดูเศร้าๆน่ะสิ นายเคยไปสัญญาอะไรกับพี่เค้ากันแน่? ”
สัญญางั้นเหรอ…อ๋อ ไอ้สัญญาที่จะไม่ใช้พลังเกินวันละหนึ่งครั้งสินะ ก่อนหน้านี้ตอนไปจัดการคุณลุงหรือตอนจัดการร่างของผู้บุกรุก ฉันก็ใช้พลังทั้งนั้นเลยนี่หน่า
ว่าเเต่พี่ทรายรู้ได้ยังไงกันล่ะเนี่ย ฉันค่อนข้างมั่นใจเลยนะว่าไม่มีกล้องวงจรปิดตัวไหนที่จับภาพฉันได้…