ราชาซากศพ - บทที่ 478 คนทรยศ
บทที่ 478
คนทรยศ
ใครน่ะ? กล้าดีอย่างไร? เมื่อได้ยินเสียงนี้ ปรากฏเสียงเยือกเย็นของผู้ฝึกตนแห่งหุบเขาเทียนซิน ต่างหันมาสบตากับผู้พูด
“ดูเหมือนมี่หยางแห่งหอผิงซิน เขามันชาติสุนัข ข้าไม่ได้คาดหวังว่า มันจะขี้ขลาดถึงเพียงนี้ เพื่อที่จะอยู่รอด กลับทรยศต่อสำนัก และเต็มใจที่จะกลายเป็นสุนัขรับใช้ให้กับภูตวิญญาณตัวร้าย”
“ห๊ะ! ข้าหลงตาบอดมานาน จนนับเป็นพี่น้องกับเขา เขาไม่สมควรแม้แต่ถือรองเท้าให้ข้า บัดซบ”
“ใช่! แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาขี้ขลาดหรือโง่เง่า จุดจบของการเป็นทาสของสัตว์อสูรและภูตวิญญาณเป็นอย่างไร? มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า หากไม่ได้มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน มิอาจที่จะขึ้นไปเทียบได้ ช่างน่าขัน ”
“ ……” เมื่อได้ยินการสนทนารอบด้าน พวกเขาต่างประณามเรื่องของมี่หยาง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำให้หอผิงซินนั้นโด่งดัง ในสายตาของทุกคน ผู้ฝึกตนของหอผิงซินล้วนน่ารังเกียจ
ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนของหอผิงซินต่างก้มหน้างุดและไม่กล้าเชิดหน้าขึ้นมองหน้าคนอื่นๆ ได้ เห็นได้ชัดว่า เป็นเพราะ มี่หยางที่ทำให้พวกเขาอับอาย
“คนทรยศ..ข้าไม่คาดหวังว่าเขาจะคนเป็นแบบนี้ ข้าช่างตาบอดที่พาเขาเข้าร่วมกับหอผิงซิน” กู่ป๋อมองไปที่มี่หยางอย่างโกรธเกรี้ยวและกัดฟันของเขา
สำหรับหลินเหยามองไปที่มี่หยาง เนื่องจากนางต้องการสังหารเขา นางเกลียดชังมี่หยางเข้าไส้แต่ไม่ได้คิดที่จะสังหาร แต่ในตอนนี้ หลังจากสิ่งที่มี่หยางทำลงไป ทำให้นางเปลี่ยนเป็นความคิดและต้องการจะสังหารเขาโดยตรง
เมื่อได้ยินความคิดเห็นของผู้คนที่มีต่อเขา มี่หยางก็หายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นหันกลับมาพูดอย่างจริงจัง ด้วยน้ำเสียงต่ำๆว่า: ” พวกเจ้ามองอะไร คนที่รู้สถานการณ์ปัจจุบันเป็นวีรบุรุษ ไม่มีใครที่เป็นเหมือนข้า ในตอนนี้ข้ากำลังนำหน้าพวกเจ้าไปแค่ก้าวหนึ่ง ไม่ว่าจะเรียกข้าว่าคนทรยศหรือคนไร้ยางอาย ข้าไม่สนแล้วมันจะเป็นอย่างไรล่ะ? ชีวิตสำคัญกว่าเป็นไหนๆ”
หลังจากที่ มี่หยางพูดจบ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง และเห็นว่าไม่มีใครซุบซิบเรื่องนี้อีกต่อไป เขาจึงพูดอีกครั้งว่า: “หลังจากเรื่องทั้งหมด ข้าเข้าร่วมหุบเขาเทียนซิน เพื่อที่จะทำให้การฝึกฝนของข้าก้าวหน้าเร็วขึ้น และมีชีวิตยืนยาว ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ข้าได้รับจาก สำนักทั้งหมดนี้ ล้วนได้มาจากสองมือของข้า ข้าคิดว่าข้าไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณสำนัก พวกเจ้าแต่ละคนมันโง่ เจ้าควรเอาชีวิตของตัวเองไว้ก่อน
เพื่อสิ่งที่เรียกว่าตระกูลหรือสำนัก คนเหล่านั้นที่ตายไปก่อนหน้า หากไม่ใช่เพราะการจัดการที่ผิดพลาด พวกเขาก็คงไม่ตาย อย่างน้อยก็มีคนตายไม่มากนัก ”
จิตใจของผู้คนกำลังเคลื่อนไหว ผู้ฝึกตนหลายคนในหุบเขาเทียนซิน ล้วนมีจิตใจที่ล่องลอย และดวงตาของพวกเขากะพริบ เมื่อได้ยินคำพูดของมี่หยาง เช่นเดียวกับที่มี่หยางกล่าว สิ่งที่พวกเขาได้รับจาก สำนักคือต้องจ่ายราคาที่เหมาะสมในพวกเขาทุกปี และทำงานเพื่อรับคะแนนสมทบ ความสัมพันธ์ของพวกเขากับสำนัก เป็นเหมือนนายจ้างและลูกจ้าง
“บ้า! แม้ว่าเจ้าจะไม่คู่ควรกับสำนัก แต่เนื่องจากเจ้าทำให้สำนักอับอายและยอมเป็นทาสของผู้อื่น เจ้ามันสมควรตาย” เมื่อเห็นว่าหลาย ๆ คนนั้นเริ่มคล้อยตามคำพูดของมี่หยาง โอวหยางเต๋อรู้สึกโกรธมาก
เขาก็ด่าสองสามคำ จากนั้นพุ่งเข้าไปตบมี่หยางด้วยความโกรธ เมื่อเห็นมือของโอวหยางเต๋อที่กำลังพุ่งเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขา มี่หยางแข็งทื่อ และดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว เขาอุทานในใจ “ชีวิตข้าจบสิ้นแล้ว!”
อย่างไรก็ตาม เมื่อมี่หยางคิดว่า เขากำลังจะตาย เขาก็เห็นร่างของชายหนุ่ม ปรากฏตัวต่อหน้าเขาและใช้มือข้างเดียวเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของโอวหยางเต๋อ
หลังจากสลายการโจมตีของโอวหยางเต๋อแล้ว ชายหนุ่มปริศนามองไปที่ใบหน้าของโอวหยางเต๋ออย่างเย็นชา และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “เจ้าบ้า! ใครให้เจ้ากล้าสังหารคนต่อหน้าข้า?”
“เจ้า…!” เมื่อเห็นว่าการโจมตีของเขาถูกปิดกั้น และจากนั้นก็ได้ยินคำเตือนของเด็กหนุ่ม โอวหยางเต๋อก็แทบจะอาเจียนเป็นเลือด ขณะที่เขากำลังจะโต้กลับ เขาก็ถูกเจียงฉินและหลินเซี่ยขวางเอาไว้
เขาทำได้เพียงแค่กลืนความโกรธลงท้องไป แต่เมื่อเขามองไปที่มี่หยาง ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ฟันของเขาขบกันแน่น และใบหน้าของเขาก็ดุร้าย
หลังจากเอ่ยเตือนโอวหยางเต๋อแล้ว ชายหนุ่มปริศนาก็หันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา เขาพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม“ เจ้าคือมี่หยาง! เจ้าเก่งมาก ข้าต้องการคนอย่างเจ้ามาจัดการคนพวกนี้แทนข้า
ข้าจะให้เวลาอีกสิบนาทีเพื่อให้คนอื่นยอมจำนนต่อข้า จากนั้นเจ้าจะขึ้นมาเป็นผู้นำของพวกเขา และมอบผู้ใต้บังคับบัญชาให้เจ้า”
เมื่อมองตามนิ้วมือของชายหนุ่มที่ชี้ไปยังราชาภูตวิญญาณและมหาปุโรหิตภูตวิญญาณที่คุกเข่าลงบนพื้น เมื่อ มี่หยางเห็นสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกร้อนรุ่มในใจ เขาไม่รู้สึกรังเกียจที่จะกลายเป็นทาสของชายหนุ่ม
ท้ายที่สุดแล้วอีกด้านหนึ่งคือราชันย์ และการกลายเป็นทาสของราชันย์ ล้วนเป็นฝันของหลาย ๆ คน
“นายท่านไม่ต้องกังวล! ข้าคิดว่าพวกเขาหลายคน จะเลือกได้อย่างถูกต้อง” เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม มี่หยางรีบให้คำมั่นสัญญาว่าเขาถือว่าตัวเองเป็นทาสของชายหนุ่มแล้ว
ความคิดของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและแสดงท่าทางราวกับทาสอย่างชัดเจน
“ห๊ะ! เจ้าคนอ่อนเปลี้ย โอวหยางเต๋อก่นด่าอย่างเหยียดหยาม จากนั้นปิดปากแน่น เขารู้ว่ามีชายหนุ่มเบื้องหน้าไม่มีทางปล่อยมี่หยางไป ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะดุด่าอะไรอีก
เมื่อได้ยินคำพูดของโอวหยางเต๋อ มี่หยางก็แสยะยิ้มและพูดว่า “ฮึ่ม! ตาแก่ข้าเป็นคนเปลี้ยแล้วอย่างไร ขวางหูขวางตางั้นหรือ ข้าเป็นหนี้อะไรเจ้า เจ้ามีคุณสมบัติอะไรที่มาพูดอะไรกับข้า และพยายามจะสังหารข้า ข้าอยากเห็นว่าเจ้าจะมีสภาพอนาถเพียงใด?”
เมื่อ มี่หยางพูดจบ เขาก็หยุดคุยกับโอวหยางเต๋อ แต่หันไปมองผู้ฝึกตนในหุบเขาเทียนซิน หัวใจของเขาร้อนรุ่มและดวงตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้น
ด้านหน้าของเขามีผู้ฝึกตนจำนวน 50,000 คน ในสำนักหุบเขาเทียนซิน แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะดูยุ่งเหยิง และแม้กระทั่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้รอดชีวิตเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้อ่อนแอ
พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง หากเขาสามารถควบคุมกองกำลังนี้ได้ เขาจะรู้สึกตื่นเต้นมาก เกินกว่าจินตนาการ
เมื่อมองไปที่ผู้ฝึกตนแห่งหุบเขาเทียนซิน ด้วยท่าทางที่แตกต่างกัน มี่หยางพยายามทำตัวให้สงบแล้วค่อยๆพูดว่า “ข้าไม่มีอะไรจะพูดมาก ข้าเพิ่งพูดไป ข้าคิดว่าพวกเจ้ามีการตัดสินใจในใจแล้ว การสละชีวิตของเจ้า เพื่อสิ่งที่เรียกว่าสำนัก
หรือเพื่อที่จะสามารถมีชีวิตอยู่และยอมจำนนต่อเจ้านายที่ยิ่งใหญ่ของข้า ลองคิดดูด้วยตัวเอง และข้าจะพูดอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการทำเพื่อตนเอง และมีชีวิตอยู่ หากไม่…พวกเจ้าจะตายเพื่อสำนักกันทั้งหมด ”
“ แปะแปะ!” ทันทีที่เสียงของมี่หยางลดลง ชายหนุ่มปรบมือและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดด้วยรอยยิ้ม “พูดได้ดี! ข้าจะทำให้เจ้าเป็นราชาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในอนาคต เจ้าจะฟังคำสั่งของข้าเท่านั้น และทำหน้าที่ในตำแหน่งเดียวกันกับคนทั้งสองคน”
และไม่ได้มีสถานะต่ำกว่าพวกเขา แต่เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะอย่างก้าวกระโดดของมี่หยาง ซึ่งทำให้มี่หยางรู้สึกตื่นเต้นมาก ซึ่งทำให้เขามีความต้องการที่จะควบคุมผู้ฝึกตนมากกว่า 50,000 คน
ในหุบเขาเทียนซินภายใต้คำสั่งของเขา ดังนั้นมี่หยางจึงรีบพูดว่า “ตัดสินใจได้แล้ว…ไม่ว่าการฝึกฝนจะเป็นอย่างไร ข้าจะแต่งตั้งห้าคนแรกให้เป็นผู้บัญชาการคนจำนวนหนึ่งหมื่นคน และสั่งการคนจำนวนหนึ่งหมื่นคน”
เสียงของมี่หยางลดลงไม่นาน หลังจากนั้นมีชายคนหนึ่งก็บินออกไปจากฝูงชน ด้วยสีหน้าเป็นกังวล และเสียงสั่นเครือโดยกล่าวว่า: “ข้ายอม
เมื่อเห็นใครบางคนออกมา ดวงตาของมี่หยางก็สว่างขึ้น แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าการฝึกฝนของชายคนนั้น เป็นเพียงขั้นเงินระดับเจ็ด แต่เขาก็ผิดหวังลึกๆ แต่เขาก็ยังคงยิ้มบนใบหน้าของเขาและพูดว่า: “ดีมาก! เจ้าเก่งมาก!
เจ้าจะบัญชาการคนจำนวน 10,000 คน เจ้าชื่ออะไร ”
“ขอบคุณศิษย์พี่! ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณ! ข้าคือ เฟิงหลู” ได้ยินคำพูดของมี่หยาง คนคนนี้ก็ตื่นเต้นทันที คุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว ด้วยความยินดี
“เฟิงหลู ดี! เจ้ามารออยู่ข้างหลังข้า!” มี่หยางพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“รับทราบ นายท่าน เมื่อได้ยินสิ่งที่มี่หยางพูด เฟิงหลูก็พยักหน้าอย่างรีบร้อน จากนั้นเขาก็รีบลุกขึ้นและวิ่งไปข้างหลัง มี่หยาง
เมื่อมีคนแรกก็จะมีคนที่สองตามมา หลังจากนั้นไม่นาน มีคนหนึ่งบินออกจากฝูงชนและยังมีอีกสามคน นอกจากนี้การฝึกฝนของพวกเขาสองคนล้วนเป็นขั้นทอง
ในขณะที่การฝึกฝนของคนที่สามมาถึงขั้นทองขาว แม้ว่าจะเป็นเพียงขั้นทองขาว แต่ไม่นานพวกเขาจะทะลวงขั้นทองขาว
อย่างไรก็ตาม มี่หยางยังคงรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาพูดอย่างรวดเร็วและจัดเตรียมให้ทั้งสามคน คือแบ่งเป็นแม่ทัพดูแลคนอย่างละ 10000 คน
ท้ายที่สุด มี่หยางเพิ่งทะลวงผ่านขั้นทอง ตอนนี้เขามีชายที่แข็งแกร่งมากขึ้นสามคน ทำให้เขามีความสุขมาก เขารู้สึกด้วยซ้ำว่า คนแรกที่ออกมาข้างหน้า และยอมอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของเขา
ทันใดนั้นคนสี่ที่จะยอมจำนนต่อภูตวิญญาณ และพวกเขาทั้งหมดได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ส่วนคนอื่นๆ ต่างรอความตายเพียงอย่างเดียว
ภายใต้เงื่อนไขของการคัดเลือกคนของมี่หยาง เขาไม่ได้เลือกจากใครที่ยอมจำนวนก่อนหลังแต่เขาเลือกจากการฝึกฝนเป็นหลัก ชายหนุ่มที่อยู่ในขั้นทองขาวระดับสี่ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการห้า
และคนที่เหลือล้วนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าและรองหัวหน้าเพื่อควบคุมคน 50,000 คน