ราชาโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 10: อาวุธโบราณมาซาโกะ(4)
“ ช้ามาก! คิดจะให้ฉันอดนอนทั้งคืนเลยเหรอยะ! คราวหน้าถ้านายอยากยืมของก็เข้ามาเอาไปเองเลยสิ มันน่ารำคาญนะเวลาโดนปลุกขึ้นมากลางดึก ”
“ อา…ขอโทษด้วยละกัน แต่เธออยากให้ฉันเข้ามาข้างในบ้านโดยไม่บอกเธอเลยรึไง? ฉันไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโรคจิตหรอกนะ ”
จู่ๆแก้วก็เงียบลงและส่งสายตามาเหมือนเห็นคนโง่
“ นายจะสนเรื่องนั้นไปทำไม ยังไงนายก็เป็นคนโรคจิตอยู่แล้วนี่ สบายใจได้น่า~ ”
“ จะไปสบายใจได้ไงฟะ!? ”
เฮ้อ~ยัยบ้านี่ทำฉันปวดหัวได้ทุกครั้งที่เจอกันเลยแฮะ
“ งั้นช่างมันก่อนก็ได้ แต่นายยังไม่ได้ขอบคุณฉันเลยนะที่ยอมแหกขี้ตาตื่นมานั่งรอทั้งๆที่ดึกดื่นป่านนี้แล้ว คุกเข่าก้มกราบเท้าฉันพร้อมกับตะโกนขอบคุณออกมาดังๆ20ครั้ง ถ้าทำแบบนี้ฉันจะให้อภัย…ปฏิบัติซะไอ้หมูโสโครก! ”
“ ใครมันจะไปทำกัน!? แล้วไปจำไอ้คำแบบนั้นมาจากไหนเนี่ย?! ”
อา…ถ้ารู้อย่างงี้ไม่น่าแวะมาคืนมาซาโกะก่อนกลับบ้านเลย วุ่นวายมากกว่าเดิมซะอีก…
ก่อนที่ฉันจะไปบ้านคุณลุง ฉันได้แวะเข้ามาหาแก้วก่อน…ไม่สิ ต้องบอกว่าแวะเข้ามาหาซาโกะต่างหาก
ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องเก็บของ ห้องนั่งเล่น และอีกหลายๆห้อง ฉันลองค้นหาทั่วบ้านแก้วหมดแล้วแต่ก็ยังไม่เจอมาซาโกะเลยสักที และเหลืออยู่ห้องเดียวที่ฉันยังไม่ได้เข้าไปค้นดูมันก็คือห้องนอนนั่นเอง
ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆซึ่งแก้วก็น่าจะนอนอยู่ในห้องนั้น
ฉันเองก็สามารถหามาซาโกะเจอได้ง่ายๆโดยการปลุกแก้วขึ้นมาถาม แต่เหตุผลที่ฉันไม่ทำในตอนแรกก็เพราะเธอเป็นพวกเกลียดการถูกรบกวนตอนนอนเอามากๆ แต่มันก็จะแปลกๆล่ะนะถ้าหากฉันเข้าไปค้นภายในห้องนอนของเด็กผู้หญิงขณะเธอนอนหลับ
เพราะงั้นฉันก็เลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปลุกเธอให้ตื่น และก็เป็นอย่างที่คิด…ฉันถูกเธอซัดหน้าไปหนึ่งหมัดจังๆ ดูเหมือนเธอจะออมแรงให้นิดหน่อยด้วยเลยไม่ค่อยเจ็บสักเท่าไรหรือไม่ฉันก็โดนซัดบ่อยจนอึดขึ้นแล้ว
แต่ที่แปลกหนึ่งอย่างคือในตอนแรกที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบหน้าฉันอยู่ๆเธอก็เผยรอยยิ้มที่เย้ายวนออกมาซะงั้น…บางทีเธออาจจะกำลังฝันถึงอะไรบางอย่างอยู่…และพอฉันอธิบายเหตุผลที่มาหาเธอให้ฟัง ฉันก็โดนซัดทันที
“ ขอบคุณก็ได้… ”
“ หืม~นี่หรือว่านายอยากถูกซัดอีกหมัดกัน? ”
“ เอ๊ะ เอ่อ ขอบคุณมากครับคุณหนูแก้ว! ”
“ แล้วคุกเข่าล่ะ? ”
“ ไม่ทำเฟ้ย! ”
หลังจากที่ทะเลาะกันต่ออีกนิดหน่อยฉันก็รีบเดินหนีออกมาจากห้องนอนของเธอ
ก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันกับแก้วเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่ตอน8ขวบ มักใช้เวลาร่วมกันกับเธอซะส่วนใหญ่ไม่ว่าจะกินจะนอนหรืออาบน้ำด้วยกันก็ตาม
เมื่อก่อนฉันไม่ได้อยู่ร่วมกับคุณพ่อคุณแม่เหมือนในปัจจุบันแต่ฉันถูกส่งไปอยู่กับครอบครัวของแก้วหรือที่ถูกเรียกว่าตระกูลไคม์ มันก็เป็นช่วงที่ดีและแย่ในเวลาเดียวกัน…
“ ฉันก็นึกว่านายจะมานอนด้วยกันซะอีกเมฆ…///เอ๊ะ?! นี่ฉันพูดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!? …แต่เธอนี่จริงๆเลยนะมาซาโกะ ยอมให้คนอื่นจับเนื้อต้องตัวได้ยังไง หรือเพราะเป็นผู้ชายเลยยอมงั้นเหรอยะ?! ”
[ …┐( ̄ヘ ̄)┌… ]
“ ห๋า? เธอหมายความว่ายังไงกันยะมาซาโกะ! ”
ฉันได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของแก้วดังมาจนถึงหน้าบ้านเลย ใจจริงฉันก็อยากหันกลับไปตะโกนเหมือนกันว่า ‘มันรบกวนคนอื่นโว้ยยย!’ เเต่มันก็เป็นเพียงเเค่ความคิด
[มาซาโกะ] ก็อย่างที่เคยบอกไปว่าเธอคืออาวุธโบราณระดับสูงที่ถูกค้นพบในซากโบราณสถานของญี่ปุ่น ได้ยินมาว่าบนกำแพงของซากโบราณสถานมีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นที่บรรยายถึงเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งสลักไว้ เรื่องราวนั้นเป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงรูปงามผู้เป็นตัวแทนของความถูกต้อง
เจ้าหญิงมาซาโกะ เธอนั้นมีจิตใจโอบอ้อมอารีราวกับเทพธิดาของประชาชน ไม่มีใครคนไหนที่หวังร้ายกับเธอเลย กลับกัน ทุกคนล้วนแต่หวังให้เธอมีความสุข ยามว่างเธอมักจะออกจากปราสาทเป็นคนเดินตรวจตราคอยช่วยเหลือผู้อื่นด้วยตัวของเธอเองทั้งๆที่ตัวเองเป็นเจ้าหญิง
「พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน ตราบใดที่พวกเธอคือคนของอาณาจักรนี้ ฉันในนามเจ้าหญิงมาซาโกะ โรเจลเบ็ต ขอให้คำสาบานว่าจะไม่ทอดทิ้งประชาชนอย่างแน่นอน」
เธอไม่คิดว่านี่คือหน้าที่ของเจ้าหญิง แต่มันคือหน้าที่ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง เธอไม่ได้คาดหวังว่าคนอื่นจะต้องมาชดใช้บุญคุณภายหลัง เพียงแค่ไม่ต้องการให้มีใครสักคนต้องถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังคนเดียว และถ้ามีจริงเธอจะเป็นคนที่ถอยหลังไปอยู่กับคนๆนั้นเอง นี่คือสิ่งที่เธอเชื่อมั่น
สงครามคือเรื่องปกติของโลกทุกใบ ไม่เว้นกระทั่งอาณาจักรนี้ก็ตามก็สามารถถูกจัดเป็นเป้าหมายของการบุกโจมตีได้ และเนื่องจากอาณาจักรสงบสุขก็จริงแต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น เพราะเน้นพัฒนาไปทางเศรษฐกิจมากกว่าทางทหารจึงลืมนึกถึงสงครามไป
มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาที่ลืมนึกถึงสงครามไปก็เพราะโลกนี้นั้นปราศจากสงครามมาแล้วหลายพันปี
「ฉันขอสั่งให้ขุนนางทุกคนรีบอพยพประชาชนหนีไปทางประตูตะวันออกมุ่งหน้าไปอาณาจักรคาริสซะและฉันจะนำทหารที่ยังเหลืออยู่ไปสะกัดถ่วงเวลาอีกฝ่ายเอาไว้ให้นานที่สุดเอง」
ผู้ที่บุกโจมตีมานั้นไม่ใช่ตัวตนที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียง เป็นเพียงแค่คนที่อ้างตัวราชาหนึ่งคนกับทหารหนึ่งแสนนายที่ถืออาวุธครบมือ
เรื่องที่น่าเหลือเชื่อคืออีกฝ่ายใช้เวลาเพียงแค่3ชั่วโมงในบุกโจมตีอาณาจักรแห่งนี้…และเมื่อสงครามสิ้นสุด ชัยชนะก็ตกเป็นของราชาไร้นามอย่างเหนือชั้น แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะสั่งการอะไรเพิ่มเติม
เหล่าขุนนางที่ได้ชื่อว่า ผู้ภักดีต่อราชวงศ์ ได้จับตัวเจ้าหญิงมาเป็นตัวต่อรองร้องขอชีวิตน้อยๆของประชาชนต่อหน้าราชาไร้นาม แน่นอนว่าผู้ที่เจ็บปวดที่สุดคือเจ้าหญิงผู้นี้ นอกจากจะไม่สามารถอพยพประชาชนได้ทันแถมยังถูกเหล่าขุนนางที่เชื้อใจหักหลังอีก
ไม่มีประชาชนคนไหนไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเหล่าขุนนาง พวกมันทุกตัวล้วนแต่อยากมีชีวิตรอดกันทั้งนั้น ต่อให้หลังจากนี้ต้องมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิตก็ตาม
ถึงเธอจะโศกเศร้าเพียงใดแต่ แต่ด้วยความแน่วแน่สุดท้ายของเจ้าหญิงผู้นี้ เธอตัดสินใจใช้มีดประจำราชวงศ์ที่ซ่อนไว้ปลิดชีพตัวเองต่อหน้าทุกคน ไม่มีใครคาดการณ์สิ่งนี้ไว้ พวกมันคิดแค่ว่าราชาของอีกฝ่ายต้องการเจ้าหญิงรูปงามของพวกตนถึงได้บุกโจมตีมา แต่ในเมื่อเจ้าหญิงสิ้นชีวิตแล้วพวกมันจะเหลืออะไรให้ต่อรองล่ะ
「บริวารผู้ใดทรยศได้กระทั่งเจ้านายผู้เมตตา มันผู้นั้นจักต้องตายด้วยความทรมานที่เจ็บปวดซะยิ่งกว่านรก」
คำสั่งของราชาไร้นามได้ดังก้องกังวานภายในหูของพวกมันทุกคน เหล่าทหารทั้งแสนนายเริ่มออกไล่ฆ่าทุกคนอย่างทรมานตามคำสั่งของราชาไร้นาม คนรวยคนจนล้วนถูกสังหารสิ้น และหลังจากที่ไม่มีคนของอาณาจักนี้เหลืออยู่ ราชาไร้นามกับกองทัพหนึ่งแสนนายก็จากไปทางประตูตะวันออก…
เรื่องที่สลักเอาไว้บนกำแพงซากโบราณสถานนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ในเรื่องราวนี้ยังมีหลายจุดที่น่าสงสัยมากมายเกินกว่าที่นักโบราณคดีจะยืนยันได้ และไม่มีบันทึกอันไหนเลยที่ระบุว่าเคยมีเจ้าหญิงชื่อมาซาโกะเคยปกครองญี่ปุ่น มันจึงฟังดูคล้ายเรื่องแต่งซะมากกว่า
( อ่า ถ้าจำไม่ผิดอาณาจักรนี้ชื่อว่า โร…โร…โรอะไรสักอย่างนี่แหละ )
ถึงอย่างนั้นมาซาโกะก็ถูกนับว่าเป็นสมบัติของชาติ แต่ก็ดันมีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้กลับขโมยของสำคัญระดับนี้มาประมูลขายหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองซะอย่างงั้น แน่นอนว่าทางรัฐบาลญี่ปุ่นย่อมไม่ยอมอยู่เฉยแน่ แต่เพราะพวกเขารู้สึกตัวช้ากันเกินไป พอรู้อีกทีการประมูลก็เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว
รัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีความสามารถมากพอที่จะทวงของคืนจากผู้ชนะการประมูลไปได้ ซึ่งผู้ชนะไปก็คือทราย ไคม์ แห่งตะกูลไคม์ยังไงล่ะ พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวทราย ไคม์ แต่ที่พวกเขาหวาดกลัวกันจริงๆคือ‘อีกาพันปีก’ต่างหาก
ถึงเรื่องราวมันจะน่าเศร้า แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจมันเลยสักนิดเดียว เพียงแต่ว่าฉันถูกผู้ชนะการประมูลมาซาโกะ มานั่งเล่าให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเผลอจำมันได้ขึ้นใจก็เท่านั้นเอง
( ช่วงนี้ไม่ได้คุยกับพี่ทรายเลยแฮะ…ก็นะ ดันโชคร้ายจำเบอร์ไม่ได้เองนี่หว่า )
เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านฉันก็ปล่อยกายปล่อยใจทิ้งตัวนอนบนเตียงทันที ความเหนื่อยล้าในตอนนี้มันมากเกินกว่าจะให้ฉันลุกไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้แล้ว
“ อยากโดดเรียนจัง…แต่คงทำไม่ได้สินะ ”
หลังจากเปลือกตาของฉันปิดลงไม่นาน
อยู่ๆฉันก็ได้ยินเสียงของฟ้าที่กำลังปลุกฉันด้วยความกระตือรือร้น สวนทางกับฉันที่ไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นมาพูด ฉันมั่นใจเลยว่าตัวเองพึ่งจะหลับไปไม่กี่ชั่วโมงเอง หรือนี่จะเป็นเวรกรรมที่ฉันไปปลุกแก้วกันนะ?
อา…พอมีเรื่องคุณลุงให้คิดในสมองก็ดันลืมไปเลยซะสนิท ในทุกๆปีของการเปิดเรียนฟ้ามักจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษนี่หน่า…
“ พี่ค่ะๆ รีบตื่นเร็วเข้า วันนี้เปิดเรียนแล้วนะคะ! ”
“ ตอนนี้กี่โมง… ”
“ ตี5ค่ะ เป็นเวลาดีเลยใช่ไหมละคะ ”
อา นั่นไง ฉันว่าแล้วว่ายังนอนไปได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง…
“ พี่คิดว่าไงค่ะ เสื้อกันหนาวตัวใหม่ที่แม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ถึงจะไม่ได้ใส่กล่องของขวัญมาก็เถอะ ”
“ นี่ยังกล้าถามอีกเหรอ! เเน่นอนว่าน้องก็ต้องน่ารักมากที่สุดอยู่แล้วสิ! ”
บางครั้งฉันก็สงสัยตัวเองนะว่าบ้ารึเปล่า…แต่ก็คงคิดไปเองนั่นแหละ ใครๆก็รักน้องสาวของตัวเองใช่ไหมล่ะ?
“ พี่ลุกขึ้นมาแต่งตัวรอก็ได้นิคะ ไม่เห็นเป็นไรเลย วันเปิดเทอมเลยนะคะ วันเปิดเทอม ”
“ จ้าๆ ”
ฉันลุกขึ้นมาเปิดไฟห้องก่อนจะพึ่งสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง เสื้อกันหนาวสีน้ำเงินกลมกลืนกับกระโปงสีดำ เส้นผมที่ดำอมน้ำเงินถูกปล่อยให้พัดปลิวสะบัดตามแรงลม ภายใต้เสื้อกันหนาวนั่นก็น่าจะเป็นเสื้อนักเรียนตัวใหม่แน่
ฉันไม่ปล่อยให้พลาดโอกาส รีบหยิบกล้องที่เคยวางไว้ใต้เตียงออกมา ก่อนที่จะปล่อยหน้าที่ให้นิ้วชี้กดชัตเตอร์รัวๆพร้อมกับเดินวนรอบตัวฟ้าเพื่อให้ได้ภาพทุกมุม
“ โธ่! พี่คะ พอเถอะค่ะ ”
“ ขอโทษนะฟ้า แต่พี่จะไม่ยอมทิ้งโอกาสนี้แน่นอน ช่วงเวลานี้อาจจะเป็นอาจจะส่วนที่ดีที่สุดของวันก็ได้ ”
ฟ้าได้เเสดงท่าทีเขินอายก่อนจะบิดตัวไปทางซ้ายบิดไปทางขวาเเละยกมือขึ้นมาปิดหน้ารีบวิ่งหนีออกไป
( หืม? นี่ฟ้ายังใส่สร้อยเส้นนั้นอยู่อีกเหรอ… )
ฉันตัดสินใจนอนต่ออีกสักพักก่อนจะลุกขึ้นมา และถึงจะได้นอนเพิ่มไปแล้วมันก็ยังไม่ช่วยให้ฉันหายง่วงไปซะทีเดียว เปลือกตายังคงรู้สึกหนักอยู่ แขนขาเองก็รู้สึกปวดเล็กน้อย
เมื่อฉันเดินลงมาชั้นล่างก็พบฟ้าที่กำลังนั่งกินเค้กสตอเบอรี่เป็นข้าวเช้า เธอหันมาทักทายฉันอย่างอบอุ่นก่อนจะก้มหน้ากินเค้กเหมือนเดิม
“ ถ้ากินแต่เค้กระวังอ้วนนะฟ้า ตอนกินน่ะง่ายแต่พอถึงตอนลดนี่ลำบากสุดๆเลยนะ ”
“ อึก?! น—หนูยังไม่ได้กินเลยนะ ”
ถึงปากจะบอกปฏิเสธแต่มือที่ขยับอยู่ มันกำลังตักเค้กเข้าปากไม่หยุดเหมือนมีจิตสำนึกเอง
“ พี่เองก็รีบกินข้าวเช้าเถอะค่ะ จะได้ไปปลุกพี่แก้วกัน ”
“ จ้าๆ ”
ฉันก็ไม่ได้อยากไปปลุกเธอหรอก แต่เพราะฟ้าอยากไปฉันจึงต้องตอบสนองความต้องการของน้องสาวผู้น่ารักคนนี้
“ ม—มีอะไรติดหน้าพี่งั้นเหรอ…? ”
“ ไม่มีค่ะ ”
“ ……. ”
ฉันรู้สึกกดดันมากเลยตอนนี้ เพราะฟ้าที่กินเค้กหมดแล้วไม่มีอะไรทำเลยเอาแต่มานั่งจ้องหน้าฉัน ความกดดันนี้มันบีบบังคับให้ฉันต้องยัดอาหารทั้งหมดเข้าปากอย่างรวดเร็ว
เมื่อกินกันเสร็จ ฟ้าก็ลากฉันที่ท้องป่องอยู่เดินไปยังหน้าบ้านแก้วทันที จากการที่รู้จักยัยผู้หญิงคนนี้มานานก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าเธอเป็นคนนอนตื่นสายมากๆและเพราะเหตุนี้ฟ้ากับฉันถึงต้องมาปลุกไปโรงเรียนทุกวัน
ในกระเป๋ากางของฉันตอนนี้ก็มีกุญแจบ้านสำรอง ทำให้ฉันสามารถเปิดประตูเข้าไปในบ้านได้ทุกเมื่อ กุญแจนี้ฉันได้รับมาพร้อมกับคำฝากฝังของพี่ชายแก้ว ‘ฝากดูแลน้น้องสาวของฉันด้วยล่ะ’ เขาพูดพร้อมกับยื่นกุญแจมาให้
ฉันเองก็สับสนตอนที่ได้มาว่าจะให้มาทำไม แต่พอลองมองไปที่สายตามีเลศนัยนั่นแล้วก็เข้าใจทันที ไอ้สายตาที่เหมือนกำลังจะบอกว่า ‘ฉันไม่ว่านะถ้าหากนายอยากเป็นน้องเขยฉัน’ หลังจากเขายื่นกุญแจให้เสร็จก็รีบวิ่งหนีหายไปเลย
นี่เขาคิดบ้าอะไรอยู่ในตอนนั้นกันนะ ตอนนั้นฉันยังแค่13ปีอยู่เลยแท้ๆ…
“ พี่เเก้วคะ! วันนี้เปิดเรียนวันเเรกนะคะ ห้ามไปสายเด็ดขาดสำหรับคนที่เป็นนักเรียนตัวอย่างนะคะ พี่แก้วคะ? ”
ฟ้าได้กดออดหลายต่อหลายครั้งเเล้วเเต่ก็ไม่มีการตอบกลับมาจากหลังบานประตูสักที ฟ้าจึงหันมามองที่ฉันเหมือนกำลังจะสื่อว่าทำไงต่อดี
ฉันผู้ซึ่งทนดูมานานจนรู้สึกขี้เกียจได้หยิบเอากุญแจบ้านสำรองออกมาใช้ เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยๆจนฉันต้องพกกุญแจบ้านสำรองติดตัวไว้ตลอด ถึงพอคิดดูแล้วมันจะดูแปลกๆ แต่ฉันก็ไม่ได้เอามาใช้ในทางที่ผิดสักหน่อยนี่นะ…
( เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!? )
หัวใจของฉันพลันเต้นรัว หลังจากเปิดประตูไปฉันเห็นข้าวของที่แตกกระจายเละเทะไปหมดเต็มอยู่ทั่วทางเดิน ฉันตัดสินใจรีบปิดประตูทันทีก่อนที่ฟ้าจะได้เห็นด้านใน
“ ฟ้ารีบกลับบ้านไปก่อนนะ ฝากบอกพ่อด้วยว่าวันนี้พี่ขอหยุดเรียน… ”
“ ทำไมเหรอพี่คะ? ”
“ ไม่มีอะไรหรอก เเค่พอดีพี่มีเรื่องต้องทำสักหน่อย… ”
ฟ้าไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อก่อนที่จะเดินกลับบ้านไปพร้อมกับอาการงุนงง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงความจริงจังจากน้ำเสียงของฉัน
ฉันไม่มีทางปล่อยให้ฟ้าได้เห็นสิ่งนั้นเด็ดขาด จากกลิ่นที่เหม็นคาวจนตีเข้าจมูกของฉันตอนเปิดประตู ฉันพอจะเดาได้นิดหน่อยว่าด้านในต้องมีสิ่งนั้นแน่….