ราชาซากศพ - บทที่ 579 เตรียมพร้อม
บทที่ 579
เตรียมพร้อม
“ได้ เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เสี่ยวไป๋ก็มองขึ้นไปที่รูปปั้นทองคำสูงอยู่นาน แล้วก็อดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเขาหันศีรษะ เขาพบว่า หลินเว่ยและเสี่ยวหลงจากไปแล้ว ตำแหน่งที่หลินเว่ยยืนอยู่ เขาทิ้งผ้าหนาๆ ไว้กองหนึ่ง
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเหลือเพียงเศษผ้าเพื่อให้เช็ดถูรูปปั้นของเขา
…………
ณ หุบเขาเทียนซิน ในระดับความลึกภายในสำนักหุบเขาเทียนซิน เป็นโถงอาคารสูงเกือบ 50 เมตร มีตัวอักษรที่ประตูอ่านว่า หุบเขาเทียนซินสามตัว ด้วยอักษรทองคำบริสุทธิ์
ภายในห้องโถงใหญ่ มีโต๊ะกลมขนาดใหญ่ นำโดย หลินเจิ้นและราชันย์อีกสอง รอบๆ พวกเขามีอาคารสูงหลายแถว ในหุบเขาเทียนซิน
เบื้องหน้ามีคนจำนวน 50 คน พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้เชี่ยวชาญในขั้นตำนาน และมากกว่าครึ่ง เป็นชายชราที่มีผมขาวโพลน ในหมู่พวกเขามีมากกว่า 10 คนถึงจุดสูงสุดของขั้นตำนาน
“ผู้อาวุโส! นี่เป็นเรื่องฉุกเฉิน ข้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรบกวนการฝึกฝนของท่าน” นิ้วของหลินเจิ้นเคาะลงบนโต๊ะ และหลังจากที่ดวงตาของเขากวาดสายตาไปรอบ ๆ แล้ว เขาพูดช้า ๆ
“ได้โปรด! บอกเราหน่อยเถอะ พวกเราต่างใช้ชีวิตมายาวนาน น่าจะพอมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย” ชายชราคนหนึ่ง มีริ้วรอยบนใบหน้า มัดผม และมีเครายาวที่คาง เขาลูบเคราและพูดอย่างเคร่งขรึม
“ใช่ พวกเราเป็นตาแก่ที่อาศัยมานาน ก่อนตายได้ช่วยเหลือสำนักได้ ก็คงดี” ชายชราพยักหน้าแล้วกล่าวกับ หลินเจิ้น
“ทุกคน! ข้าจะบอกเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง ว่าเกิดอะไรขึ้น สำนักเฉียนซิ่วเหมิน แม้จะเป็นเพียงกองกำลังระดับหนึ่ง แต่ก็มีหลักฐานว่า มีเงาของตำหนักเร้นลับอยู่เบื้องหลังพวกเขา ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ข้าต้องการพูดคุยกับท่านถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น” หลินเจิ้นพยักหน้าและพูดอย่างเคร่งขรึม
“เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สำนักของเราถูกตำหนักเทียนโม่โจมตี และนอกจากนี้เราได้รู้ว่าอารามกวงหมิงในเวลานั้น ถูกคนในตำหนักเร้นลับขัดขวางเอาไว้ ด้วยวิธีนี้ ก็สามารถอธิบายได้ว่าผู้บงการในครั้งนั้น น่าจะเป็นตำหนักเร้นลับ
วันนั้นตำหนักเทียนโม่ เป็นหนังหน้าไฟเท่านั้น ที่ทั้งเราและตำหนักเทียนโม่ต้องสูญเสีย และ ใช้เวลานานกว่า 20 ปี เราต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง และเราคิดว่าในครั้งนี้พวกเขาเลือกที่จะใช้งาน กองกำลังระดับหนึ่งในการป้ายสีและลอบทำร้ายเราทุกหนทาง” มู่หยางพูดช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ไม่ว่า มู่หยางหรือ หลินเจิ้น สิ่งที่พวกเขากังวลจริง ๆ ก็คือ ตำหนักเร้นลับ ไม่ได้ใช้งานสำนักเฉียนซิ่วเหมินเพียงอย่างเดียว อาจจะมีอีกหลายสำนักที่ถูกพวกเขาบงการ
เนื่องจากสำนักพวกนี้ เมื่อเทียบกับหุบเขาเทียนซิน มีช่องว่างขนาดใหญ่
“แต่พวกท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ พันธมิตรของเรา นอกจากตำหนักจรัสแสง ตำหนักเทียนโม่ และเจดีย์ต้าหลิงจะช่วยเหลือเรา” จางซีเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ปรมาจารย์! ตำหนักเทียนโม่ ยินดีจะช่วยเหลือเราจริง ๆหรือ” ชายชราคนหนึ่งที่มีใบหน้าซีดเหลือง เอ่ยถามด้วยใบหน้าที่สงสัย
“เราทุกคนต่างกังวลในเรื่องนี้ หลินเว่ยเป็นคนที่ เห็นคุณค่าของความรักและความชอบธรรม นอกจากนี้ เขายังเป็นลูกเขยของตระกูลหลินอีกด้วย เขาส่งคนมาบอกเราว่า สำนักเฉียนซิ่วเหมินกำลังจะลอบโจมตีสำนักของเรา ข้าเชื่อว่า เขาจะยินดีช่วยเหลือเรา” คนที่ตอบคือหลินเจิ้น เห็นได้ชัดว่าเขามองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับหลินเว่ย
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป” โอวหยางเต๋อ ถามในฐานะศิษย์ของหลินเจิ้น แม้ว่าการฝึกคนของเขายังคงน้อยนิดเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆในที่แห่งนี้ แต่เขาก็ยังมีคุณสมบัติที่จะพูด
“ง่ายมาก! เพียงรอ” หลินเจิ้นพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“รอ?” ชายชราอ้วนขมวดคิ้ว ทำหน้าสงสัย เมื่อได้ยินคำถามของหลินเจิ้น
“ใช่ ช้าก่อน! เราทั้งสามคนตัดสินใจว่า เฉียนซิ่วเหมินเป็นเพียงเบี้ยที่ปล่อยจากตำหนักเร้นลับ เราไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเพียงเพราะกองกำลังระดับหนึ่ง เพียงแค่ป้องกัน คนที่ เฉียนซิ่วเหมินส่งมาสร้างปัญหาให้เรา!จากนั้นเราจะจัดการพวกเขาทีละคน เราจะตามสังหารพวกเขาทีละคน ทีละคน ทีละคนจนกว่าพวกเขาจะหวาดกลัวจนไม่กล้าส่งคนมาอีก แต่เราต้องทำเรื่องนี้ในอาณาเขตของเรา ในเวลานั้นตำหนักเร้นลับจะเลือกว่าจะหยุด หรือจะเปิดเผยตนเอง ” หลินเจิ้นพยักหน้า น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเต็มไปด้วยความอาฆาต . เมื่อเสียงของหลินเจิ้นลดลงเป็นเวลานาน ทั้งห้องโถงยังคงเงียบกริบ ทุกคนต่างตกตะลึงกับคำพูดของหลินเจิ้น หลายคนรู้สึกหนาวเหน็บในใจ
หลินเจิ้นและคนอื่น ๆ ต่างรอคอยความหวังฝากไว้ที่ หลินเว่ย
ณ โลกใต้ดิน หลังจากที่หลินเว่ยยอมรับเผ่าจูมู่เข้ามายังเผ่าต้านชาน หลังจากนั้น หลินเว่ยอยู่ในเจดีย์ต้าหลิง เพื่อดูดซับหินลึกลับด้วยความเร็ว 16 เท่า
อันที่จริงหินเหล่านี้เกิดจากการรั่วของพลังงานในเศษวิญญาณของชายชราหมิง หลินเว่ยล่วงรู้มานานแล้ว และจึงได้ตามเก็บรวบรวมมาจนหมด
อย่างไรก็ตาม การดำรงอยู่ของราชาภูตวิญญาณก่อนหน้านี้ที่จะมอบหินลึกลับให้ภูตวิญญาณที่ทะลวงขั้นตำนาน เพื่อใช้ในการทะลวงด่านขั้นราชันย์ เป็นสิ่งที่ทำให้หลินเว่ยประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้ เขาตามขุดรวบรวมหินลึกลับไปจนหมดสิ้นก่อนหน้านี้ที่อยู่ในหุบเขาเทียนซิน แต่เห็นได้ชัดว่ามีการรวบรวมหินลึกลับจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ในบรรดาสองชนเผ่าชั้นนำ ได้แก่เผ่า ต้าชาน และ จูมู่ การเก็บเกี่ยวหินลึกลับของหลินเว่ย ปรากฏว่าได้รับมากองพะเนินเทินทึก ราวกับภูเขาย่อม ๆ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการสะสมของภูตวิญญาณ มันเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลินเว่ยไม่ได้สนใจสิ่งของอื่นในแหวนมิติของเหล่าภูตวิญญาณ หลังจากที่เขาได้มันมา แต่เนื่องจากเขาพบหินลึกลับเหล่านั้นในแหวนมิติของเสี่ยวตี้ และได้ยินเรื่องราวลับ ๆจาก เสี่ยวตี้ หลินเว่ยจึงได้รับหินลึกลับมาทั้งหมด
แหวนมิติของหลินเว่ยที่มีพื้นที่หลายพันตารางเมตรนี้ เต็มไปด้วยหินลึกลับทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก นับไม่ถ้วน หลินเว่ยเก็บสะสมพวกมันมาได้ในระหว่างออกค้นหาเศษชิ้นส่วนวิญญาณของชายชราหมิง
เห็นได้ชัดว่า เขาต้องใช้เวลามากในการดูดซึมทั้งหมด
แต่มันไม่ได้สำคัญอะไร เพราะหลินเว่ยมีเจดีย์ต้าหลิงที่สามารถควบคุมเวลาให้ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว 16 เท่าของโลกภายนอก ซึ่งเท่ากับความเร็วในการกลั่นซึ่งเพิ่มขึ้น 16 เท่า
หลินเว่ยกำลังง่วนอยู่กับการดูดซับพลังงานจากหินลึกลับ เจดีย์ต้าหลิงดูดซับพลังงานจากหินหยวนจำนวนมาก ขณะที่เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวหลงกำลังฝึกอยู่ในเจดีย์ต้าหลิง
เป็นเรื่องที่เสี่ยวไป๋เจ็บใจ ในตอนที่หลินเว่ยให้เขาไปเช็ดถูรูปปั้น เขาคิดว่าหลินเว่ยเพียงล้อเล่น แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ หลินเว่ยจริงจังมาก ด้วยเหตุนี้ งานหนึ่งเดือน จึงกลายเป็นสองเดือน ในช่วงเวลานี้ หลินเว่ยห้าม เสี่ยวไป๋เข้าไปในเจดีย์ต้าหลิง
เพื่อฝึกฝน ทำให้เสี่ยวไปเจ็บใจมาก แต่ไม่กล้าขัดคำสั่งของหลินเว่ยโดยไม่ทำตาม เขาเช็ดถูรูปปั้นด้วยหัวใจที่เจ็บปวด!
ในที่สุด หลังจากผ่านช่วงเวลาสองเดือนที่ยากลำบาก เสี่ยวไป๋ก็ได้รับการปลดปล่อยในที่สุด หลังจากหลินเว่ยอนุญาต เสี่ยวไป๋ก็ได้รับโอกาสในการเข้าสู่เจดีย์ต้าหลิงเพื่อฝึกฝน
เป็นเวลานาน เมื่อเสี่ยวไป๋ มองไปยังรูปปั้นทองคำ เขามักจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเขาหวาดกลัวรูปปั้นทองคำไปแล้ว ในทางกลับกัน เสี่ยวตี้มีความสุขมาก เมื่อมองดูจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นของเผ่า
เขามีความสุขทุกวัน แน่นอนว่า ความสุขในทุกวันย่อมเหมือนเดิมในทุกวัน มีสามสิ่งที่เขาจะต้องทำทุกวันไม่ได้บกพร่อง คือ
สิ่งแรกคือการลืมตา สิ่งที่สองคือการตามหาจูมู่ และสิ่งที่สามคือการทุบตี
ใช่! การทุบตีเมื่อมีความสุข หากเขาอารมณ์ก็เพียงทุบตีเบา ๆ หากอารมณ์ไม่ดี เขาก็ทุบตีแบบเต็มรูปแบบ ผู้นำเผ่าจูมู่ที่น่าสงสาร หัวปูด หน้าบวม ไม่มีอะไรแย่ไปมากกว่านี้แล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปปีกว่า ในใจกลางของเจดีย์ต้าหลิง หลินเว่ยและคนอื่นๆ ฝึกฝนมาเกือบ 20 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ หลินเว่ยได้ออกจากฝึกฝน ไม่ได้เป็นเพราะทรัพยากรการฝึกฝนหมดลง แต่เมื่อสิ้นปี มีชนเผ่าไม่กี่เผ่าที่เผ่าต้าชานสามารถควบกลืนได้ แม้ว่าจะอยู่ห่างไกล
ภายในพื้นที่หลายล้านกิโลเมตร มีเพียงสองเผ่าชั้นนำ เผ่าราชา และพันธมิตรต่อต้านเผ่าต้าชาน อีกหลายสิบเผ่า ที่ประกอบด้วยชนเผ่าขนาดใหญ่
ใช่! ในปีที่ผ่านมา เรื่องราวของเสี่ยวตี้ ที่เป็นผู้นำเผ่าต้าชานและการรวมเผ่าอื่น ๆ ได้แพร่กระจายไปในหมู่ภูตวิญญาณหลายเผ่ามาช้านาน เพื่อที่จะไม่ถูกผนวกรวมโดยเสี่ยวตี้ ชนเผ่าขนาดใหญ่หลายสิบเผ่าได้จัดตั้งพันธมิตรต่อต้านเสี่ยวตี้ โดยร่วมมือกับสองเผ่า
เมื่อครึ่งปีที่แล้ว ด้วยการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของชนเผ่าต้าชาน ทั้งจำนวนและพลังการต่อสู้ ได้มีระดับสูงเกินสองเผ่าบน สุดถึงสิบเท่า ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันอย่างหนัก
เผ่าทองขาว ซึ่งมีประชากรมากกว่า 30 ล้านคน มีทหาร 28 ล้านคน ที่สามารถต่อสู้กับศัตรูได้ ครึ่งหนึ่งเป็นขั้นเหล็กดำ จำนวนประมาณ 14 ล้าน ขั้นทองแดง 8 ล้าน ที่เหลืออีก 6 ล้าน แบ่งเป็น 4 ล้านขั้นเงิน
1.5 ล้าน ขั้นทอง ขั้นทองขาวจำนวน 800,000 ขั้นทองนิลจำนวน200,000 มากกว่า 10,000 ในขั้นตำนาน ซึ่งมากกว่า 2,000 อยู่ในระดับช่วงแรก มากกว่า 800 อยู่ในช่วงกลาง และถึงจุดสูงสุดของขั้นตำนานจำนวน 16 คน
ชนเผ่าวารีฟ้า ซึ่งอยู่ในอันดับที่สามนั้น แย่กว่าชนเผ่าทองขาว โดยมีประชากรทั้งหมดประมาณ 20 ล้านคน รวมถึงเป็นทหารจำนวน 18 ล้านคน
ในทำนองเดียวกัน ทหารขั้นเหล็กดำครอบครองครึ่งหนึ่งของเผ่า เกือบเก้าล้าน ในขณะที่ส่วนที่เหลือ อีกเก้าล้าน แบ่งเป็น สี่ล้าน ในขั้นทองแดง จำนวนสามล้านอยู่ในขั้นเงิน จำนวน 1.2 ล้านอยู่ในขั้นทอง
จำนวน 500,000 อยู่ในขั้นทองขาว 150000 อยู่ในขั้นทองนิล จำนวน 8000 อยู่ในขั้นตำนาน แบ่งเป็น 2,000 คน ในตำนานระดับแรก มากกว่า 700 คนอยู่ในช่วงกลาง และมีช่วงปลายในขั้นตำนาน 12 คน
ในทางตรงกันข้าม เผ่าวารีฟ้านั้นอ่อนแอกว่าเผ่าทองขาว แต่ช่องว่างที่แท้จริงนั้นไม่ใหญ่มากนัก หากสองเผ่าชั้นนำเหล่านี้ ต้องการต่อสู้จริง ๆ เผ่าทองขาวอาจจะชนะหรืออาจจะไม่