ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 72 เต้นบวงสรวง
ตอนที่ 72 เต้นบวงสรวง
“ข้าแต่อำนาจแห่งชะตากรรมเอ๋ย!”
ตามคำภาษาเฮอร์มิสโบราณที่ถูกเปล่ง ลูเมี่ยนสัมผัสได้ทันทีว่าแสงในแท่นบูชามืดลงมาก ไฟเทียนสีส้มอ่อนกำลังวูบวาบท่ามกลางสายลมที่มองไม่เห็น จนกระทั่งถูกบีบอัดเหลือเท่าเม็ดพริกไทย
ในเวลาเดียวกัน เด็กหนุ่มพบว่าหน้าอกเริ่มร้อนรุ่ม ศีรษะวิงเวียน หูได้ยินเสียงอื้ออึง คล้ายกับกำลังจะได้ยินเสียงอันน่าพรั่นพรึงที่ดังมาจากตำแหน่งไกลอนันต์ แต่ก็ใกล้ราวกับอยู่ข้างหู
ลูเมี่ยนสงบสติ ทันใดนั้นก็คิดถึงสิ่งหนึ่ง
มลพิษในร่างกายของตน ถูกผนึกไว้โดยเจ้าของสัญลักษณ์สีดำอมเขียว ช่วยให้เวลาที่เข้าฌานอย่างลึกซึ้ง หรือเผชิญหน้ากับการเต้นบวงสรวง สัญลักษณ์หนามก็จะเด่นขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แฝงกลิ่นอายเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ได้เรียกพลังที่สอดคล้องกันออกมา
ถ้าอย่างนั้น… พิธีกรรมที่เรากำลังจะประกอบ สามารถทะลวงผ่านผนึกเพื่อขอ ‘พร’ ได้ด้วยหรือ?
เว้นเสียแต่ว่า เจ้าของรอยประทับสีดำอมเขียวผู้ยิ่งใหญ่รายนั้น จะอนุญาตแล้ว!
ลูเมี่ยนนึกถึงสีหน้าแววตาอันมั่นใจของมาดามลึกลับ จึงเริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง พลางสงสัยว่าบางส่วนของพิธีกรรมนี้ อาจบรรจุ ‘การขออนุญาต’ ท่านผู้ยิ่งใหญ่เอาไว้ด้วย
ส่วนจะเป็นท่อนไหนนั้น เด็กหนุ่มไม่เก่งกาจศาสตร์เร้นลับ ไม่สามารถคาดเดา
อยู่ระหว่างพิธี ลูเมี่ยนไม่กล้าชักช้า เพียงครุ่นคิดในหัวไม่กี่อึดใจ แล้วก็เริ่มท่องคาถาเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“ท่านผู้เป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต”
“ท่านผู้เป็นสาเหตุ เป็นผลลัพธ์ เป็นกระบวนการ”
คำแล้วคำเล่าดังกังวานภายในแท่นบูชาที่ถูกผนึก ไม่ว่าจะเป็นพื้นหรือวัตถุเสริม ต่างก็แสดงออกถึงการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ราวกับบรรดาสิ่งแปลกปลอมจำนวนนับไม่ถ้วน ต้องการแทรกซึมออกไปยังแดนซากปรักหักพังความฝันด้านนอก
วิ้ว!
ลมสีดำอุบัติจากอากาศว่างเปล่า รายล้อมร่างลูเมี่ยนไว้
เปลวไฟเทียนไขที่ถูกบีบอัดจนมีขนาดเท่าเม็ดพริกไทย พลันขยายใหญ่พร้อมกับเปลี่ยนเป็นสีเงินดำ
เป็นอีกครั้งที่ลูเมี่ยนได้ยินเสียงซึ่งผลักตนไปยืนบนขอบเหวความตายหรือไม่ก็คลุ้มคลั่ง แต่ผ่านไปสักพักก็มีหมอกบางๆ ลอยออกจากแท่นบูชา ปกคลุมร่างกายเอาไว้อย่างหนาแน่น
สภาพนี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอยู่ตรงกลางระหว่าง ‘เข้าฌานลึก’ กับการเห็น ‘มนุษย์บะหมี่เต้น’
ยังไม่ถึงกับยืนบนขอบเหวความตาย แต่ก็มิได้สบายกายขนาดนั้น ความรู้สึกคล้ายกับได้ยินเสียงหูแว่วที่ดังขึ้นมาอีกระดับ หน้ามืด คลื่นไส้ และรำคาญใจอยู่หลายส่วน สภาพจิตใจค่อนไปทางสับสนโกลาหล
ฝืนควบคุมตัวเองอย่างยากลำบาก ลูเมี่ยนดำเนินพิธีกรรมต่อ
“ข้าขอวิงวอนต่อท่าน”
“ข้าขอวิงวอนพระกรุณาจากท่าน”
“ข้าขอวิงวอนพลัง ‘นักเต้น’ จากท่าน”
“ทิวลิปเอ๋ย สมุนไพรแห่งชะตากรรม ได้โปรดถ่ายทอดพลังแก่คาถาของข้า!”
“อำพันสีเทาเอ๋ย สมุนไพรแห่งชะตากรรม ได้โปรดถ่ายทอดพลังแก่คาถาของข้า!”
เมื่อพิธีกรรมดำเนินไป เสียงหูแว่วและอาการวิงเวียนมีแต่จะยิ่งรุนแรง ซ้ำยังรู้สึกเหมือนมีหนอนจำนวนมากกำลังชอนไชอยู่ใต้ผิวหนัง
ในท้ายที่สุด เด็กหนุ่มเสร็จสิ้นการท่องคาถา
พร้อมกันนั้น แสงเทียนสีเงินดำพลันควบแน่น แล้วเปลี่ยนเป็นลำแสง ส่องตรงมายังหน้าอกซ้ายของเด็กหนุ่ม
ของเหลวสีเงินดำไหลออกจากหน้าอกซ้ายทันที ห่อหุ้มลูเมี่ยนไว้อย่างสมบูรณ์ เปลี่ยนให้เขาทั้งดูชั่วร้ายและน่าพรั่นพรึง
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนทุกอณูผิวหนังกำลังถูกเข็มทิ่มแทง กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นล้วนฉีกขาดโดยสมบูรณ์ เสียงลึกลับดังชัดเจนยิ่งขึ้น ราวกับดังกังวานอยู่ในหัวโดยตรง
ความเจ็บปวดแสนสาหัสเริ่มรุมเร้าลูเมี่ยน สติพร่ามัวจนแทบจะรักษาไว้ไม่ได้
เส้นเลือดในกายเริ่มร้อนรุ่ม ราวกับถูกแผดเผาจากภายใน
สถานการณ์ตอนนี้ร้ายแรงยิ่งกว่าสภาพใกล้ตายที่เคยเกิดจากการเข้าฌานก่อนหน้า
ลูเมี่ยนทำได้เพียงกัดฟันอดทน พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อควบคุมจิตวิญญาณที่โกลาหล ป้องกันมิให้ตัวเองเสียสติไปอย่างสิ้นเชิง สำหรับเรื่องอื่น เขาไม่ว่างมัวไปสนใจ
ท่ามกลางการโจมตีที่เปรียบดังพายุและคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำ เด็กหนุ่มเข้าสู่ภวังค์ ไม่อาจทราบได้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด
ในท้ายที่สุด ความเจ็บปวดรวดร้าวถึงคราวมลายหาย ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนกับได้ยกของหนักกว่าพันกิโลกรัมออกจากตัว หรือไม่ก็ได้ขึ้นจากก้นสระน้ำ ร่างกายผ่อนคลายถึงขีดสุด
สติสตังฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว ตามองตรงไปข้างหน้า
เปลวไฟเทียนไขกลับสู่สภาพเดิม แต่ยังส่องแสงสีเงินดำ
ทันทีที่ลูเมี่ยนรู้สึกตัว ก็รีบขยับไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อดับเทียนที่แทนตัวเอง ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
จากนั้นก็ดับเทียนที่แทนเทพ
เมื่อจบพิธีกรรมตามขั้นตอนและยกเลิกกำแพงวิญญาณ เด็กหนุ่มพบว่าจิตใจของตนอ่อนเพลียอย่างยิ่ง ร่างกายปวดร้าวอย่างยิ่ง ราวกับเพิ่งไปสู้กับสัตว์ประหลาดมายกใหญ่
ผ่านไปสักพัก โต๊ะอาหารถูกเก็บกวาด ลูเมี่ยนเริ่มสำรวจร่างกายตัวเองและพบว่ามีความรู้จำนวนมากเพิ่มเข้ามาในหัว
แบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ
ส่วนแรกคือวิธีผสมผสานท่าเต้น จังหวะ และพลังวิญญาณของตน เพื่อระดมพลังธรรมชาติรอบๆ สำหรับวิงวอนถึงตัวตนซ่อนเร้นแบบไม่ระบุเป้าหมาย
นี่คือแก่นความรู้ของ ‘นักเต้น’
ด้วยสิ่งนี้ ลูเมี่ยนไม่เพียงสามารถขอพรจากชะตากรรม ในอนาคต เขายังสามารถออกแบบท่าเต้นบวงสรวงใหม่ตามเงื่อนไขและสถานการณ์ เพื่อ ‘เอาอกเอาใจ’ ตัวตนซ่อนเร้นอื่นๆ
สวนที่สองและสามคือ ‘ตัวอย่าง’ ของส่วนแรก
ส่วนที่สองคือสิ่งที่ลูเมี่ยนกำลังต้องการ—ท่าเต้นพิศวงที่มนุษย์บะหมี่แสดงให้เห็น—สิ่งนี้ยังคงติดตราตรึงใจเขาอยู่ จึงทำความเข้าใจได้ในทันที แม้จะยังไม่ชำนาญนักก็ตาม
ด้วยท่าเต้นพิศวง เด็กหนุ่มสามารถกระตุ้นรอยประทับหนามสีดำบนหน้าอกระหว่างที่สำรวจซากปรักหักพังในความฝัน เพื่อข่มขวัญหรือทำให้สัตว์ประหลาดอ่อนแอลง
ส่วนที่สามคืออีกหนึ่งท่าเต้นพิสดาร แตกต่างจากการเต้นเพื่อเซ่นสังเวย ท่านี้คล้ายกับเป็นลูกผสมระหว่างพิธีเซ่นและพิธีอัญเชิญ
เมื่อใช้งาน ลูเมี่ยนสามารถดึงดูดสิ่งรอบข้าง จากนั้นก็จ่ายด้วยเลือด เพื่อให้หนึ่งในพวกมันเข้ามาสิงสู่ร่างกายเขา เพื่อใช้ความสามารถหรือจุดเด่นของมัน
แน่นอน เงื่อนไขคือลูเมี่ยนต้องทนรับการ ‘สิงสู่’ ได้
ทุกสิ่งที่ผูกติดกับมนุษย์จะสร้างผลข้างเคียงด้านลบจำนวนมากเสมอ บางตนก็ไม่อยากออกไปเอง ซึ่งนั่นจะกลายเป็นปัญหา
ด้วยเหตุนี้ ลูเมี่ยนได้ข้อสรุปว่ายังอันตรายเกินไปที่จะลอง เว้นเสียแต่มั่นใจว่าตนจะ ‘อัญเชิญ’ สิ่งใดออกมา และทราบผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นตามมา
เป็นอีกครั้งที่เขาตระหนักว่า ความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับนั้นสำคัญไฉน ลูเมี่ยนอยากจะได้หนังสือ ‘สารานุกรมสัตว์เร้นลับ’ หรือ ‘สารานุกรมสัตว์โลกวิญญาณ’ ไว้ในครอบครอง แต่น่าเสียดาย แม้แต่ ‘จอมเวท’ ที่ถูกกล่าวขานว่าความรู้กว้างขวาง ก็ยังไม่มีปัญญามากขนาดนั้น
ถัดมา ลูเมี่ยนลองขยับตัวแล้วก็พบว่า ร่างกายของเขายืดหยุ่นขึ้นจากเดิมหลายเท่า
ถึงจะยังไม่เท่ามนุษย์บะหมี่—สัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ที่มีอวัยวะผิดเพี้ยน—แต่ก็ยังดีกว่ามนุษย์ธรรมดาเกือบทุกคน ช่วยให้เต้นท่าพิศวงนั่นได้แล้ว
ผัวะ! ลูเมี่ยนถีบขาไปข้างหลัง แล้วสะกิดท้ายทอยตัวเองอย่างง่ายดาย
เด็กหนุ่มผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ แล้วพึมพำกับตัวเองเงียบงัน
“เยี่ยมเลย ตอนนี้เราทำได้หลายอย่างที่เมื่อก่อนทำไม่ได้ ส่งผลให้ขีดความสามารถของนักล่าเพิ่มขึ้นโดยปริยาย”
ลูเมี่ยนพยายามระบำพิศวง เพื่อสร้างความเคยชินให้กับร่างกาย และถือเป็นการฝึกฝนท่าเต้นสำคัญให้ชำนาญ จะได้ย่นระยะเวลาเต้นให้เหลือน้อยที่สุด
บางท่วงท่าดูแข็งแรงคมชัด ราวกับกำลังต่อสู้ บางท่วงท่าก็อ่อนช้อยนุ่มนวล ราวกับกำลังแสดงอารมณ์ แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเข้าจังหวะ
ระหว่างเต้น พลังวิญญาณของลูเมี่ยนแผ่ออกไปรอบข้าง หลอมรวมเข้ากับพลังธรรมชาติจำนวนหนึ่งรอบตัว
ความคิดเด็กหนุ่มค่อยๆ คมชัด จิตใจเริ่มสงบนิ่ง ราวกับเข้าสู่สภาวะโปร่งโล่งอันน่าอัศจรรย์
นั่นช่วยให้เขาตระหนักถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว ราวกับว่ากำลังเปิดเนตรวิญญาณอยู่
ในเวลาเดียวกัน เด็กหนุ่มยังสัมผัสถึงการเชื่อมโยงระหว่างตนกับพลังที่มองไม่เห็นในร่างกาย
หน้าอกร้อนรุ่มอีกครั้ง เสียงอันน่าพรั่นพรึงเริ่มชัดเจน แต่ก็ยังไม่ถึงกับย่ำแย่
ฟู่…ลูเมี่ยนหยุดเต้น แกะกระดุมเสื้อแล้วก้มมองหน้าอกตัวเอง
จิตใจลูเมี่ยนยังคงว้าวุ่นเล็กๆ แต่ก็ไม่หนักหนาสาหัส ตรงตามผลลัพธ์ที่เขาต้องการอย่างแท้จริง
ถัดมา เด็กหนุ่มลองคำนวณระยะเวลาตั้งแต่สัญลักษณ์หนามสีดำเริ่มปรากฏตัว ไปจนถึงเลือนลับ
ใช้เวลาประมาณหนึ่งนาที
หลังจากติดกระดุมเสื้อ ลูเมี่ยนทดสอบอีกหนึ่งท่าเต้นพิสดาร
ท่าเต้นนี้บางครั้งก็ดูบ้าบิ่น ราวกับคนบ้ากำลังแสดง บางครั้งก็บิดเบี้ยวจนยากจะอธิบายด้วยคำพูด
ระหว่างกระโดด พลังวิญญาณของลูเมี่ยนแพร่ซึมไปในอากาศอีกครั้ง เมื่อผนวกเข้ากับพลังธรรมชาติรอบตัว มัน ‘แผ่ขยาย’ ไปได้ไกลกว่าเดิม
ในช่วงท้ายของการเต้น เขาสัมผัสถึงการมาเยือนของบางสิ่งที่ไม่ปกติ
ร่างสามร่างปรากฏขึ้นด้านหลังกระจกหน้าต่างชั้นหนึ่งของตัวบ้าน
ประกอบด้วยสัตว์ประหลาดไร้หนัง สัตว์ประหลาดปืนล่าสัตว์ และสัตว์ประหลาด ‘ปาก’ ที่มีรอยประทับสีดำ แต่ร่างกายพวกมันทั้งพร่าเลือนและโปร่งใส ชัดเจนว่าเหลือเพียงพลังวิญญาณและจิตหมกมุ่น
“ผู้เสียหายมาชุมนุมประท้วงกันหรือไง…” หลังจากค้นพบว่าตน ‘อัญเชิญ’ สิ่งใดออกมา ลูเมี่ยนรำพันติดตลก
ในเวลาแบบนี้ สิ่งที่เขาต้องทำเพิ่มเติมมีเพียงการนำกริชเงินออกมาถือระหว่างเต้น กรีดเข้าไปในผิวหนัง ปล่อยให้เลือดหยดเล็กน้อย หนึ่งในสามร่างบนหน้าต่างจะได้เข้ามาสิงสู่ เพื่อให้เขายืมจุดเด่นหรือความสามารถ
แม้ลูเมี่ยนจะอยากได้ ‘ล่องหน’ จากสัตว์ประหลาดปาก แต่เขาตอบไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากปล่อยให้สัตว์ประหลาดที่ตนฆ่าเข้ามาสิงร่าง จึงทำได้เพียงอดกลั้นความอยาก แล้วก้มหน้าก้มตาระบำพิสดารให้จบๆ ไป
เมื่อมาถึงท่วงท่าเกือบสุดท้าย เขาได้ยินเสียงเล็กๆ เบาๆ ที่อธิบายไม่ได้
มันคล้ายกับมีคนกำลังคุยกันอยู่ แล้วลูเมี่ยนบังเอิญได้ยินผ่านกำแพง ทั้งไม่ชัดเจนและฟังดูมายา
แต่เมื่อลูเมี่ยนลองจำแนกอย่างละเอียด เขาพบว่าเสียงดังกล่าวน่าจะมาจากร่างกายตัวเอง มาจากมลพิษที่ถูกผนึกไว้!
จนกระทั่งเต้นท่าสุดท้ายเสร็จ ลูเมี่ยนยืนนิ่ง ตั้งคำถามกับตัวเอง
“เราได้ยินเสียงอะไรกันนะ…”
ตอนนี้เขายังค่อนข้างโง่ศาสตร์เร้นลับ จึงยังมืดแปดด้านและทำได้เพียงยกธงขาว ยังไงเสีย สิ่งนี้ก็คงมีอันตรายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตัวมลพิษเอง
หลังจากเสียงเล็กๆ เหล่านั้นเลือนหายไป ลูเมี่ยนที่ได้ซ้อมท่าเต้นประหลาดครบทั้งสองท่า ยืนยันได้ว่า ‘นักเต้น’ เองก็มีพัฒนาการด้านพลังวิญญาณ
แม้จะยังไม่ยอดเยี่ยมเท่าลำดับ 9 ที่เชี่ยวชาญพลังวิญญาณ แต่ก็เพียงพอที่จะหลุดพ้นจากความรันทดของนักล่า
จากที่ลองกะเกณฑ์ เขาเชื่อว่าพลังวิญญาณของตนสูงกว่าค่าเฉลี่ยลำดับ 9 เส้นทางอื่นๆ
“จุดอ่อนได้รับการชดเชยแล้ว” ลูเมี่ยนมีความสุขอย่างยิ่ง
โดยไม่มัวตั้งคำถามว่า ร่างกายของตนจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดหลังจากได้รับพลัง ‘นักเต้น’ พร้อมกับเปิดรับมลพิษเข้ามาในร่างกาย
ยังไงก็ยับยั้งไม่ได้อยู่แล้ว จะเก็บมาคิดให้รกสมองทำไม
หลังจากลูบศีรษะที่อ่อนเพลีย ลูเมี่ยนได้ข้อสรุปว่าวันนี้ควรพักผ่อน แล้วจึงกลับโลกความจริงไปดักจับนกฮูกตัวนั้น!
……………………………………………………..