ราชาซากศพ - บทที่ 603 ใกล้ถึง
บทที่ 603
ใกล้ถึง
“ด้วยความเร็วปัจจุบันของเรา น่าจะประมาณ 20 วัน เพื่อไปถึงที่นั่น” จางซีเฟิงเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม
“ดี!” หลินเว่ยพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อเห็นว่า หลินเว่ยไม่ได้ถามต่อ จางซีเฟิงก็ไม่อ้าปากของพูด นางเอื้อมมือไปลูบผมยาวของหลินเว่ยแทน หน้าแดงจาง ๆ ปรากฏขึ้นที่แก้มทั้งสองข้างของนาง
เมื่อมองไปที่หลินเว่ย ดวงตาของนางอ่อนโยนราวกับสายน้ำ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีที่แล้ว
ครึ่งปีที่แล้ว หลินเว่ยและ จางซีเฟิง ถูกกองกำลังสัตว์อสูรน้ำจำนวนมากปิดล้อม เพื่อแสดงความขอบคุณหลินเว่ย นางจึงทำได้เพียงต่อสู้กับสัตว์อสูรน้ำ โดยไม่พูดอะไร และจู่ ๆ ก็มีราชันย์ที่มีความแข็งแกร่งระดับเดียวกับนาง
โผล่ออกมา อย่างไรก็ตาม ผลก็คือ สัตว์อสูรสามารถเอาชนะจางซีเฟิงได้ ด้วยพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเป็นสองเท่าของจางซีเฟิง ในท้ายที่สุดหลินเว่ยส่งสัตว์โครงกระดูกออกไปช่วยนาง
ในครั้งนั้น นางคิดว่าตนเองจะตายลงไปแล้ว แต่นางกลับก็ได้รับการช่วยเหลือจากหลินเว่ย หัวใจของนางรู้สึกขอบคุณ ผ่านไปกว่าครึ่งปี ก็ค่อยๆ พัฒนากลายเป็นความรัก ส่วนเรื่องอายุนั้นไม่เป็นปัญหา
อันที่จริงหลินเว่ยไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยคัดค้าน
…………
ในวันนี้ มาถึงวันที่ 26 แล้ว เลยขีดกำจัดของค่ายกลหูซ่ง ไปในช่วงครึ่งเช้า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะดำรงอยู่นานกว่าที่คาดไว้สองสามชั่วโมง
หลินเจิ้นและศิษย์ของเขาอยู่ที่จุดถ่ายเทพลังปราณของค่ายกลหูซ่ง ไม่เพียงแต่หินหยวน,หินหยวนจิง และแก่นคริสตัลหมดลงไปเท่านั้น แต่แม้กระทั่งยาอายุวัฒนะก็ถูกใช้หมดไปเมื่อวานนี้
มาถึงตอนนี้ ผู้ฝึกตนมากกว่าครึ่งของสี่สำนัก ใช้พลังงานทั้งหมดของพวกเขา และมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่มีระดับการฝึกฝนที่ไม่สูงมากนักที่ยังเหลือเรี่ยวแรงอยู่
เนื่องจากขาดพลังงาน ค่ายกลหูซ่งเปล่งแสงสลัวลง ราวกับจะพังทลายได้ทุกเมื่อ
ในเวลานี้ ผู้ฝึกตนของทั้งสองฝ่ายต่างเหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนหนึ่งล้านคนที่โจมตีมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลังจากผ่านไปนานกว่าหนึ่งปี การโจมตีและพักฟื้นอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของพวกเขาอ่อนกำลังลง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาต้องกัดฟันและยืนกรานที่จะโจมตีต่อไป
“หากเรามุ่งมั่นขึ้น ค่ายกลหูซ่งจะพังทลายลงไปเร็ว ๆนี้ เมื่อถึงเวลานั้น คนเหล่านั้นจะอยู่ในมือเรา” ใบหน้าซีดขาวของหานหลี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และเขายังคงกังวลเกี่ยวกับท่าทางของผู้คนที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้า
แน่นอน ทุกคนพบว่าเกราะแสงนั้นสลัวลงมาก ดังนั้นเมื่อเสียงของหานหลี่ลดลง พวกเขาทั้งหมดพยายามอย่างเต็มที่
“เปรี๊ยะ!” ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ในหุบเขาเทียนซิน ศิษย์และผู้อาวุโสเกือบ 400,000 คน ยกเว้น ระดับอาวุโสของสี่สำนักที่หมดพลังงานลงแล้ว พวกเขารวมตัวกัน ดวงตาเต็มไปด้วยเลือด มองดูเกราะหู่ซงที่ค่อย ๆพังทลายลงไปอย่างช้าๆ
“สวรรค์..เรามาได้เท่านี้!” หลินเจิ้นค่อยๆหลับตาลงและส่งเสียงร้องด้วยความเศร้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ในที่สุดการต่อสู้ที่น่าสาปแช่งนี้ ก็พังทลายลง รีบไปกันเถอะ พวกมันต้านทานต่อไปไม่ได้แล้ว เป็นลูกไก่ในกำมือของเรา” เสียงคำรามที่มีความหมายที่นุ่มนวลหาที่เปรียบไม่ได้ ก็ปลุกเร้าเสียงสะท้อนของผู้คนนับไม่ถ้วนทีละคน
พวกเขารีบเข้าไปหาผู้ฝึกตนหลายแสนคนที่ไร้ท่าทางต่อต้าน
หลินเจิ้นและผู้ฝึกตนระดับสูงอีกหลายพันร่วมมือกันต่อต้านกัน แต่อีกด้านหนึ่ง มีคนจำนวนมากและความแข็งแกร่งของพวกเขาดีกว่าคนในหุบเขาเทียนซินมาก
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที รวมถึง หลินเจิ้นและ มู่หยาง ซึ่งเป็นขั้นราชันย์ทั้งสอง พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถต้านทานได้
“หลินเว่ย! มา….ช่วยด้วย เมื่อผู้ฝึกตนของทั้งสี่สำนักพร้อมที่จะต่อสู้จนตัวตาย พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้นมา แน่นอนว่าเสียงนี้ผสมกับคำรามนับไม่ถ้วนนั้น ฟังดูไม่ชัดเจน มีผู้ฝึกตนจำนวนไม่มากนักจากทั้งสี่สำนักที่ได้ยินมัน
แต่ชื่อที่เปล่งออกมา กลับสะดุดใจของ หลินเจิ้น มู่หยาง และผู้ฝึกตนระดับสูงบางคน
“ศิษย์น้องจาง! เป็นศิษย์น้องจางที่กลับมาแล้ว” มู่หยางอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ใช่! ศิษย์น้องจางที่กลับมาเพื่อช่วยพวกเรา และยังมีหลินเว่ย…ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องจางกล่าวว่า “หลินเว่ย” ดูเหมือนว่านางจะเชิญหลินเว่ยมาจนได้” ได้ยินคำพูดของมู่หยาง หลินเจิ้นพยักหน้าและร้องไห้ด้วยความดีใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ตอนนี้เรารอดแล้ว!” หยางจิ่วจงกับ ซือหม่าเหยียน ตะโกนอย่างตื่นเต้น
“สวบสาบ…!” เมื่อผู้ฝึกตนหลายล้านคนกำลังจะฆ่าผู้ฝึกตนจากสี่สำนัก ทันใดนั้นพวกเขาก็พบว่ามีประตูมิติ อยู่ข้างหน้าผู้ฝึกตนทั้งสี่สำนัก จากนั้นโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากประตูมิติ
และรีบวิ่งไปยังกองกำลังของศัตรู
“นี่…เกิดอะไรขึ้น?” เฟิงอู๋เสวี่ยมองไปที่การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของกองทัพโครงกระดูก จนเขารู้สึกโง่งมในทันที ทว่าในวินาทีต่อมา เขาดูหงุดหงิดและตะโกนอย่างเร่งรีบ “หยุดนะ ไสหัวออกให้พ้นทาง”
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ทหารที่เหน็ดเหนื่อยหลายล้านคนภายใต้เฟิงอู๋เสวี่ยถูกสังหาร พวกเขาที่เหลือก็รวมตัวกันและถอยไปทางด้านหลัง
“บัดซบ! เจ้าเป็นใคร? เจ้าเป็นใคร? เจ้าเป็นใครกัน? เจ้ากล้าดีอย่างไรที่จะเข้าไปพัวพันกับเรื่องของข้า และฆ่าลูกน้องของข้ามากมาย? เจ้าจบสิ้นแล้ว… เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของข้าเป็นเจ้าเมืองเซินเฟิง เขามีผู้เชี่ยวชาญมากมายภายใต้เขา ข้าแนะนำเจ้า..อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้า หากตอนนี้เจ้าเปลี่ยนใจ ข้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ” เมื่อผู้ฝึกตนหลายแสนคนไม่กล้าต่อสู้ และค่อย ๆ ถอยหนี จู่ ๆเฟิงอู๋เสวี่ยก็อ้าปากพูดขึ้น
“ฮ่าฮ่า! ข้าเข้าไปยุ่งกับเรื่องของเจ้า? ไอ้สารเลว พยายามจะขโมยศิลปวัตถุของข้าหรือ? วันนี้จะไม่มีใครรอดไปจากที่นี่ และบิดาของเจ้าเป็นผู้นำเมืองเซินเฟิงหรือ ?” เขาจะได้พบแค่ศพของเจ้า” หลินเว่ยยิ้มเย็นยะเยือก
“อา…!” จากนั้น กองทัพโครงกระดูกไม่เคยหยุดต่อสู้ เนื่องจากจำนวนของกองทัพโครงกระดูกของหลินเว่ย เขาจึงได้เปรียบอย่างแท้จริง เขาฆ่าคนของ เฟิงอู๋เสวี่ยและผู้ฝึกตนหนึ่งล้านคนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง มีเพียงมากกว่า 100,000 คนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่
“เจ้ากำลังทำอะไร ไม่พาข้าออกไปจากที่นี่เร็ว ๆ หากคนเหล่านี้ตาย เกรงว่าจะถึงตาของข้า” เมื่อเห็นผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขา มีจำนวนก็น้อยลงเรื่อย ๆ เฟิงอู๋เสวี่ยตะโกนบอกผู้ติดตามของเขา
“ใช่แล้ว พานายน้อยออกไปจากที่นี่” ได้ยินคำพูดของเฟิงอู๋เสวี่ย ผู้ติดตามเขาในขั้นราชันย์อ้าปากพูดอย่างเร่งรีบ
สำหรับ เฟิงอู๋เสวี่ยในฐานะผู้ฝึกตนขั้นตำนาน ความเร็วของเขาไม่สามารถเทียบได้กับขั้นราชันย์ ดังนั้นเขาจึงต้องนำให้ขั้นราชันย์สองคนพาเขาหนีออกไป
“เอาล่ะ! คิดจะหนีหรือ?” เมื่อเห็นว่าเฟิงอู๋เสวี่ยหายตัวไป หลินเว่ยก็เบือนหน้าหนี แล้วพูดกับเจดีย์ต้าหลิงข้างๆ เขาว่า “จับเขาให้ข้า…อย่าให้พวกมันหนีไปได้”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้ฝึกตนหลายล้านคนก็หนีไม่พ้น นอกจาก เฟิงอู๋เสวี่ยที่หวาดกลัวแล้วผู้ฝึกตนขั้นราชันย์ที่พา เฟิงอู๋เสวี่ยหลบหนีไปก็ถูกฆ่าตายในเวลานี้
จากนั้น หลินเว่ยมองดูร่างของเฟิงอู๋เสวี่ยที่สั่นสะท้าน เขายิ้มและพูดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าจะพาข้าไปที่เมืองเซินเฟิงเมื่อใด?”
“เจ้าต้องการอะไร ตราบใดที่เจ้ายอมปล่อยข้าไป เจ้าต้องการเงื่อนไขอะไร บอกมาเลย” เฟิงอู๋เสวี่ยกลืนน้ำลาย ใบหน้าซีดเผือด สีหน้ากังวลใจและพูดกับหลินเว่ย
“ข้าเพิ่งบอกเจ้าไป….. มันง่ายมาก! พาข้าไปที่เมือง เซินเฟิงสิ” หลินเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
“ให้ข้าพาเจ้าไปที่เมืองเซินเฟิง เจ้าแน่ใจหรือ?” เมื่อได้ยินคำขอของหลินเว่ย เฟิงอู๋เสวี่ยก็ตกตะลึงแล้วมองหลินเว่ยอย่างแปลกใจ
“ใช่สิ! แน่นอน! ไม่อยากพาข้าไปหรือ?” หลินเว่ยพูดอย่างเย็นชา
“ดะ..ได้… แน่นอน หลังจากได้ยินคำพูดของ หลินเว่ย เฟิงอู๋เสวี่ยก็ได้สติ เขาพยักหน้าและตกลงโดยไม่ลังเล
และภายในใจของหลินเว่ย ก็ปรากฏคำว่า ไร้สมองตราหน้าของเฟิงอู๋เสวี่ย
“พรึ่บ!” มีเงาหนึ่งร่อนลงมา และตกลงมาที่ด้านข้างของหลินเว่ย และจางซีเฟิง
“พรึ่บ พรึ่บ…!” จากนั้นเสียงฉีกกระชากอากาศแตกเป็นชุด หลินเจิ้นและคนอื่น ๆ จากหุบเขาเทียนซินก็เหาะออกมา ร่อนลงมาต่อหน้าหลินเว่ย
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของเจ้า มิฉะนั้นพวกเราทุกคนจะต้องตายที่นี่ในวันนี้” หลินเจิ้นกล่าวอย่างเร่งรีบ
“ใช่ ขอบคุณมาก หลินเว่ยข้ามีศิษย์มากมายในหุบเขาเทียนซิน ข้าขอบคุณแทนพวกเขาด้วย มู่หยางประสานกำปั้นให้หลินเว่ยและกล่าวอย่างซาบซึ้ง
“ฮ่าฮ่า! ไม่เป็นไร ไม่ว่าข้าจะพูดอย่างไร…ข้ามาจากหุบเขาเทียนซิน และข้าได้รับความช่วยเหลือมากมาย ในตอนนี้หุบเขาเทียนซินมีปัญหา ข้าจะไม่มาได้อย่างไร?” หลินเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จากนั้น หลินเว่ยหันไปหา หยางจิ่วจงและ ซือหม่าเหยียน และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้อาวุโสสองคน หลังจากเรื่องนี้จบลง พาศิษย์ของสำนักตี้เฉิงซ่งไปพร้อมกับข้า! ข้ามีสถานที่ปลอดภัยให้ทุกคน ”
“ดี! ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้า เมื่อได้ยินคำพูดของ หลินเว่ย หยางจิ่วจงและ ซือหม่าเหยียนมองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่หลินเว่ยอีกครั้งและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ในอีกด้านหนึ่ง มู่หยางมองไปที่หลินเจิ้นและถามว่าเขาต้องการติดตามหลินเว่ยหรือไม่? เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินเจิ้นก็ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหัวเล็กน้อย
มู่หยางเห็นสิ่งนี้ ปากของเขาเตรียมจะอ้า ดวงตาฉายแววลังเล จากนั้นพยักหน้าให้กันเล็กน้อย
แม้ว่า หลินเว่ยต้องการไปที่เมืองเซินเฟิง แต่คนอื่น ๆ ต้องได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บก่อน หลังจากสามวันติดต่อกัน ผู้ฝึกตนของสี่สำนัก ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยพลังงาน แต่ยังรวมถึงอาการบาดเจ็บของหลินเจิ้นที่ใกล้จะฟื้นฟูเต็มที่