ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 98 หลังพิธีฉลอง
ตอนที่ 98 หลังพิธีฉลอง
กลุ่มคนหนุ่มสาวล้อมหน้าล้อมหลังเอวา ร้องเพลงพลางเต้นรำจนมาถึงหน้าบ้านของลูเมี่ยน
กิโยมจากบ้านแบรี เดินมาที่ประตูแล้วเริ่มเคาะอย่างแรง
เขาเป็นเพื่อนของลูเมี่ยน แรมงด์ และเอวา ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย บนหน้ามีฝ้ากระชัดเจน ดวงตาสีฟ้าเล็กกว่าคนปกติ คล้ายกำลังหยีตาตลอดเวลา
เสียงประตูเสียดสีดังขึ้น เป็นโอลัวร์ที่โผล่หน้าออกไปต้อนรับ
ผมสีบลอนด์ของเธอมัดรวบสูง สวมชุดกระโปรงยาวสีอ่อนปกตั้งที่มีชายกระโปรงลูกไม้ ดูเป็นทางการพอสมควร ดูมีชีวิตชีวา หน้าตาสดใส ไม่เหมือนกับคนที่ตื่นตัวตลอดทั้งคืน แถมช่วงรุ่งสางก็แทบไม่ได้หลับอย่างเต็มอิ่ม
เอวาสวมมงกุฎทำจากกิ่งไม้และดอกไม้ ก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับร้องเพลง
“ฉันคือนางฟ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ”
“ผู้น่ารักและงดงาม”
“…”
“มาร้องเพลงกันเถอะ มาเต้นรำกันเถอะ”
“มาทำกันเถอะ พืชผลจึงจะอุดมสมบูรณ์…”
โอลัวร์เงียบฟังจนจบ รับใบไม้ที่อีกฝ่ายมอบให้ แล้วส่งไหเซรามิกใบเล็กใส่ไขมันสัตว์ให้เอวา
“อุดมสมบูรณ์! อุดมสมบูรณ์!” กลุ่มคนหนุ่มสาวโห่ร้องอย่างครึกครื้น
เมื่อขบวนแห่นางฟ้าใบไม้ผลิเดินไปยังบ้านหลังอื่น กิโยมจากบ้านแบรีที่จงใจยืนรั้งท้าย หันมาถามกับโอลัวร์
“ลูเมี่ยนอยู่ไหน? สองวันมานี้ไม่เห็นเขาเลย ไม่มาร่วมพิธีฉลองมหาพรตหรือ”
โอลัวร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เขาป่วยจ้ะ”
“ป่วย?” กิโยมทำหน้าค่อนข้างประหลาดใจ “หมอนั่นป่วยได้ด้วยหรือ?”
ในความทรงจำของเขา ลูเมี่ยนมักจะมีพลังชีวิตที่ล้นเหลือ เคยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการเล่นพิเรนทร์หรือหกล้มเท่านั้น
“ถ้าเขาไม่ป่วยเสียบ้าง ฉันกลับจะกลัว” โอลัวร์ตอบติดตลก “มนุษย์ทุกคนก็ป่วยได้”
เมื่อเห็นขบวนแห่นางฟ้าใบไม้ผลิเริ่มเคลื่อนตัวออกไปไกล กิโยมรีบโบกมือลาโอลัวร์
“ฝากบอกลูเมี่ยนด้วยว่า หลังจบเทศกาลมหาพรต ฉันจะมาเยี่ยมเขา!”
โอลัวร์พยักหน้าแผ่วเบา มองดูกิโยมวิ่งไปสมทบกับขบวนแห่ที่อยู่หน้าบ้านหลังถัดไป
“เป็นยังไงบ้าง” ลูเมี่ยนชะโงกหัวมาด้านข้างพี่สาว
โอลัวร์ทำหน้าคิดเล็กน้อยก่อนตอบ
“ตอนนี้ยังดูปกติอยู่ แต่ไม่รู้ว่าหลังพิธีฉลองแล้วจะเป็นยังไง”
เมื่อนึกถึงฉากนองเลือดที่เอวาถูกตัดหัวในช่วงท้ายพิธีฉลอง นึกถึงอารมณ์ของคนหนุ่มสาวที่ถูกกระตุ้นด้วยบรรยากาศแปลกประหลาด จนบ้างก็บ้าคลั่ง บ้างก็ปรบมือส่ง ‘นางฟ้าใบไม้ผลิ’ อย่างชอบใจ บ้างก็แตกสลายทั้งกายและใจ ทรุดลงไปนั่งกับพื้น ลูเมี่ยนรู้สึกว่าคงไม่มีใครรอดไปได้
เขามองไปยังเอวาที่กำลังร้องเพลงหน้าบ้านข้างเคียง มองกิโยมที่กำลังยืนเงียบงันอยู่ด้านหลังเธอ ไม่นานก็ถอนสายตากลับ
ไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์ก็ลงมายังชั้นล่างเช่นกัน ทุกคนมองออกไปนอกหน้าต่าง
“จากนี้คงต้องเพิ่มความระมัดระวังแล้ว” เมื่อขบวนแห่นางฟ้าใบไม้ผลิออกจากละแวก ไรอันกล่าวด้วยเสียงต่ำ
โอลัวร์พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่”
ระหว่างที่พิธีฉลองยังไม่จบ ทุกคนรีบเตรียมรีบกินมื้อกลางวัน จนกระทั่งเติมเต็มความอิ่มท้อง
แต๊ง แต๊ง แต๊ง นาฬิกาแขวนโบราณบนชั้นล่างดังขึ้นบ่งบอกถึงยามเที่ยงตรง
พวกลูเมี่ยนที่เก็บกวาดห้องอาหารเรียบร้อยแล้ว หันมามองตากัน ไม่มีใครสามารถยับยั้งความเครียดที่กำเริบเสิบสานอยู่ภายในใจ
หากเทศกาลมหาพรตผ่านไปอย่างราบรื่น ตอนนี้ก็ควรจะจบลงแล้ว
และถ้าพิธีส่งนางฟ้าใบไม้ผลิจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ เขาก็ไม่ทราบแล้วว่าหมู่บ้านกอร์ตูจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด
เนื่องจากเป็นบ้านกึ่งใต้ดิน ลูเมี่ยนต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ท้องฟ้าสีคราม มีเมฆขาวเคลื่อนคล้อย แสงแดดส่องลงมาอย่างทั่วถึง ปราศจากเมฆดำ หมอก หรือแสงสลัวอย่างที่เคยจินตนาการไว้
ลีอาเดินเวียนวนอยู่ใกล้กับเตา กระดิ่งบนหมวกผ้าคลุมหน้ากับรองเท้าบูตสั่นไม่หยุด ไม่รุนแรงนัก แต่ก็เรียกว่าเบาไม่ได้
เห็นว่าโอลัวร์กำลังมองตน เธอจึงเริ่มอธิบาย
“เราอยู่ในสถานการณ์อันตราย ซ้ำยังจะกินเวลานาน แต่ตอนนี้ยังสามารถรับมือได้”
โอลัวร์ ‘อืม’ หนึ่งคำ ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
ต่างกับไรอันที่ถอนหายใจแผ่วเบา
“ถ้ายังอยู่แค่ระดับนี้จนถึงคืนที่สิบสองก็คงจะดี”
โอลัวร์กะพริบตาถี่ ไม่กล้าพูดกับอัศวินรุ่งอรุณจากจิตแห่งจักรกลไปอย่างเถรตรงว่า ‘อย่าปักธงแบบนั้นสิคะ เพราะมันอาจนำพาผลลัพธ์ตรงกันข้าม’
แม้ลูเมี่ยนจะหนักใจไม่ต่างกัน แต่หน้าตายังยิ้มแย้มอยู่ จึงตอบไรอันกลับไป
“ในเขตดาลีแอช เรามีคำพังเพยว่า ‘โชคร้ายหรือดี ล้วนขึ้นอยู่กับชะตากรรม ทุกสิ่งถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว’ … คิดมากไปก็เท่านั้น เราเปลี่ยนแปลงอนาคตไม่ได้”
สิ่งที่เด็กหนุ่มมิได้พูดออกมาก็คือ
สิ่งเดียวที่เราทำได้ คือการรวบรวมความกล้าเพื่อเผชิญหน้ากับมัน
ในบทสนทนาที่ไม่ต่อเนื่องนี้ คนทั้งห้าคอยระแวงระวังเหตุการณ์ไม่ปกติที่อาจเกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นความแจ่มใสของท้องฟ้า หรือนกทุกตัวที่บินผ่านไปมา ทุกอย่างดูปกติจนพวกเขากลัว
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ทุกคนพร้อมใจกันหันไปทางประตู
มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้
ไม่กี่อึดใจถัดมา กระดิ่งหน้าบ้านของโอลัวร์ก็ถูกดึง สร้างเสียง ‘ติ๊ริงริง’ ก้องกังวานไปทั่วชั้นล่าง
หลังจากมองตากับพี่สาว ลูเมี่ยนเดินไปทางประตูด้วยความไม่ประมาท ส่องตาแมวมองออกไป
บุคคลที่ดึงกระดิ่งประตูเป็นเพศชาย ไม่ใช่ใครนอกจากเพื่อนบ้านของพวกเขา ลูอิส·เบย์เด็ค
“มีอะไรหรือ” ลูเมี่ยนเปิดประตูพร้อมกับถาม ปั้นหน้ายิ้มอย่างเป็นมิตร
ลูอิส·เบย์เด็คมีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำเงิน อายุสี่สิบกว่า ตอนยังหนุ่มเคยได้รับบาดเจ็บขณะเกี่ยวข้าวสาลีในทุ่งนา ทำให้มือซ้ายเหลือเพียงสามนิ้ว
ท่อนบนสวมเสื้อตัวเล็กสีเทาอมฟ้า ท่อนล่างเป็นกางเกงขายาวสีเข้ม
เขาพูดด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ
“เราอยากยืมใช้เตาอบบ้านเธอ วันนี้มีเทศกาลมหาพรต ต้องอบขนมปังสดใหม่ให้เด็กๆ กินสักหน่อย”
เขาพูดไปพลางยกถุงแป้งในมือ ขณะเดียวกันก็เตะถุงถ่านฟืนคุณภาพต่ำตรงข้างเท้า
ลูเมี่ยนลังเลสักหน่อย หันกลับไปมองโอลัวร์
โอลัวร์พยักหน้า บอกเป็นนัยว่าให้ลูอิส·เบย์เด็คเข้ามาได้
เธอเพิ่งจะปรึกษากับพวกไรอันมา แผนคือจะสังเกตการณ์ชาวบ้านที่เข้าร่วมเทศกาลมหาพรต ดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
“แค่มาอบขนมปังหรือ? ฉันนึกว่าพวกคุณจะทำเนื้อรมควันให้ลูกๆ เสียอีก” ลูเมี่ยนเปิดทางพลางแซวลูอิส·เบย์เด็คด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
อีกฝ่ายตอบกลับด้วยท่าทีเกรงใจ
“ถ้าปีนี้ผลผลิตดี ก็น่าจะทำเนื้อรมควันได้ไม่น้อยเลยล่ะ”
แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง คงเชื่อว่าการเก็บเกี่ยวอันอุดมสมบูรณ์จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เข้าไปในบ้านแล้ว ลูอิส·เบย์เด็คทักทายโอลัวร์ก่อนจะเดินไปทางเตาอบ และเริ่มง่วนอยู่กับการอบขนมปัง
ยิ่งดูพฤติกรรม พวกลูเมี่ยนยิ่งพบความไม่ชอบมาพากล
ลูอิส·เบย์เด็คไม่มองไปทางไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์เลยสักครั้ง ทำราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน!
ยังกับคนที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดกำลังแสร้งทำตัวปกติ แต่เมื่อพบเจอกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือความทรงจำเดิม พวกเขาก็จะแสดงความผิดปกติออกมา หรือเลือกที่จะละเลยมันไป
ลูเมี่ยนนึกถึงรองอธิการโบสถ์มิเชล·การีกู
ทีแรกเขายังดูค่อนข้างปกติ แต่พักหลังมานี้กิจวัตรเหลือแค่การกิน การนอน และความกระตือรือร้นที่จะนำสวด ส่วนที่เหลือถูกละเลยไปจนหมด!
ท่ามกลางสายตาของสามคนต่างถิ่น ลูอิส·เบย์เด็คกำลังอบขนมปังด้วยท่าทีดุจดังเครื่องจักรที่ถูกตั้งโปรแกรม มีหันมาคุยกับลูเมี่ยนและโอลัวร์บ้างเป็นครั้งคราว
มันทั้งปกติและไม่ปกติในเวลาเดียวกัน
เมื่อลูอิส·เบย์เด็คกลับไปพร้อมขนมปังที่อบเสร็จ โอลัวร์หันไปมองพวกไรอัน ยิ้มอย่างขมขื่น
“คนที่เข้าร่วมพิธีฉลองมหาพรต คงกลายเป็นแบบนี้กันหมดแล้ว”
“ยังกับกำลังถูกสัตว์ประหลาดเข้ามาแทนที่ทีละนิด” ลีอาถอนหายใจจากก้นบึ้ง
เธอไม่พยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้าอีกต่อไป
ลูเมี่ยนปรับเปลี่ยนท่าทีของตน แล้วไถ่ถามหนึ่งเรื่อง
“กับคนเหล่านี้ ถ้าอยากช่วยพวกเขา เราต้องทำยังไง”
“สิ่งเดียวที่ฉันนึกออกคือการชำระล้าง” วาเลนไทน์ตอบด้วยเสียงถอนหายใจ “แต่ถ้าความผิดปกติฝังรากลึกในตัวตนมนุษย์ ผลลัพธ์อาจเป็นการถูกชำระล้างไปด้วยกัน”
ระหว่างนี้ มีชาวบ้านอีกสองคนเดินผ่านหน้าต่าง
หนึ่งในนั้นคือลูกค้าประจำของร้านเหล้าคร่ำครึ ปิแยร์·กิโยม ผู้เคยขอให้ไรอันเลี้ยงอัปแซ็งต์ในวัฏจักรก่อนหน้า
เขากำลังคุยกับเพื่อน หัวเราะร่วนอย่างมีความสุข คงกำลังถกถึงความคึกคักของพิธีฉลองเทศกาลมหาพรต
เมื่อเดินผ่านประตูบ้านลูเมี่ยน ทั้งสองพร้อมใจกันมองเข้ามาในบ้าน ด้วยสีหน้าที่ดูมืดมนจนผิดวิสัย
มองค้างเพียงหนึ่งวินาทีก็หันกลับ หน้าตาเปลี่ยนไปยิ้มแย้มอีกครั้ง สานต่อจากประเด็นสนทนาเดิม
ถ้ามิใช่เพราะพวกลูเมี่ยนคอยสังเกตการณ์นอกบ้านตลอดเวลาที่มีคนเดินผ่าน ก็คงไม่ทันเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าอันแปลกประหลาดนั่น
ยิ่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังมาจากภายนอก พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกกดดัน
บทสนทนาถูกแทนที่ด้วยความเงียบงัน
จนกระทั่งผ่านไปสักพัก สองชาวบ้านเดินออกไปไกลแล้ว โอลัวร์พูดพลางถอนหายใจ
“นี่มิใช่การถูกสัตว์ประหลาดแทนที่ทีละนิดแล้ว… ฉันสงสัยว่าทั่วทั้งหมู่บ้าน นอกจากพวกเรา ทุกคนอาจเป็นสัตว์ประหลาดที่สวมหน้ากากมนุษย์”
นี่น่ะหรือ ผลจากการที่พิธีฉลองมหาพรตผ่านไปอย่าง ‘ราบรื่น’ ? ลูเมี่ยนพึมพำอย่างไม่อาจห้ามใจ
ทางไรอันก็ตักเตือนอย่างจริงจัง
“ต่อจากนี้ แต่ละวันจะยิ่งยากกว่าเดิม เราต้องอดทนกันไว้”
ตั้งแต่เที่ยงจรดเย็น พวกเขาคอยระแวงว่าชาวบ้านที่เปลี่ยนไปอาจบุกเข้ามาโจมตีบ้าน ทว่า นอกจากเรื่องที่มีคนเดินผ่านไปมาประปราย ด้วยสีหน้าที่หม่นหมองหรือไม่ก็เย็นชา ก็ไม่มีเหตุการณ์แปลกประหลาดใดเกิดขึ้นอีก
สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งทำให้พวกโอลัวร์รู้สึกกดดัน
ไรอันมองไปรอบตัว พูดอย่างอ่อนโยน
“ยังเหลืออีกหลายวันกว่าจะถึงคืนที่สิบสอง อย่าเพิ่งเครียดเกินไปนัก”
“หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ เราจะแบ่งเป็นสองกลุ่มเพื่อสลับกันพักผ่อน ต้องรักษาสภาพจิตใจให้มั่นคงเข้าไว้”
ได้ผู้วิเศษมากประสบการณ์และมากฝีมืออย่างเขาคอยวางแผน ทั้งโอลัวร์กับลูเมี่ยนสามารถข่มใจให้สงบ
เที่ยงคืนของวันเดียวกัน
หลังจากโอลัวร์กับลูเมี่ยนเสร็จเวรของตน ก็เข้าไปปลุกพวกลีอาให้ตื่น แล้วกลับไปยังห้องนอนตัวเอง
ลูเมี่ยนมองไปทางประตู พลางกระซิบกระซาบ
“มาดามลึกลับคนนั้นยังไม่โผล่มาเลย พรุ่งนี้ฉันควรไปหาเธอดีไหม… ที่ร้านเหล้าคร่ำครึ?”
“ในหมู่บ้านตอนนี้ ทุกคนอาจเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว การออกไปข้างนอกถือว่าเสี่ยงมาก” โอลัวร์ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
หญิงสาวครุ่นคิดสักพัก แล้วจึงกล่าว
“อดทนรออีกหน่อย ถ้ามาดามลึกลับยังไม่มาหาภายในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ ตอนบ่ายฉันจะไปร้านเหล้ากับนายเอง”
ลูเมี่ยนอ้ำอึ้งเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผงกหัวยอมรับ
เขาวางแผนว่าพรุ่งนี้เช้าจะคุยกับพี่สาวอีกครั้ง เพื่อปรึกษาว่าจะรบกวนพวกไรอันดีไหม ให้ทั้งห้าคนเคลื่อนไหวพร้อมกัน
…………..
ในห้องนอนที่ปกคลุมด้วยหมอกสีเทาอ่อน ลูเมี่ยนลืมตาขึ้น
เด็กหนุ่มพลิกตัวนั่งบนเตียง ตรวจสอบร่างกายตัวเอง และพบว่าบาดแผลที่เคยรุนแรงหายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
ขณะเตรียมอุทานด้วยความยินดี ก็พลันได้ยินเสียง ‘ติ๊ริงริง’
“มีคนดึงกระดิ่งประตู?” ลูเมี่ยนคิดแบบนี้ตามความเคยชิน และเตรียมจะเดินลงชั้นล่างเพื่อดูว่าใครมา
เพิ่งเดินไปได้ก้าวเดียว เขาก็ตัวแข็งค้างทันที
ที่นี่คือแดนซากปรักหักพังในฝัน!
มีคนมาเยี่ยมได้ยังไง?
……………………………………………………..