ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 70 สื่อวิญญาณ
ตอนที่ 70 สื่อวิญญาณ
วินาทีที่เห็น ‘หมอตำแย’ หัวใจลูเมี่ยนแทบหยุดเต้น
เธอยังมีชีวิตอยู่?
เขาเห็นเต็มสองตาว่าอีกฝ่ายถูกไรอันฆ่าไปแล้ว และวิญญาณก็ถูกทำลายแล้วด้วย!
ลูเมี่ยนยังจำได้ชัดเจน หมอตำแยแปรเปลี่ยนเป็นเศษเลือดเนื้อกระจัดกระจายเต็มพื้น บางส่วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นังนี่เป็นผี? ไม่สิ เธอยังหายใจ! ลูเมี่ยนนึกถึงบางฉากในนิยายของพี่สาว หัวใจของเขาเปลี่ยนจากสงบนิ่งไปเป็นการเต้นอย่างบ้าคลั่ง
หากมิใช่เพราะหมอตำแยไม่หันมาสนใจ มัวแต่ตัดแต่งกิ่งดอกไม้ เขาคงโหวกเหวกโวยวายไปแล้ว
แกร่ก! แกร่ก! กิ่งก้านเล็กๆ ที่งอกผิดทิศผิดทางร่วงกราวลงพื้น ปลุกลูเมี่ยนที่มัวเหม่อให้ตื่น
เขาก้าวไปข้างหน้าตามจิตใต้สำนึก เดินไปยังจุดที่มีดอกทิวลิปบานสะพรั่ง
หมอตำแยไม่ขวางทาง ไม่แม้แต่จะหันมา
โดยมิอาจหักห้ามใจ ลูเมี่ยนเหล่มองเธออีกครั้ง แต่ก็พบเพียงว่าอีกฝ่ายยังคงจดจ่ออยู่กับงานด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ใบหน้าที่มองเห็นเพียงครึ่งเดียวถูกฉาบด้วยเงาจากดอกไม้และต้นไม้
ไม่กล้าปักหลักอยู่นานนัก ลูเมี่ยนรีบเก็บดอกทิวลิปมาจำนวนหนึ่ง แล้วออกจากปราสาทของเจ้าหน้าที่ปกครอง
หัวใจเด็กหนุ่มยังคงเต้นอย่างบ้าคลั่งแม้จะเดินกลับถึงหมู่บ้านแล้ว
เมื่อใจเย็นลงและพบว่ายังใช้เวลาไปไม่มาก อีกนานกว่าโอลัวร์จะเดินไปกระตุ้นวัฏจักรรอบใหม่ ลูเมี่ยนมุ่งหน้าไปยังบ้านของแรมงด์·เคร็กก์
เป็นบ้านสองชั้นเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับบ้านของลูเมี่ยนและโอลัวร์ บ้านหลังนี้เก่ากว่าอย่างชัดเจน ทรุดโทรมกว่า และแคบกว่า ผนังด้านนอกบ้านเป็นหินสีเทา ปกคลุมด้วยพืชสีเขียวจำนวนมาก
เวลานี้ประตูบ้านตระกูลเคร็กก์กำลังเปิดอ้าซ่า ช่วยให้มองเห็นเตาทางฝั่งซ้าย โต๊ะทางฝั่งขวา และถังไม้ด้านหลัง
ตามความทรงจำของลูเมี่ยน ถังไม้เหล่านั้นถูกใช้เพื่อเก็บของ และยังใช้เป็น ‘ฉากกั้น’ เพื่อสร้างความเป็นสัดเป็นส่วน ด้านหลังถังไม้มีเตียงไม้เรียบง่ายสองหลัง เป็นของแรมงด์กับน้องสาว
ลูเมี่ยนไม่เคาะประตู เพียงทำเหมือนกับทุกครั้ง เดินตรงเข้าไปในบ้านเคร็กก์
น้องสาวกับพี่สาวแรมงด์กำลังช่วยแม่เตรียมอาหารเย็น ส่วนพ่อของแรมงด์ ปิแยร์·เคร็กก์กำลังนั่งข้างโต๊ะไม้ นั่งดื่มไวน์ราคาถูกด้วยใบหน้าอมทุกข์
“ฉันได้ยินว่าแรมงด์หายตัวไป เป็นเรื่องจริงหรือ?” ลูเมี่ยนถามปิแยร์·เคร็กก์เป็นอันดับแรก ด้วยสีหน้าแววตาดูกังวล
ปิแยร์·เคร็กก์ดูแก่ลงกว่าเมื่อก่อนมาก ริ้วรอยบางจุดลึกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เขาเงยหน้า มองลูเมี่ยนด้วยความสับสนปนประหลาดใจ ก่อนจะถาม
“เธอไม่รู้เรื่อง?”
ในเวลานี้ แม่ของแรมงด์ พี่สาวและน้องสาว ล้วนหยุดสิ่งที่ทำแล้วหันมามองลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มเล่าความจริงที่จริงกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
“สองสามวันมานี้ฉันยุ่งมาก ไม่ได้เจอกับแรมงด์เลย”
ปิแยร์·เคร็กก์ได้สอบถามชาวบ้านคนอื่นมาบ้างแล้ว และยืนยันได้ว่าลูเมี่ยนพูดจริง ไม่อย่างนั้น หากเขาสงสัยว่าไอ้เด็กแสบคนนี้ยุยงให้แรมงด์หนีออกจากบ้าน คงบุกไปถึงบ้านโอลัวร์ตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว
“ช่วงบ่ายของสองวันก่อน คงวันเป็นวันที่ 29… แรมงด์ออกไปแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย” ปิแยร์·เคร็กก์กล่าวด้วยสีหน้าหดหู่ “เราตามหาเขาแล้ว ตอนนี้พี่ชายสองคนก็กำลังตามหาอยู่… พอจะนึกออกไหมว่าเขาไปไหนได้บ้าง?”
ลูเมี่ยนคิดสักพักแล้วพูด
“เขาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าไม่อยากเรียนเลี้ยงแกะ แต่ก็มีเงินไม่พอที่จะหนีออกจากบ้านแน่… ขอดูหน่อยได้ไหมว่าเขาทิ้งอะไรไว้บ้าง…”
ขณะกล่าว เด็กหนุ่มเดินไปยังถังไม้ในพื้นที่ด้านในสุดของชั้นล่าง และเดินผ่านช่องว่างแคบๆ ระหว่างถังไม้ จนไปถึงเตียงของแรมงด์
เตียงนอนดูเรียบง่ายอย่างยิ่ง คงทำจากไม้แค่ไม่กี่แผ่น แต่ผ้าปูที่นอนสีฟ้าเทา หมอนอัดฟาง และผ้าห่มที่มีรอยปะ ล้วนสะอาดเอี่ยมอ่อง เห็นได้ชัดว่าถูกซักเป็นประจำ
นี่เป็นเพราะโอลัวร์มักจะรักษาความสะอาด ไม่อนุญาตให้มีเหาหรือสิ่งใดปรากฏอยู่ในบ้านหรือบนร่างกาย ส่งผลให้ลูเมี่ยนติดนิสัยนี้มาด้วย เมื่อเล่นกับเพื่อนที่เล่นด้วยกันบ่อยๆ เด็กหนุ่มจะคอยกำชับให้อีกฝ่ายรักษาสุขอนามัย ตัวจะได้ไม่สกปรกจนถูกเห็บเหาตามรังควานทั้งวัน
หากแรมงด์หรือคนอื่นๆ ขี้เกียจดูแลตัวเอง จนถูกพบว่ามีเหาอีกครั้ง พวกเขาจะถูกแกล้งแรงๆ เช่นผลักลงไปในแม่น้ำ บังคับให้ต้องล้างตัวแม้จะไม่เต็มใจ
หลังจากเป็นผู้ถูกกระทำมาหลายปี แรมงด์ติดนิสัยชอบทำความสะอาดเมื่อกลับถึงบ้านไปโดยปริยาย
“เราไม่พบข้อความอะไรเลย” ปิแยร์·เคร็กก์เดินตามมาด้วยสีหน้าเศร้าสลด
ลูเมี่ยนนั่งลงข้างเตียงแรมงด์ แล้วยื่นมือไปใต้หมอน
ใต้หมอนมีอยู่สองสิ่ง หนึ่งคือปากกาหมึกซึมสีแดงเข้มที่มีรอยแตก กับสมุดจดที่มีคำศัพท์เขียนไว้พอประมาณ
แรมงด์กระหายความรู้ แต่กลับไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือมากนัก
ในยุคของจักรพรรดิโรซายล์มหาราช ทุกหมู่บ้าน รวมถึงกอร์ตูต้องสร้าง ‘โรงเรียนหมู่บ้าน’ ตามหลักสูตรภาคบังคับ ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในสำนักงานของเจ้าหน้าที่ปกครอง — ภายในนั้นยังมีสำนักงานเกณฑ์ทหาร คณะกรรมการตรวจสอบทหารใหม่ และหน่วยงานอื่นๆ แต่กลับมีพนักงานประจำการอยู่แค่ไม่กี่คน
ในช่วงไม่กี่สิบปีหลัง หลายหมู่บ้านไม่มีโรงเรียน แต่ถ้าพื้นที่ใดมีประชากรมากหน่อย ทางโบสถ์ช่วยจะจัด ‘โรงเรียนวันอาทิตย์’ ให้
ในกรณีหมู่บ้านอย่างกอร์ตู จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ที่เคยเรียนมาก่อนเพื่อช่วยสอนเด็กใหม่รุ่นสู่รุ่น จึงยังมีหนุ่มสาวอีกมากที่ไม่รู้หนังสือ
หากลูเมี่ยนอารมณ์ดี เขามักจะหาเรื่องประกาศว่าอยาก ‘ระดมทุนซื้อเหล้า’ ด้วยการขายปากกาหมึกซึมกับสมุดจดเก่าๆ ให้แรมงด์ เอวา และคนอื่นๆ ในราคาถูก พร้อมทั้งสอนคำศัพท์อีกบางคำ
ทุกครั้งที่เรียน แรมงด์จะตั้งใจอย่างมาก เหมือนกับตอนที่ฝึกวิชาต่อสู้รวมถึงตอนที่ขึ้นเขาไปช่วยคนเลี้ยงแกะทำชีสเพื่อหาลำไพ่พิเศษ
เขาพยายามอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตน
ลูเมี่ยนนำปากกากับสมุดจดออกมา จ้องมองพวกมันเป็นเวลานานโดยไม่มีการเคลื่อนไหว
“ฉันถามหลวงพ่อมาแล้ว ท่านบอกว่าสิ่งที่เขียนในสมุดเป็นแค่ศัพท์ง่ายๆ ไม่ได้เรียงกันเป็นประโยค” ปิแยร์·เคร็กก์พูดพลางถอนหายใจ
ลูเมี่ยนเริ่มเปิดดูสมุดจด พบว่าตัวอักษรบนหน้ากระดาษค่อยๆ มีพัฒนาการในแต่ละหน้า จากที่อัปลักษณ์และไม่เป็นระเบียบ ไม่นานก็เริ่มอ่านออก
“ไม่ใช่ข้อความจริงๆ นั่นแหละ” เขาเห็นด้วยกับปิแยร์·เคร็กก์ก่อน แล้วกล่าวต่อ “แต่มันอาจเป็นรหัสลับที่แปลงเป็นประโยคได้เหมือนกัน… พวกคุณเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้บ้างไหม? โอลัวร์เคยเล่าให้เด็กๆ ในหมู่บ้านฟังบ่อยๆ พวกเขาเคยกลับบ้านมาเล่าให้พ่อแม่ฟังหรือเปล่า?”
‘เด็กๆ’ ที่ว่ายังรวมถึงน้องชายและน้องสาวของแรมงด์
“ก็มีเล่าให้ฟังบ้าง” ปิแยร์·เคร็กก์พยักหน้า
ชาวบ้านในหมู่บ้านกอร์ตู ถ้าไม่มีเงินไปร้านเหล้าก็มักจะมารวมตัวกันที่ครัวในตอนกลางคืน เพื่อพูดคุย หัวเราะ และเล่าเรื่อง คนที่ถูกเชิญมาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งแรก จำเป็นต้องนำไวน์มาเซ่นตามธรรมเนียมที่แพร่หลายในอินทิส จะเป็นไวน์ราคาถูกก็ได้
ปิแยร์·เคร็กก์จึงเคยได้ยินเรื่องดังกล่าวจากลูกชายคนเล็กจาก ‘การสังสรรค์ห้องครัว’
ลูเมี่ยนยกสมุดการบ้านขึ้นอย่างผ่าเผยและมั่นใจ
“ฉันจะเอากลับไปให้โอลัวร์ดู เผื่อว่าเธอจะค้นพบอะไรบ้าง”
“ได้” ปิแยร์·เคร็กก์มองว่าไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว
หลังออกจาก ‘ห้อง’ ที่ล้อมรอบด้วยถังไม้ ลูเมี่ยนเดินไปทางประตู ส่วนปิแยร์·เคร็กก์นั่งลงหน้าโต๊ะอาหารอีกครั้ง
เดินไปไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มได้ยินปิแยร์·เคร็กก์ถอนหายใจพลางพึมพำกับตัวเอง
“ถ้าไม่อยากเรียนเลี้ยงแกะก็บอกกันดีๆ สิ ทำไมต้องไปด้วย…”
“อีกไม่นานบ้านเราก็จะรวย ไม่ต้องไปเรียนเลี้ยงแกะแล้วก็ได้…”
รวย? ลูเมี่ยนพลันสะดุ้งเงียบ แล้วหันหลังกลับ แกล้งทำเป็นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พบลู่ทางทำเงินเจ๋งๆ หรือไง?”
ปิแยร์·เคร็กก์มิได้เงยขึ้นมามอง ยังคงก้มหน้า พลางพูดเบาๆ
“ราศีของครอบครัวเรากำลังจะเปลี่ยน โชคชะตากำลังจะเข้าสู่ขาขึ้น…”
นี่มัน… ลูเมี่ยนฟังแล้วรู้สึกขนลุกอยู่บ้าง
“ใครเป็นคนบอกคุณ?” เด็กหนุ่มถามต่ออีกคำ
ปิแยร์·เคร็กก์ไม่ตอบ ยังคงนั่งในท่าเดิม โอดโอยคร่ำครวญอย่างเงียบงัน
…
เมื่อกลับถึงบ้าน ลูเมี่ยนแจ้งข่าวที่ ‘หมอตำแย’ ยังมีชีวิตอยู่ให้พี่สาวทราบทันที
โอลัวร์ขมวดคิ้วสีทองของเธอ
“อาจไม่ใช่คนเป็น”
“หือ?” ลูเมี่ยนตกตะลึงเล็กน้อย
ขณะโอลัวร์กำลังคิด ก็พูดไปด้วยว่า
“ฉันเคยบอกไปแล้วนี่… เส้นทางผู้วิเศษแปลกๆ ของคุณนายปัวริส อาจมีพลังในการควบคุมวิญญาณคนตาย หมอตำแยที่นายเห็นอาจเป็นซอมบี้”
“แต่ฉันไม่ได้เปิดเนตรวิญญาณก็มองเห็นนะ และบนตัวเธอก็ไม่มีรอยเย็บ ตอนนั้นเธอถูกไรอันสับจนเละแล้วจริงๆ” ลูเมี่ยนนึกย้อนกลับไปแล้วพูดตาม “อีกอย่าง ฉันได้ยินเสียงหายใจของเธอด้วย!”
พูดจบ เด็กหนุ่มเว้นวรรคเล็กน้อย
“แต่ว่า… เธอก็ดูเฉื่อยชาจริงๆ นั่นแหละ ท่าทางมืดมน ดวงตาไร้ชีวิตชีวา คล้ายกับ… คล้ายกับนาโรคา! นาโรคาที่ฉันเห็นในช่วงเช้ามืดของวัฏจักรก่อนๆ … นาโรคาที่เดินเข้าไปในโลกอีกฝั่งด้วยตัวเอง!”
นาโรคาผู้มีใบหน้าซีดเซียวและดวงตาเหม่อลอย
แต่แน่นอน หมอตำแยคนนั้นดูใกล้เคียงกับคนเป็นมากกว่า
โอลัวร์พยักหน้าเบาๆ
“สถานะพิเศษสักอย่างที่ใกล้เคียงกับวิญญาณคนตาย…?”
หญิงสาวจนปัญญาจะคาดเดาคำตอบ จึงส่งภาษากายบอกลูเมี่ยนให้เปลี่ยนเรื่อง
เด็กหนุ่มเล่าบรรยากาศในปราสาท รวมถึงคำพูดของพ่อแรมงด์อย่างละเอียด
โอลัวร์เงียบฟังอย่างตั้งใจ แล้วพยักหน้าพร้อมกับพูด
“จากเท่าที่ดู คุณนายปัวริสคงไม่อยากสืบหาความจริงเบื้องหลังความวุ่นวายในปราสาทมากนัก ไม่รู้ว่าเธอกังวลเรื่องอะไรอยู่…”
“นอกจากนั้น การค้นพบของพวกนายยังช่วยยืนยันว่า ความผิดปกติบางส่วนในหมู่บ้านเกี่ยวข้องกับเธอจริง แต่ไม่เกี่ยวกับวัฏจักรเวลา…”
หรือก็คือ ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับคุณนายปัวริส อยู่ในขอบเขตของการเกิด ความตาย วิญญาณ และโลกอีกฝั่ง ไม่ใช่วัฏจักรเวลา
“ฉันก็คิดเหมือนกัน” ลูเมี่ยนรู้สึกแบบนี้มาสักพักแล้ว “คนที่อยู่เบื้องหลังหลวงพ่ออธิการโบสถ์น่ะ ดูแล้วคงไม่ใช่คุณนายปัวริส”
เด็กหนุ่มเชื่อมโยงคำพูดของพ่อแรมงด์กับสมมติฐานของตัวเอง
“หรือจะเป็นคนที่แพร่กระจายคำพูดทำนองว่า การกระทำบางอย่างจะช่วยให้ราศีเปลี่ยนไป โชคลาภจะไหลมาเทมา?”
โอลัวร์ ‘อืม’ หนึ่งคำ
“ไว้ค่อยสืบต่อพรุ่งนี้ เย็นนี้ลองติดต่อวิญญาณแรมงด์ดูก่อน”
…
หลังจากเสร็จมื้อเย็น เมื่อตกดึก โอลัวร์เล็งเห็นว่าถึงเวลาอันเหมาะควร จึงเริ่มจัดแท่นบูชา
คราวนี้ก็ยังเป็นการคงสวดวิงวอนถึงตัวเอง จึงวางเทียนแค่เล่มเดียว แต่เปลี่ยนจากแท่งปกติเป็นเทียนที่หล่อจากบุปผาหลับใหล และวัสดุอื่นๆ
หลังจากจุดเทียนตามลำดับ โอลัวร์ทำพิธีชำระล้างมีดเงิน สร้างกำแพงวิญญาณ จากนั้นก็หยดสารสกัดเกสรดอกไม้ของบุปผาจันทราและวานิลลาราตรีลงบนเปลวไฟสีส้ม จนเกิดควันสีลึกลับฟุ้งกระจาย
เมื่อเห็นว่าการเตรียมเบื้องต้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว โอลัวร์มองไปที่สมุดจดบนแท่นบูชา ถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วพูดด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“ตัวข้า!”
สิ้นเสียงดังกล่าว ดวงตาหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้ม รอบตัวคล้ายกับมีสายลมล่องหนกำลังหมุนวน
“ขออัญเชิญในนามของข้า”
นี่คือท่อนที่สอง แปลเป็นภาษาเฮอร์มิส
เนื่องจากหญิงสาวไม่รู้ว่าวิญญาณของแรมงด์สถิตอยู่ที่ใด จึงไม่อาจสื่อวิญญาณได้โดยตรง ทำได้เพียงลองประกอบพิธีอัญเชิญวิญญาณ และเนื่องจากเธอเป็นผู้วิเศษเถื่อน ย่อมไม่กล้าขอความช่วยเหลือจาก ‘เทพธิดารัตติกาล’ ผู้ปกครองขอบเขตอำนาจนี้ จำใจต้องพึ่งพาตนเองในอัตราความสำเร็จไม่สูงนัก ยกเว้นว่าวิญญาณของแรมงด์จะอยู่ในหมู่บ้านกอร์ตู แถมต้องอยู่ไม่ไกล
โอลัวร์ยังคงร่ายคาถาต่อ
“วิญญาณที่เตร็ดเตร่อยู่ในหมู่บ้านกอร์ตู”
“วิญญาณของเด็กหนุ่มนามว่าแรมงด์·เคร็กก์”
“ผู้เป็นเจ้าของสมุดจดเล่มนี้…”
ไฟเทียนสีส้มแสดพลันวูบวาบ ดูดซับหมอกควันรอบๆ จนขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
แสงเทียนเริ่มกระพือเป็นระลอก ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอ่อน
โอลัวร์เริ่มเหงื่อออกที่หน้าผาก แต่ยังคงดำเนินพิธีต่อไป ถึงขั้นตอนที่ต้องยืมพลังจากวัตถุดิบต่างๆ
ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลม ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือเปลวไฟสีน้ำเงินอ่อน
ในการมองเห็นที่เปิดเนตรวิญญาณของลูเมี่ยน ร่างดังกล่าวมีลักษณะกึ่งโปร่งใส่ เส้นผมและดวงตาสีน้ำตาล หน้าตาธรรมดา
ไม่ใช่ใครนอกจากแรมงด์·เคร็กก์
เขายังอยู่ในหมู่บ้านจริงๆ
ตอนนี้ร่างกายแรมงด์บวมพองจนยากจะทนมอง ผิวกายซีดเซียว หางตามีน้ำตาสีเลือดไหลริน
นี่มัน… โอลัวร์เผยสีหน้าตกตะลึงอย่างไม่เก็บซ่อน
หลังจากเริ่มวัฏจักรใหม่ แรมงด์ไม่ได้จมน้ำตาย แต่แค่ ‘หายตัวไป’ มิใช่หรือ? แล้วทำไมวิญญาณถึงอยู่ในสภาพนี้ล่ะ?
แต่ถ้าไม่ได้จมน้ำตาย เขาจะกลายเป็นวิญญาณได้ยังไง?
มันขัดแย้งกันเอง…
ท่ามกลางความสงสัย โอลัวร์พูดขึ้น
“แรมงด์·เคร็กก์ เจ้าหายตัวไปเพราะเหตุใด?”
สีหน้าของแรมงด์เปลี่ยนไปกะทันหัน ดูน่าขนลุกอย่างยิ่ง ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยเสียงแหลมแตกพร่า
“พวกมันทำให้ฉันจมน้ำ!”
……………………………………………………..