ราชาซากศพ - บทที่ 584 สงครามจบ
บทที่ 584
สงครามจบ
“ต้องใช้เวลาถึงห้าปี ในการเตรียมตัวสำหรับการทำสงคราม แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ หลินเว่ยใช้เวลาเพียงสองวันกับหนึ่งคืน โดยมีผู้บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ในที่สุดทุกเผ่าก็สามารถรวบรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่อไปก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว”
หลินเว่ยมองไปที่ ปลายเท้าของเขา มีร่างไร้วิญญาณในทะเลโลหิต พลางมีสีหน้าเศร้าหมองที่สูญเสียคนของตนไปโดยไม่ทันตั้งตัว
“นายท่านไม่ต้องไปใส่ใจมากนัก เผ่าพันธุ์ของเรามีประชากรมาก และจะมีผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต เราทุกคนล้วนเป็นนักรบ ภายใต้คำสั่งของท่าน เราพร้อมเสมอที่จะต่อสู้เพื่อท่าน และฝึกฝนจนสามารถเลื่อนระดับไปอีกก้าวหนึ่ง”
เสี่ยวตี้ระงับความยินดีในหัวใจของเขา
“โอ้! ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ดี เจ้าเป็นผู้อัญเชิญของข้า สำหรับความจงรักภักดีของเจ้า ข้าวางใจว่าเจ้าจะทำได้ดี หลินเว่ยพยักหน้า มองไปที่ เสี่ยวตี้ โดยไม่แสดงสีหน้าและพูดช้าๆ: “แต่! สำหรับตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
มันไม่ใช่เพียงแค่การต่อสู้ภายในของภูตวิญญาณของเจ้า เจ้าจะเติบโตขึ้นทีละขั้น เมื่อเผชิญกับการรุกรานจากต่างแดน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในชั้นที่สอง จะรวมตัวกันและต่อสู้กับเรา
ด้วยความแข็งแกร่งของเราในปัจจุบัน เรายังห่างไกลจากความแข็งแกร่งมากนัก อย่างน้อยเราก็ต้องรอให้มีจำนวนคนกว่า 1 พันล้านเติบโตขึ้นมาก่อน ”
“อืม!นายท่านพูดถูก! ในสงครามครั้งนี้ เราจำเป็นต้องพักฟื้นสักระยะหนึ่งจริง ๆ” เสี่ยวตี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
“ตามเจ้าเห็นสมควร ข้าจะกลับไปยังที่พักก่อน” หลินเว่ยพยักหน้าและบินตรงไปยังทิศทางของเผ่าต้าชาน หลังจากบินด้วยความเร็วสูงสุดเพียงสองชั่วโมง
หลินเว่ยก็กลับไปที่กระโจมของเขา แต่เขาไม่ได้เดินเข้าไปพัก แต่เขาทำให้เจดีย์ต้าหลิงขยายร่างใหญ่ขึ้นและตรงเข้าไปในเจดีย์ต้าหลิง
เขานำคนอื่น ๆออกมา และหล่อยให้เสี่ยวไป๋และ สัตว์อื่น ๆ ไปหาที่ฝึกฝนด้วยตัวเอง ในขณะที่หลินเว่ยนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม
หลินเว่ยเหยียดมือซ้าย หมุนผายฝ่ามือออก แหวนมิติที่เรียบง่าย ปรากฏในฝ่ามือของเขา นี่คือแหวนมิติของผู้นำเพลิงสีชาด ในฐานะผู้สืบทอดของผู้นำของเผ่าอันดับหนึ่ง ซึ่งเป็นเผ่าที่ใหญ่ที่สุดในหมู่พวกภูตวิญญาณ
แหวนมิติของเขาคือสิ่งที่ หลินเว่ยตั้งตารอคอย!
เจ้าของแหวนมิติคนเดิมเสียชีวิตแล้ว และแม้แต่ศพก็ยังกลายเป็นทหารภายใต้คำสั่งของหลินเว่ย แหวนมิติเป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของอยู่แล้ว การลบเครื่องหมายบนนั้นไม่ยากเกินความสามารถ
ร่องรอยของพลังจิตเข้าสู่แหวนมิติทันที พื้นที่ขนาดใหญ่สะท้อนให้เห็นในดวงตาของหลินเว่ย ในพื้นที่นี้ มีสิ่งของมากมาย และเต็มไปด้วยสิ่งของนานาชนิด
ส่วนใหญ่เป็นหินลึกลับที่ หลินเว่ยต้องการมากที่สุด ซึ่งกินพื้นที่มากกว่าครึ่ง จำนวนนี้มากกว่าหินทั้งหมดที่หลินเว่ยเคยได้รับมาก่อนถึงสิบเท่า
“ไม่น่าแปลกใจที่ แหวนมิติที่มีพื้นกว้างขวางนั้น ดูเหมือนว่ามันถูกมอบให้กับลูกหลานที่มีพรสวรรค์มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ภูตวิญญาณตนนี้ การฝึกฝนสูงมาก และกำลังจะทะลวงไปถึงขั้นราชันย์ โชคร้ายที่มาพบข้า และตายภายในมือของข้าด้วย”
หลินเว่ยยิ้มและส่ายหัวพลางสังเวชใจ แต่เขาไม่ได้แสดงท่าทีเสียใจแม้แต่น้อย สำหรับศัตรู เขาไม่เคยมีคำว่า “ใจอ่อน” อยู่ภายในใจ
“ด้วยสิ่งเหล่านี้ บวกกับสิ่งอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ ข้าควรจะสามารถทำให้พลังวิญญาณและพลังจิตไปถึงจุดสูงสุดของขั้นตำนาน แม้ว่าจะไม่สามารถทะลวงขั้นราชันย์ แต่ก็น่าจะไม่น่าเกลียดเกินไป กว่าข้ารอจนกว่าเสี่ยวตี้จะทำความสะอาดสนามรบและนำแหวนมิติของผู้นำเผ่าเหล่านั้นมาให้ เกรงว่าน่าจะมีหินลึกลับอยู่มากมาย ซึ่งสามารถทำให้ข้าไปถึงจุดสูงสุดขั้นตำนาน หรืออาจทะลวงเลื่อนระดับ” หลินเว่ยขบคิดและ แสดงรอยยิ้มตื่นเต้น
นอกจากหินลึกลับจำนวนมากแล้ว ด้านซ้ายมือสุด คือหินคุณภาพระดับชั้นยอด สูง กลาง และล่าง หินทุกระดับ คือ หินหยวนจิงซึ่งเป็นทรัพยากรการฝึกฝนที่หลินเว่ยต้องการ
“เอ๋?” เสียงตกใจดังขึ้น จากนั้นใบหน้าของหลินเว่ยก็แสดงความปีติยินดี จากนั้นเขาก็เห็นว่า เขาใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือขวา คีบเอาคริสตัลสีดำขนาดใหญ่ เท่ากับ หินอินทผาลัม ซึ่งเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว
เมื่อ หลินเว่ยพบว่าคริสตัลสีดำที่ดูไม่สม่ำเสมอถูกปกคลุมด้วยรอยแตกเล็ก ๆ จากภายในสู่ภายนอก รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หยุดนิ่งทันที
เขามั่นใจว่าคริสตัลนี้เป็นส่วนหนึ่งของชิ้นส่วนวิญญาณอย่างแน่นอน หลินเว่ยคุ้นเคยกับลมปราณของมันเป็นอย่างดี และเขาจะไม่มีวันรับรู้ผิดพลาด เพียงเสี้ยวของเศษวิญญาณที่เต็มไปด้วยรอยร้าวในขณะนี้
และมันรู้สึกเหมือน ราวกับเปลือกบางอย่าง ไร้ปราณชีวิตอยู่ในนั้น
“แต่สภาพของมัน… มันไม่แย่หน่อยหรือ?” หลินเว่ยท่าทางกังวลเล็กน้อย ท้ายที่สุด เขาคาดหวังว่าหลังจาก ชายชราหมิงดูดซับชิ้นส่วนวิญญาณนี้ ระดับทักษะคืนชีพโครงกระดูกและพื้นที่มิติ จะสูงขึ้นมากหรือไม่!
หาไม่แล้ว เขาจะไม่สามารถทะลวงขั้นราชันย์ได้ และก้าวไปยังอาณาจักรเทพจำแลง
เนื่องจากจุดตันเถียนของหลินเว่ยได้แตกสลายไปนานแล้ว และถูกแทนที่ด้วยพื้นที่มิติ สำหรับหลินเว่ยนอกจากจะเผชิญกับความยากลำบากในการฝึกฝน เขายังต้องแบกรับปัญหาว่า พื้นที่มิติสามารถอัพเกรดได้หรือไม่
“ผู้เฒ่าหมิง! มาดูเถิด ข้าพบชิ้นส่วนวิญญาณของท่านแล้ว อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างผิดปกติกับมัน โปรดตรวจสอบว่ามันยังคงใช้ได้อยู่หรือไม่” หลินเว่ยตะโกนให้รู้ ชายชราในทะเลจิตสำนึก เนื่องจากไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเจ้าตัว
“พบอีกชิ้น?” เมื่อชายชราหมิงได้ยินสิ่งที่หลินเว่ยพูด เขาก็ลืมตาขึ้นมาทันที และมีใบหน้าประหลาดใจ แต่เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่หลินเว่ย เขาก็ตกใจและรู้สึกประหม่า จากนั้นเขาก็รีบออกไปด้วยท่าทีเร่งด่วน
“เอาออกมาให้ข้าดูเร็วเข้า!” เมื่อออกมาจากจิตสำนึกของหลินเว่ย ร่างกายของชายชราหมิงขยายใหญ่ขึ้น ดวงตาของเขา ตกลงมาที่มือของหลินเว่ย ถูกต้องแล้ว มันคือหินคริสตัลสีดำในมือของหลินเว่ย
เมื่อเห็นใบหน้าที่กระตือรือร้นของชายชราหมิง หลินเว่ยก็ไม่ลังเลใจ และยื่นมันออกมาโดยตรง
“ฟิ้วววว!” สายลมพัดมา เมื่อหลินเว่ยยื่นคริสตัลสีดำให้ชายชราหมิง เขาคว้ามันและวางไว้เบื้องหน้าสายตาของเขา จากนั้นหลินเว่ยพึ่งจะรู้ตัวว่า หินคริสตัลสีดำในมือของเขา ถูกชายชราหมิงฉกเอาไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้
ครู่ต่อมา ชายชราหมิงวางมือลง และใบหน้าของเขาก็ผ่อนคลายมาก
“เป็นอย่างไรบ้าง ยังใช้ได้อยู่ไหม?” หลินเว่ยถามด้วยความกังวล
“เอาล่ะ! ได้ อย่างไรก็ตาม พลังดั้งเดิมในชิ้นส่วนนี้หมดลงแล้ว ค่อนข้างใช้เวลานานในการฟื้นฟู อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้ มันจึงง่ายสำหรับข้าที่จะหลอมรวมชิ้นส่วนนี้เข้าด้วยกัน หลังจากที่ข้าราบรวมเข้าด้วยกันแล้ว ข้าสามารถใช้พลังดั้งเดิม เพื่อทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง” ชายชราหมิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีมาก เขาชื่นชมหลินเว่ยอย่างมีความสุข
“ระยะเวลาไม่สำคัญ เพียงแค่ใช้ได้” หลินเว่ยพยักหน้าด้วยความโล่งใจเช่นกัน และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ข้ามีความสุขจริง ๆ! ในตอนแรก สามารถค้นหาชิ้นส่วนวิญญาณสองชิ้นติดต่อกัน และตอนนี้เ กลับพบอีกชิ้น อาจมีชิ้นอื่น ๆ หลงเหลืออยู่ที่นี่
“เฮ้อ! ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ซ่อมแซมวิญญาณของข้าได้ครึ่งหนึ่งเลย ทำได้เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น ความสามารถของข้ามีจำกัด และข้าสามารถสัมผัสส่วนที่เหลือได้ ในระยะแคบ ๆ เท่านั้น ไม่เช่นนั้น เรื่องนี้คงจะไม่เป็นเรื่องยาก”
ชายชราหมิงถอนหายใจแล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ช่างมันเถอะ อย่าพูดแบบนั้น ข้าจะกลับไปหลอมรวมเศษวิญญาณ หากมีอะไรสามารถเรียกข้าได้ คราวนี้ข้าหลับลึก” และจะใช้เวลาไม่มากนัก ”
“ดี!” หลินเว่ยพยักหน้าและตอบรับ จากนั้น เขาโบกมือของเขา และมีภูเขาหินหยวนย่อม ๆ ปรากฏขึ้นรอบตัวของ หลินเว่ย จากนั้นจัดค่ายกลรวบรวมวิญญาณ และเปิดใช้งาน จากนั้นค่อยๆ หันกลับมาและเริ่มฝึกฝน
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า…..เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ในชั่วพริบตา สิบปีผ่านไป และประตูหอต้าหลิงยังคงปิดอยู่ ในช่วงเวลานี้ หลินเว่ยไม่เคยย่างเท้าออกมา
“โว้ว โว้ว…!” ปรากฏร่างมากกว่าสิบร่างติดต่อกัน ด้วยเสียงปะทะของลม พวกเขาก็ร่อนลงมาทีละคน เบื้องหน้าเจดีย์ต้าหลิง พวกเขาคือ เสี่ยวตี้ และ… ผู้ฝึกตนมนุษย์มากกว่าสิบคน
“ราชาภูตวิญญาณ! โปรดส่งข้อความของเราไปยังหลิน.. เอ้อ ราชาที่อยู่ในเจดีย์ต้าหลิง ว่าหุบเขาเทียนซิน และตำหนักเทียนโม่ของเขาตกอยู่ในอันตราย พวกเขาต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน”
ชายที่เป็นมนุษย์ดูวิตกกังวล
“รอสักครู่! ” เสี่ยวตี้พยักหน้า ไม่กล้าละเลย และหลับตาลง อย่างรวดเร็ว และเริ่มติดต่อกับหลินเว่ย
“องค์ราชาจะออกมา โปรดรอสักครู่” ครู่ต่อมา เสี่ยวตี้ลืมตาและพยักหน้า
“ช่างวิเศษเหลือเกิน! มีเพียงหลิน…..เอ่อ องค์ราชาที่จะสามารถแก้วิกฤตของสองสำนักได้ ” ชายคนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้นเคยกับการเรียกขานหลินเว่ย แต่ในขณะนี้ เขาอยู่ในดินแดนของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะเต็มใจหรือไม่ ก็ควรทำตามกฎ
หลินเว่ยนั้นไม่ปล่อยให้พวกเขารอนานเกินไป ไม่กี่นาทีต่อมาประตูที่ด้านล่างของเจดีย์ต้าหลิงก็เปิดออก และ หลินเว่ยก็เดินออกไปช้า ๆ
“องค์ราชา!” เมื่อเห็นหลินเว่ยก้าวเท้าออกมา ห้าในสิบคน ก็พรวดพราดทันที พวกเขาคุกเข่าลงต่อหน้าหลินเว่ย และร้องออกมาเป็นเสียงเดียวพร้อมกัน
“องค์ราชา!” อย่างไรก็ตาม อีกเก้าคนที่เหลือไม่คุกเข่าลง แต่กลับโค้งคำนับและเรียกด้วยความเคารพ
“นายท่าน! คนเหล่านี้ต้องการพบท่าน” เสี่ยวตี้เดินมาที่หลินเว่ยและร้องเรียกด้วยความเคารพ
“เอาล่ะ ลุกขึ้นเถอะ หลินเว่ย พยักหน้าแล้วพูด เมื่อมองไปที่ผู้ฝึกตนจำนวนสองกลุ่มเบื้องหน้า หลินเว่ยมองไปที่ ชายห้าคนที่คุกเข่าลงให้เขาและเรียกเขาว่าผู้นำตำหนักเทียนโม่ เขาพูดอย่างแผ่วเบาว่า “เจ้ามายังตำหนักเทียนโม่หรือ”
“ใช่แล้ว ท่านผู้นำ ข้ามีชื่อว่า เหยาชาน เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ชายผู้ที่มีการฝึกฝนสูงสุดในบรรดาห้าคน ก็โค้งคำนับอย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยความเคารพ
หลินเว่ยพยักหน้า จากนั้นหันศีรษะไปที่ ผู้คนจากหุบเขาเทียนซินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้วทันทีและถามว่า “ท่านมาหาข้าเรื่องอะไร…แก้ปัญหานี้ไม่ได้หรือ”