ราชาซากศพ - บทที่ 445 พ่ายแ
บทที่ 445
พ่ายแพ้
“ ฉึก!” หลี่ซวินถือหอกไว้ในมือทั้งสองข้าง และแทงเข้าไปที่ร่างของฮงป๋อ ส่วนด้ามหัวของหอกเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ตัวหอกกำลังลุกไหม้ด้วยเพลิงแดงฉานร้อนแรง ราวกับทั้งตัวเรือนของหอกทำมาจากเปลวไฟ
“มันเป็นทักษะการต่อสู้ระดับสูงระดับสาม หอกจูเหยียนความร้อนระอุอันทรงพลังมาก หากถูกแทงเข้าไปภายในร่างกาย ไม่เพียงแต่ร่างกายปรากฏรูใหญ่แต่จะถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟอย่างต่อเนื่อง” ศิษย์ของสำนักตี้เฉิงซ่งคนหนึ่ง เมื่อเห็นทักษะการต่อสู้ของหลี่ซวิน เขาก็ร้องอุทานกับสหายของตน
“ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าศิษย์พี่หลี่ได้ฝึกฝนทักษะการต่อสู้ระดับสามแล้ว ศิษย์ของหุบเขาเทียนซินคนนั้นเกรงว่าจะพ่ายแพ้แน่นอน”
“ใช่! ชาวหุบเขาเทียนซินจงเห็นว่า คนในสำนักตี้เฉิงซ่งของเรา ไม่ได้เคี้ยวได้ง่ายๆ” ศิษย์หลายคนมีสีหน้าตื่นเต้น พวกเขามองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับหลี่ซวิน และส่งเสียงอุทานดังออกมาตลอดเวลา
“ตามที่คาดไว้ คนพวกนี้ถูกฝึกฝนในสำนักเล็ก ย่อมสายตาฝ้าฟาง เป็นเพียงทักษะการต่อสู้ระดับสาม คิดว่าตนเองอยู่ยงคงกระพัน หึ” เมื่อได้ยินการสนทนาของเหล่าศิษย์ของสำนักตี้เฉิงซ่ง ก็มีสายตาเหยียดหยามในสายตาของศิษย์ของหุบเขาเทียนซิน และหนึ่งในนั้นก็พูดด้วยความรังเกียจ
ฮงป๋อที่เผชิญหน้ากับการโจมตีของหลี่ซวิน ก็หยุดชะงัก พร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด เขาถือดาบไว้ในมือทั้งสองข้างและยกมันขึ้นเหนือศีรษะ ขาของเขาแยกออกจากกันพอประมาณ ดาบสีทองขนาดใหญ่ควบแน่นอยู่เบื้องหลังเขา สูงตระหง่านมากกว่าสิบเมตร
“สับ!” ฮงป๋อโบกดาบยาวในทันที และดาบสีทองที่อยู่ข้างหลังเขา ก็ถูกสับไปที่ร่างของหลี่ซวิน
“ช่างเป็นแรงกดดันมหาศาล..อะไรอย่างนี้!” ใบหน้าของ หลี่ซวินพลันเปลี่ยนไปทันที เดิมทีเขาต่อสู้พัวพันอย่างสูสีกับ ฮงป๋อมาก ตราบใดที่เขาก้าวไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็สามารถแทงหอกยาวเข้าไปยังหน้าอกของฮงป๋อได้
อย่างไรก็ตาม หากเขาทำเช่นนั้น ตัวเขาจะถูกดาบใหญ่ฟันลงมา และเขารู้สึกได้ว่าพลังของดาบเล่มใหญ่นั้น ไม่ใช่ธรรมดา ด้วยวิธีนี้แม้ว่าเขาจะทำร้ายฮงป๋อได้อย่างแม่นยำ แต่เขาเองก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือแม้กระทั่งตายภายใต้การโจมตีครั้งนี้ เพียงครู่เดียว หลี่ซวินก็ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย เปลี่ยนทิศทางหลบหนีไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี
เมื่อเห็น หลี่ซวินหลบไปที่ด้านข้าง ฮงป๋อก็ผุดรอยยิ้มที่มุมปากของเขา จากนั้นมือของเขาก็หันดาบใหญ่ลงมายังร่างของหลี่ซวิน
หลี่ซวินที่คิดว่า ตนเองสามารถหนีรอดมาได้ยังไม่ทันได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก กลับรู้สึกถึงแรงกดดัน เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง และหอกยาวในมือของเขาก็ยกขึ้นเพื่อป้องกันร่างกายของตนเอง
“ ตูม!” หอกแทงไปที่ตัวของดาบของฮงป๋อ และเกิดเป็นประกายไฟกระเด็นกระดอนไปรอบตัว จากนั้นหลี่ซวินสามารถต้านทานได้ครู่หนึ่ง ไม่นานนักเขาก็ล้มลงด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่ยังคงมีดาบของฮงป๋อกดทับลงมาที่ร่างของเขา
“โอ้ๆ…”! พลังของดาบนี้อยู่เหนือระดับสามอย่างแน่นอน และระดับต่ำสุดน่าจะเป็นระดับสี่ “ศิษย์ของ สำนักตี้เฉิงซ่ง กล่าวด้วยใบหน้าตกใจ
“พ่ายแพ้ไปซะ!” ด้วยเสียงคำรามของฮงป๋อ พลังในร่างก็เขาพุ่งสูงขึ้น และเพิ่มแรงกดของดาบไปยังร่างของหลี่ซวิน
“เปรี๊ยะ!”เสียงแตกร้าวดังขึ้น ซึ่งต่างดึงดูดความสนใจของทุกคน เมื่อมองจากทิศทางของเสียง กลายเป็นว่าหอกยาวไม่สามารถรับแรงกดได้ และมีรอยแตกปรากฏขึ้นที่ตำแหน่งของหอก
เมื่อเห็นรอยแตกนี้ ใบหน้าของหลี่ซวินก็กลายเป็นสีแดงก่ำ ราวกับจะต้านทานไว้ไม่ไหว
“ ตุ้บ!” ร่างของหลี่ซวินร่วงลงสู่พื้นด้วยความเร็วสูง หอกถูกกระแทกและรอยร้าวค่อยๆปริแตกเพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว
“กึก….เปรี๊ยะ มีรอยแตกบนหอกมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานนัก ทั้งตัวหอกก็ระเบิด หลี่ซวินทำได้เพียงหันหน้าหนีเพื่อหลบเศษของหอกที่แตกร้าวได้เท่านั้น
เขารู้สึกว่ามีใบมีดแหลมคมนับไม่ถ้วนเฉือนเข้าที่บริเวณแก้ม คอและหน้าอกของเขา
ครู่ต่อมาหลี่ซวินลืมตาขึ้น และพบว่าดาบขนาดใหญ่กำลังจ่ออยู่ที่ศีรษะของเขา แต่มันไม่ได้ฟันลงมา เขารู้โดยธรรมชาติว่าอีกฝ่ายมีความเมตตาต่อตนเอง ดังนั้นหลังจากกัดฟันแล้วเขาก็พูดว่า: “ข้ายอมแพ้!”
หลังจากที่หลี่ซวินกล่าวคำสามคำ ดาบขนาดใหญ่บนศีรษะของเขาก็ค่อยๆสลายไป จากนั้นเขาก็หอบหายใจอย่างหนัก
ไม่นานนัก ศิษย์ของสำนักตี้เฉิงซ่งสองคนก็บินออกจากฝูงชน พร้อมเปลหามและพาหลี่ซวินลงไปรักษาตัวทันที
“ใครเป็นคนต่อไป รีบ ๆขึ้นมา” ฮงป๋อมองไปรอบ ๆ และพูดอย่างหยิ่งผยอง
“ข้าเอง!” เสียงดังขานรับออกมา จากนั้นก็มีร่างหนึ่งบินออกมาจากฝูงชนและร่อนลงฝั่งตรงข้ามฮงป๋อ เขาประสานกำปั้น และพูดว่า “จงหมิง ศิษย์หลักของสำนักตี้เฉิงซ่ง!”
“เร็วเข้า! อย่าพร่ำเพ้อ ฮงป๋อโบกมือและพูดอย่างไม่อดทน
“เจ้า…” เมื่อจงหมิงเห็นว่าเขาถูกอีกฝ่ายดูแคลน เขาก็แสดงความโกรธบนใบหน้าของเขาและร้องออกมา”ระวังตัวเถอะ!” ทันทีที่คำพูดนั้น เกราะของจงหมิงก็ห่อหุ้มทั้งตัว เขาถือดาบยาวไว้ในมือ และรีบวิ่งไปหาฮงป๋อ
หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดเพียงไม่กี่นาที ฮงป๋อก็วางดาบของเขาที่คอของจงหมิง และมองขึ้นไปที่หยางเป่ยหลิน เขาพูดด้วยเสียงดัง “ต่อไป!”
“ ข้าเอง … !”ร่างหนึ่งบินออกไป แต่ใช้เวลาไม่นาน แต่มันก็ตกลงบนพื้นอย่างแรงและปากก็กระอักเลือดอยู่ตลอดเวลา
“ต่อไป!”
“ ข้า … !”
“ต่อไป!”
“ข้าจะไป!”
“ต่อไป!”
“ ……”
ฮงป๋อตะโกนอย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายไม่มีใครกล้าออกมา ทันใดนั้นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาและเขาพูดด้วยเสียงดัง: “นอกจากของขยะเหล่านี้แล้ว…มีใครในสำนักตี้เฉิงซ่งอีกหรือไม่?”
เมื่อเผชิญกับเสียงโห่ร้องของฮงป๋อ ศิษย์ทุกคนของสำนักตี้เฉิงซ่งมองไปที่ฮงป๋อด้วยความโกรธ แต่ไม่มีใครกล้าตอบรับ
“ผายลม! หากข้ายังไม่แก่เกินไป ข้าจะขึ้นไปฉีกปากของเขา ศิษย์ของสำนักตี้เฉิงซ่งพูด ด้วยความโกรธพร้อมกับหายใจหนักๆด้วยความโมโห
“น่าผิดหวังจริงๆที่สำนักตี้เฉิงซ่งนั้น กับการต่อสู้ในระดับเดียวกัน ถึงกับกลายเป็นเต่าหดหัว ไม่มีใครกล้าสู้ แต่เดิมข้าจะเข้าร่วมสำนักตี้เฉิงซ่ง ตอนนี้ช่างมันเถอะ!” เสียงดังออกมาจากผู้ฝึกตนที่เข้ามาชมการต่อสู้ และพ่นคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวังต่อสำนักตี้เฉิงซ่ง
หลังจากนั้นอีกเสียงก็พูดว่า “สมควร ด้วยความสามารถของเจ้า ไม่สามารถผ่านการทดสอบของสำนักตี้เฉิงซ่งด้วยซ้ำ ในอนาคตของเจ้า ความแข็งแกร่งอาจจะไม่ดีเท่ากับศิษย์ของสำนักตี้เฉิงซ่งเหล่านั้น! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูด”
“ใครมีความสามารถออกมา! ความสามารถอะไรจะพิลึกกึกกือเพียงใดก็ออกมา แสดงความกล้าหน่อยเถอะ” ชายคนหนึ่งโพล่งออกมา อย่างเหยียมหยามเขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ชม
“ เจ้าต้องการอะไร?” พลังปราณขั้นเงินพุ่งไปยังร่างของชายคนนั้นที่พูดขึ้น
“ข้าผิดไปแล้ว! ปรมาจารย์ใจเย็น ๆ หลังจากรู้สึกถึงช่องว่างของระดับพลังของเขาและพลังปราณขั้นเงิน ใบหน้าของชายคนนั้นก็ซีดเผือดทันที และร้องขอความเมตตาอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักตี้เฉิงซ่ง ซึ่งอยู่กับหลี่ชื่อและ หลิงซานนั้น ใบหน้าของเขาดำราวกับก้นหม้อ เมื่อมองไปที่ หลี่ชื่อและ หลิงซาน เขาก็ไม่พึงพอใจนัก
“ข้าเอง!” เสียงเงียบลงไป ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทำให้สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่มัน ภายใต้การจ้องมองของทุกคน ร่างสีม่วงบินออกมาจากฝูงชน และร่อนลงที่ฝั่งตรงข้ามของฮงป๋อ
นี่คือชายหนุ่มในชุดสีม่วง เขามีรูปร่างท้วม ใบหน้าขาว เขามีลักยิ้มสองข้างที่แก้มทั้งสอง ศีรษะโล่งเตียน ไร้ซึ่งเส้นผม
“ว้าว! เป็นศิษย์พี่หยางหลงเฟย เขาเป็นต้นแบบของข้า
“กล่าวกันว่าศิษย์พี่หยางได้ทะลวงไปถึงขั้นทองแล้ว คราวนี้เราจะได้เห็นว่าเด็กน้อยแห่งหุบเขาเทียนซิน ผู้หยิ่งผยองจะถูกปรามพยศอย่างไร! สอนบทเรียนให้แก่เด็กน้อยในหุบเขาเทียนซินเลย ศิษย์พี่
“ใช่แล้วศิษย์พี่หยาง เรามั่นใจว่าเขาจะพลิกวิกฤตได้”
“ พี่หยางมาแล้ว
“ ……”เมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสีม่วง บรรยากาศรอบตัวเขา ก็พลันอื้ออึง ในบรรดาศิษย์ของสำนักตี้เฉิงซ่ง ส่งเสียงดังกระหึ่ม
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มในชุดสีม่วง ที่ชื่อว่า หยางหลงเฟยมีการฝึกฝนขั้นทอง ระดับสอง หลิงซานก็รู้สึกประหลาดใจ เขาถามหยางเป่ยหลินอย่างรวดเร็ว “ปรมาจารย์หยาง! ข้าคิดว่าเด็กคนนี้ ใบหน้าคล้ายคลึงท่าน ไม่ใช่ญาติโดยตรงของท่านหรือ”
“ใช่ หยางหลงเฟยเป็นบุตรชายคนเดียวของข้า” หยางเป่ยหลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อได้ยินคำพูดของ หยางเป่ยหลิน หลี่ชื่อพยักหน้าและถอนหายใจ: “ข้าเห็นเด็กคนนี้อายุน้อย แต่เขามีการฝึกฝนขั้นทอง บิดาเป็นเสือ ย่อมไม่คลอดลูกสุนัขจริงๆ! ขอแสดงความยินดีกับปรมาจารย์หยาง ที่มีผู้สืบทอดอัจฉริยะ”
“ฮ่าฮ่า! ปรมาจารย์หลี่ยกย่องข้าเกินไป! แม้ว่าพรสวรรค์ของหลงเฟยจะดี แต่มันจะเปรียบเทียบกับความสามารถของหุบเขาเทียนซินได้อย่างไร?” เมื่อเขาได้รับคำชมจากหลี่ชื่อ หยางเป่ยหลินก็หัวเราะสองครั้ง แต่เขาก็เจียมเนื้อเจียมตัวมาก แต่ ใคร ๆ ก็มองเห็นความภาคภูมิใจในหัวใจของเขา
“อืม! เขาด้อยกว่าอัจฉริยะของหุบเขาเทียนซินของเราจริงๆ” สำหรับคำพูดที่เรียบง่ายของหยางเป่ยหลิน ทำให้หลิงซานพยักหน้า
“ เอ่อ … !” เมื่อได้ยินคำพูดที่จริงจังของหลิงซาน รอยยิ้มบนใบหน้าของหยางเป่ยหลินก็หยุดนิ่งที่นั่น มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย ร่องรอยของความโกรธขึ้ง ปรากฏขึ้นในใจของเขา เขาเพียงแสร้งเจียมเนื้อเจียมตัว
แต่เจ้ากลับเอาจริงเอาจัง แม้ว่า หลินซาน จะพูดความจริงต่อหน้าเขา รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักตี้เฉิงซ่งอีกหลายคน แต่เขาเผลอตบหน้าสำนักตี้เฉิงซ่งของพวกเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
อย่างไรก็ตาม หยางเป่ยหลินและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักตี้เฉิงซ่ง แม้จะโกรธ แต่เนื่องจากฐานะของอีกฝ่าย ไม่สามารถโจมตีพวกเขาได้
“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เปลี่ยนคนเถอะ!” หยางหลงเฟยยืนอยู่ตรงหน้าฮงป๋อ กอดหน้าอกของเขาด้วยมือทั้งสองข้าง และพูดด้วยรอยยิ้ม