ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 95 ซุ่มโจมตีอย่าง ‘ผ่าเผย’
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 95 ซุ่มโจมตีอย่าง ‘ผ่าเผย’
ตอนที่ 95 ซุ่มโจมตีอย่าง ‘ผ่าเผย’
ลูเมี่ยนบรรจงพันมือซ้ายด้วยผ้าพันแผลหลายชั้น จากนั้นก็หยิบสิ่งของจำพวกปรอทเสื่อมทราม ขวานเหล็กดำ น้ำหอมอำพันเทา คุกกี้ ก้อนชีส เนื้อซี่โครงแกะฉ่ำเลือด เชือกสำหรับทำกับดัก ถุงใส่น้ำต้มที่เย็นแล้ว สะพายปืนล่าสัตว์ เดินออกจากบ้านสองชั้นครึ่งรวมใต้ดิน
ท่ามกลางหมอกสีเทาบาง เขาเดินผ่านทุ่งร้างที่ไม่มีหญ้าสักต้น เต็มไปด้วยรอยแตกแขนง เดินเข้าสู่ซากปรักหักพัง มุ่งหน้าไปยังเขตเปิดโล่งที่สัตว์ประหลาดไฟมักเตร็ดเตร่
ได้ยินเสียงจากระยะไกล ลูเมี่ยนเปลี่ยนไปยังเส้นทางที่อีกฝ่ายมักเลือกใช้ จนกระทั่งพบกับดักธรรมชาติที่เขาเคยสังเกตไว้ล่วงหน้า
ลักษณะเป็นหลุมลึกข้างถนน ด้านหน้ากับฝั่งซ้ายมือเป็นกำแพง ฝั่งขวาเป็นกองหิน ด้านหลังเป็นซากบ้านที่พังไปเกือบทั้งหมด
หากแค่เดินตามถนนไปเฉยๆ ก็คงยากที่จะสังเกตเห็นกับดักธรรมชาตินี้ ลูเมี่ยนเองก็เพิ่งจะพบหลังจากสำรวจมาแล้วหลายครั้ง
เด็กหนุ่มย่อตัวลงด้านหลังหลุมลึก โยนแท่งไม้ที่เหลาจนแหลมลงไปจำนวนหนึ่ง คลุมด้วยตาข่ายที่ถักจากเชือก แล้วจึงเอาดินกลบบนผิว
กับดักเรียบง่ายเป็นอันเสร็จสิ้น ขั้นตอนสุดท้ายคือการวางเหยื่อล่อ
ลูเมี่ยนบรรจงวางเนื้อซี่โครงแกะชุ่มเลือดไว้ริมขอบตาข่าย ครึ่งหนึ่งอยู่บนพื้น อีกครึ่งอยู่เหนือปากหลุม
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนพลางจ้องมองสมดุลอันเปราะบางนั่น แล้วจึงก้าวเข้าไปในซากบ้านที่พังไปเกือบทั้งหลัง ปีนขึ้นไปบนส่วนที่ยังเหลือของกำแพง แล้วย่อตัวลง
เขาขยับเปลี่ยนตำแหน่งเล็กน้อย เพื่อให้เห็นกับดักได้ชัดๆ โดยที่ไม่ถูกสัตว์ประหลาดมองเห็นจากถนน
ต่อมา ลูเมี่ยนล้วงหยิบน้ำหอมอำพันเทา โปรยไว้บนกำแพงเล็กน้อย
กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่หวานบริสุทธิ์ลอยฟุ้งทันที แต่สักพักก็ถูกสายลมที่พัดผ่านซากปรักหักพังเป็นระยะ พัดหอบออกไปยังจุดห่างไกล โดยที่ในตำแหน่งเดิมยังหลงเหลือกลิ่นไว้เจือจาง
กลิ่นบางส่วนติดอยู่บนกำแพงและร่างกายลูเมี่ยน
โดยไม่มัวเอ้อระเหย เด็กหนุ่มกระโดดลงไปทางด้านหลังกำแพง
เมื่อเท้าสัมผัสพื้น ในสภาพที่บนตัวยังหลงเหลือกลิ่นน้ำหอม เขาเดินอ้อมเพื่อกลับไปยังเส้นทางที่สัตว์ประหลาดไฟมักจะผ่าน
สำหรับตำแหน่งปัจจุบัน ถือว่าอยู่ใกล้กับเขตที่สัตว์ประหลาดไฟออกไปล่าก้อนเนื้อมากินเติมพลัง มากกว่าตำแหน่งของกับดักเนื้อซี่โครงแกะ
ลูเมี่ยนเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง เดินข้ามถนนเพื่อเข้าไปในซากบ้านฝั่งตรงข้าม
มาถึงด้านหลังของซากอาคารที่ไม่มั่นคง เขาหยุดเดิน เอนหลังพิงกำแพงและรอคอยอย่างใจเย็น
เฉกเช่นกลยุทธ์ที่เคยใช้กับสัตว์ประหลาดปืนล่าสัตว์ ลูเมี่ยนมิได้คาดหวังให้กับดักเนื้อซี่โครงแกะตบตาสัตว์ประหลาดไฟ หรือสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่มัน
กับดักนี้ใกล้เคียงกับ ‘เหยื่อล่อ’ และ ‘เสียงแจ้งเตือน’ มากกว่า เพราะถูกออกแบบโดยคำนึงถึงประสาทการดมกลิ่น ความช่างสังเกต และพฤติกรรมของเหยื่อมาอย่างดี
มีเพียงนักล่าเท่านั้นที่เข้าใจจุดแข็งของนักล่า เพื่อนำมาใช้ต่อสู้กับนักล่า!
แต่แน่นอน เงื่อนไขสำคัญก็คือ เหยื่อต้องเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณเป็นหลัก โดยยังหลงเหลือสติปัญญาเฉพาะด้านการต่อสู้เท่านั้น
ในท่าเอนกายพิงกำแพง ลูเมี่ยนใช้มือซ้ายที่พันด้วยผ้าพันแผลสีขาว หยิบปรอทเสื่อมทรามออกมาถือ แล้วแกะผ้าสีดำที่พันใบมีดออก
เขาไม่แน่ใจว่าอีกนานไหมสัตว์ประหลาดไฟจะมาถึง จึงทำได้เพียงรอคอยอย่างอดทน
และนี่คือจุดแข็งที่เด็กหนุ่มสั่งสมมาตั้งแต่สมัยยังเร่ร่อน
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านพ้นไป ในจุดที่ลูเมี่ยนมองไม่เห็น สัตว์ประหลาดเจ้าของผิวหนังดำเกรียมซึ่งมีเปลวไฟลุกโชน เดินเข้าเขตสู่ถนน
เดินไปได้ราวๆ สิบยี่สิบก้าว จมูกของมันเริ่มฟุดฟิด
มันได้กลิ่นเลือดบางๆ
สัตว์ประหลาดยังไม่หันไปมองในทันที เพียงเดินตรงต่อไปข้างหน้า พลางใช้หางตาเหล่ชำเลืองไปยังทิศทางของกลิ่น
เมื่อผ่านซากกำแพงตรงหน้า ภาพที่มันเห็นคือซี่โครงแกะฉ่ำเลือดสองชิ้น
นี่เป็นอาหารชั้นยอด แต่สัตว์ประหลาดไฟมิได้ปรี่เข้าใส่ตามสัญชาตญาณ
มันยังคงเดินตรงต่อไป เพียงแต่ช้าลง
ผ่านไปสักพัก มันได้กลิ่นที่ต่างจากเดิมในสายลม
สัตว์ประหลาดทราบได้ทันทีว่า เนื้อซี่โครงแกะเป็นกับดัก โดยมีนักล่าดักซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ๆ
นักล่ารายนี้คงเป็นคนละคนกับนักล่าที่เคย ‘ล่องหน’ มาสอดแนมตน เนื่องจากยังขาดความเข้าใจในจุดเด่นของนักล่า ไม่ยอมกลบกลิ่นของตัวเองให้มิดชิด
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว สัตว์ประหลาดไฟอาศัยที่มาของกลิ่นกับรอยเท้าจางๆ บนพื้น ยืนยันว่าศัตรูซ่อนตัวอยู่บนกำแพงของบ้านด้านหลังกับดัก
มันแสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็น เพียงเพิ่มระยะห่างจากไปเดิมอีกราวๆ เจ็ดถึงแปดเมตร
ทันใดนั้น มันหันหลังกลับ เปลวไฟสีแดงลุกโชนบนร่างกาย ก่อนจะควบแน่นกลายเป็นลูกไฟร้อนระอุสีขาวโพลน
บึ้ม!
เมื่อสัตว์ประหลาดไฟเหยียดแขนขวาออก ลูกไฟพุ่งเข้าใส่ ‘จุดซุ่ม’ เก่าของลูเมี่ยน ระเบิดทำลายซากกำแพงพร้อมกับทำให้บ้านสั่นไปทั้งหลัง
ได้ยินเสียงระเบิดจากไกลๆ ลูเมี่ยนรีบออกจากกำแพงบ้านที่ตนกำลังเอนพิง โดยเริ่มเต้นระบำอย่างบิดเบี้ยวบ้าบอในพื้นที่แคบ
สำหรับเด็กหนุ่ม เสียงระเบิดเปรียบดังพลุสัญญาณ ช่วยเตือนให้เขาเตรียมกระตุ้นกับดักที่สอง!
การหลอกล่อให้เหยื่อเป็นฝ่ายส่งสัญญาณด้วยตัวเอง คือกลยุทธ์ที่ลูเมี่ยนกับโอลัวร์คิดขึ้นหลังจากช่วยกันปรึกษาหารือ
ท่ามกลางท่าเต้นพิศวงอันร้อนแรงและเข้าจังหวะ ลูเมี่ยนสัมผัสถึงร่างอันพร่ามัวของสัตว์ประหลาดปาก สัตว์ประหลาดปืนล่าสัตว์ และสัตว์ประหลาดไร้หนัง
ระหว่างนั้น สัตว์ประหลาดไฟเดินมาถึงซากกำแพงที่มันเพิ่งโจมตีใส่ เพื่อค้นหาร่องรอยของศัตรู
หลังจากเต้นต่อไปอีกราวสิบถึงยี่สิบวินาที เมื่อการเต้นกำลังเร่าร้อนได้ที่ ลูเมี่ยนใช้มือขวาชักกริชเงินพิธีกรรม กรีดใส่ข้อมือซ้ายแผ่วเบา
หยดเลือดผลุดออกมา แข็งตัวกลายเป็นลูกปัดจิ๋ว
ลูเมี่ยนก้าวเท้าออกไป หันร่างกายพร้อมกับใช้ปลายกริชช้อนหยดเลือด เล็งไปทางสัตว์ประหลาดปาก
“ข้า!”
เขาตะโกนเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ ด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
ในเวลาเดียวกัน สัตว์ประหลาดไฟค้นพบรอยเท้าจางๆ กับกลิ่นจางๆ จึงเริ่มสะกดรอยตาม
หลังจากรีบตะโกนคำสั่งจนเสร็จ ลูเมี่ยนมองดูสัตว์ประหลาดปากกลืนหยดเลือดจากปลายกริชเงินพิธีกรรม แล้วเข้ามาสิงสู่ร่างกายตน
คลื่นความบ้าคลั่ง กระหายเลือด ป่าเถื่อน และหิวโหยอย่างแรงกล้า แผ่ซ่านไปทุกอณูกายทันที
ลูเมี่ยนฝืนข่มความอึดอัดเหล่านี้ รีบใช้ผ้าพันแผลสีขาวพันรอบบาดแผลเล็กๆ ที่แทบมองไม่เห็นบนข้อมือซ้าย
ทันทีหลังจากนั้น เด็กหนุ่มยัดก้อนชีสเข้าปาก เคี้ยวแล้วกลืน พลางยืนยันว่ากลิ่นน้ำหอมอำพันเทาที่ยังหลงเหลือ สามารถกลบกลิ่นอื่นบนร่างกายได้
ระหว่างนี้ ลูเมี่ยนวิ่งเต็มฝีเท้าไปยังถึงริมถนน แล้วหยุดในจุดที่มองจากอีกฝั่งไม่เห็น
ต่อมา เขาปิดปากให้สนิท เอี้ยวตัวกลับหลัง พลางย่ำลงบน ‘รอยเท้าเก่า’ ของตัวเอง เดินถอยหลังไปตามทางเดิมที่เคยมา
อาศัยทักษะการสังเกตของนักล่า อาศัยความตัวอ่อนของนักเต้น ลูเมี่ยนเดินทับรอยเท้าตัวเองได้สมบูรณ์แบบ ไม่สร้างรอยใหม่เพิ่มแม้แต่หนึ่ง
ไม่นานก็มาถึงกลางถนน จนกระทั่งหยุดเดิน
เด็กหนุ่มยืนแน่นิ่งกลางถนน แต่ยังอยู่ในสถานะล่องหน
ลูเมี่ยนรอคอยอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็คอยเข้าฌานขั้นต้น สลับกับการทำให้หัวสมองโปร่งโล่งอยู่ตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดเรื่องการโจมตีใส่สัตว์ประหลาดไฟ
นี่คือวิธีบ้านๆ สำหรับ ‘ก่อกวน’ ลางสังหรณ์แจ้งอันตรายของเป้าหมาย
เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากการตระหนักรู้ตัวเองอย่างกระจ่างแจ้ง
กลยุทธ์การเดินถอยหลังเหยียบรอยเท้าตัวเองกลับมาที่กลางถนนเพื่อซุ่มโจมตี คือสิ่งที่โอลัวร์เคยเขียนไว้ในนิยาย
ผ่านไปราวๆ เจ็ดแปดวินาที สัตว์ประหลาดไฟที่ร่างกายดำเกรียม เดินเข้ามาในระยะมองเห็นของลูเมี่ยน — อาศัยความยืดหยุ่นอันน่าสะพรึง เด็กหนุ่มสามารถบิดตัวได้ครึ่งรอบเพื่อเฝ้าจับตามองจุดที่คาดว่าอีกฝ่ายจะไล่ตามมา
สัตว์ประหลาดยังคงไฟไล่ตามรอยเท้าจางๆ กลิ่นจางๆ ของศัตรู ที่ยังกล้าไล่เพราะแถวนี้ยังอยู่ในเขต ‘ถิ่น’ ของมัน ส่งผลให้ไม่ถอยกลับไปกลางคันเหมือนทุกที
หลังกลับมายังถนนหลัก มันลองดมกลิ่นดู จนพบกลิ่นจางๆ ตามที่คาดไว้
ก้มหัวลงตามนิสัย มันค้นพบรอยเท้าที่มองเห็นได้ค่อนข้างยาก
และคราวนี้ไม่มีร่องรอยของกับดักอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
โดยไม่มัวรีรอ สัตว์ประหลาดไฟเร่งไล่ล่ารอยเท้า เป้าหมายคืออีกฟากหนึ่งของถนน
เด็กหนุ่มกลั้นหายใจสนิท เลิกเข้าฌานเบื้องต้น เพียงเพ่งสมาธิอยู่กับการทำให้หัวสมองโล่ง
ห้าเมตร สามเมตร หนึ่งเมตร… เขาตัดสินใจกระโจนใส่เป้าหมาย ยกมือซ้ายที่ถือปรอทเสื่อมทรามขึ้นมาจ้วงไปข้างหน้า!
ลูเมี่ยนไม่อยากรอให้ระยะห่างใกล้กว่านี้ เพราะเกรงว่าอาจไปกระตุ้น ‘ลางสังหรณ์อันตราย’ จนอีกฝ่ายหลบได้ทัน
สัตว์ประหลาดไฟเพิ่งจะสัมผัสถึงวิกฤติเมื่อถูกประชิดตัว
โดยไม่มัวคิดมาก มันรีบพุ่งไปด้านข้าง
ในเวลาเดียวกัน ร่างของลูเมี่ยนปรากฏสู่สายตาสัตว์ประหลาดไฟ ฝ่ายหลังเห็นมือซ้ายที่พันด้วยผ้าพันแผล ซ้ำยังถือมีดสั้นสีเงินเข้ม กำลังจ้วงแทงใส่ตน
ระยะกระชั้นชิดเสียจน แม้สัตว์ประหลาดไฟจะตอบสนองด้วยปฏิกิริยา แต่ก็หลบการโจมตีของลูเมี่ยนไม่พ้น
เสียงกรีดเฉือนดังขึ้น คมมีดของปรอทเสื่อมทรามแทงเข้าไปในหน้าอกข้างขวาของศัตรู
ชะตากรรมที่ ‘ปอก’ มาจากมนุษย์บะหมี่ ซึมซ่านเข้าสู่เป้าหมายด้วยรูปลักษณ์ที่คล้ายลูกบอลมายาสีปรอท
ในเวลาเดียวกัน แม่น้ำที่เกิดจากสัญลักษณ์อันซับซ้อนสีปรอทจำนวนมาก ปรากฏขึ้นอย่างเจือจางในบรรยากาศมืดทึบ โดยที่ชะตากรรมบางส่วนหดเข้าหามีดสั้นสีเงินเข้มอย่างรวดเร็ว
ลูเมี่ยนไม่มีเวลาจับจ่ายชะตากรรมที่อยากแลกเปลี่ยน เพียงปล่อยให้ปรอทเสื่อมทรามตัดสินใจเอาเอง
บึ้ม!
เปลวไฟบนร่างสัตว์ประหลาดตอบสนองด้วยการระเบิด
คลื่นกระแทกอันหนักหน่วงผลักลูเมี่ยนกับปรอทเสื่อมทรามกระเด็นไปด้านหลัง สะเก็ดไฟสีแดงเพลิงกระจายติดเสื้อผ้าเด็กหนุ่ม บางส่วนก็แผดเผาใบหน้าของเขา
กัดฟันทนต่อความเจ็บปวดคล้ายถูกไฟลวก ลูเมี่ยนบิดหมุนร่างกายกลางอากาศ พยายามเปลี่ยนทิศทางอย่างสุดโต่ง
เมื่อลงพื้น เขารีบดีดตัวขึ้นมายืน แล้ววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ทว่า เปลวไฟบนเสื้อผ้ายังไม่ดับไป ทำให้ยังไม่อาจกลับสู่สถานะ ‘ล่องหน’
บึ้ม!
แม้ลูเมี่ยนจะวิ่งซิกแซกเป็นตัว ‘S’ แล้ว แต่ก็ยังต้องล้มกลิ้งด้วยอำนาจของคลื่นกระแทกจากลูกไฟ จนแผ่นหลังเจ็บแปลบและเริ่มชา
เด็กหนุ่มฝืนม้วนหน้าแล้วคลานออกจากถนน หลบเข้าไปในซากบ้านที่เคยใช้ซ่อนตัว
สัตว์ประหลาดไฟยังคงไล่ตามอย่างไม่ลดละ ในขณะที่เขายังไม่อาจ ‘ล่องหน’
……………………………………………………..