ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 520 จอมเวทปีศาจ
ตอนที่ 520 จอมเวทปีศาจ
ทรีอาร์ เขตหอรำลึก ถนนโอโรเซ บ้านเลขที่ 9 อพาร์ตเมนต์ 702
ฟรังก้าตื่นตามธรรมชาติ ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน ตั้งใจจะแทะโทสต์เล่นสักชิ้น รอกินมื้อใหญ่ตอนเที่ยง
ช่วงนี้ยังไม่มีเบาะแสของ ‘คนกระจก’ เธอจึงใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย
ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณแผ่นดิน ขอบคุณมิสเตอร์ฟูล ดาวหายนะลูเมี่ยนได้ออกจากกรุงทรีอาร์ไปสักที…ฟรังก้าสวดก่อนมื้ออาหารด้วยบทนี้
ขณะเธอกำลังดื่มนม จินนากลับมาจากข้างนอก ชี้ไปบนโต๊ะกาแฟแล้วพูด
“กระต่ายเซียโซส่งจดหมายมาให้เมื่อเช้า มาจากลูเมี่ยน”
“จดหมาย?” ฟรังก้าหรี่ตา ร่างกายที่เคยผ่อนคลายตึงเครียดในบันดล
ต้นตอของโรคบ้าในเมืองดาเดลยังไม่ถูกจับ คราวนี้เกิดอะไรขึ้นอีก?
“เห็นว่าเกิดเรื่องในเมืองหลวงของหมู่เกาะทะเลหมอก เขาอยากสอบถามสถานการณ์ วานเธอช่วยถามพวกพ้องที่ทำงานกับงานการให้หน่อย ฉันเห็นว่าเธอติดต่อกับคนคนนั้นตอนดึก เลยไม่รีบปลุกมาอ่านจดหมาย ยังไงก็ต้องรอให้ถึงตอนค่ำก่อนอยู่ดี” จินนาอธิบายรวบรัด
“เอาใจใส่ดีจัง ถ้าเป็นไอ้บ้าลูเมี่ยนนั่น ต้องมาเคาะประตูปลุกฉันแล้วแน่!” ฟรังก้า ผู้ถูกลูเมี่ยนปลุกให้ตื่นไม่รู้ตั้งกี่หน รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
เธอหัวเราะเบาๆ
“เขาไปถึงท่าเรือฟาริม แล้วท่าเรือฟาริมก็เกิดเรื่อง?”
“แม้ว่าจากที่เล่ามา เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับเขาเท่าไหร่ แต่ว่า…”
พูดถึงตรงนี้ ฟรังก้าทำท่าเอนหลังแล้วกล่าวต่อ
“เป็นเครื่องตรวจจับหายนะทางศาสตร์เร้นลับเดินได้จริงๆ หรือไง?”
เนื่องจากไม่เร่งด่วน เธอจึงตั้งใจจะถาม ‘007’ ในกลุ่มโทรเลขตอนดึก เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้วิเศษทางการประจำกรุงทรีอาร์ ไม่มีทางทราบข่าวด่วนล่าสุดของเมืองหลวงหมู่เกาะทะเลหมอกอยู่แล้ว ถ้าไม่เจาะจงถามก็อาจไม่รับรู้เลยด้วยซ้ำ
ด้วยนิสัยรักการ ‘แชตแบบตอบโต้’ ฟรังก้าวางขวดนมลง เขียนจดหมายตอบลูเมี่ยน ล้อเลียนอย่างสุดความสามารถ
“ถ้าคุณอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ไปสืบเอาเองเลยสิ เป็นถึงเครื่องตรวจจับหายนะทางศาสตร์เร้นลับเดินได้ทั้งที ไม่จำเป็นต้องมีเบาะแส ไม่ต้องมีข่าวกรอง แค่เดินเข้าไปในถนนของเมืองท่าฟาริม เดินเตร่ไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าอาจได้เจอตัวการโดยตรงเลยก็ได้!”
“แล้วก็ ไอ้จดหมายน่ะ ส่งอย่างอื่นนอกจากเรื่องงานมาบ้างสิ เอาแต่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น ต้องการความช่วยเหลือแบบไหน ทำไมไม่ลองแบ่งปันเรื่องสนุกๆ บนทะเลบ้าง เล่าค่าหัวของพวกโจรสลัดบ้าง ไม่ได้หรือ?”
“ฮ่าๆ ตั้งแต่คุณออกจากทรีอาร์ไป มหานครแห่งนี้ก็ลมสงบ คลื่นนิ่ง ฉันได้นอนตื่นสายเสียที เชิญแก้แค้นให้สะใจเลยนะ ไม่ต้องรีบกลับมา ถ้าต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา ให้แจ้งล่วงหน้า…”
จินนาได้แต่ครุ่นคิดขณะมองฟรังก้า ผู้กำลังเขียนจดหมายยาวเกือบสองหน้า
…………
ท่าเรือฟาริม ห้องเฟิร์สคลาสหมายเลข 5 บนเรือ ‘สกุณาโบยบิน’
ลูเมี่ยน ผู้ออกไปข้างนอกไม่ได้ อ่านจดหมายตอบของฟรังก้าจบแล้ว อดหัวเราะเยาะหยันออกมาไม่ได้
คนคนนี้ต้องโดน ‘007’ บ่นมาหนักแค่ไหนกัน? ทุกตัวอักษรล้วนผลักภาระให้เราเป็นต้นเหตุของหายนะทางศาสตร์เร้นลับต่างๆ
พับจดหมายเรียบร้อย ลูเมี่ยนนำมันไปใกล้ปากของลุดวิก
เด็กชายผู้เพิ่งกินของหวานก่อนอาหารเสร็จ เหลือบมองมาแล้วพูดว่า
“ผมไม่ใช่เครื่องทำลายเอกสาร”
“ฉันนึกว่านายกินได้ทุกอย่าง” ลูเมี่ยนตอบอย่างไม่ใส่ใจ จุดไฟเผาจดหมาย มองมันกลายเป็นเถ้าถ่าน ละลายไปกับสายลมทะเลที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง
ไม่นานหลังจากเสร็จมื้อกลางวัน ฟิลิปโปพาทหารในเครื่องแบบสีน้ำเงินปักด้วยด้ายทอง จำนวนสี่นาย มาเคาะประตูห้อง
นายทหารด้านหน้าสุด ถือสำเนาเอกสารยืนยันตัวตนของลูเมี่ยนและคณะ เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างรูปถ่ายขาวดำกับตัวจริง
“พวกเขาเหมือนกับพวกคุณ ทั้งหมดมาจากท่าเรือกัตติ เพิ่งมาถึงเมื่อเย็นวานใช่ไหม?” นายทหารถามฟิลิปโป ผู้ได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่มีปัญหาและเชื่อถือได้
“ใช่ ผมเห็นพวกเขาขึ้นเรือ และระหว่างทางสองวันกว่านี้ ก็ได้พบกันบ่อย” ฟิลิปโปมิได้เปิดโปงว่า เอกสารยืนยันตัวตนของพวกลูเมี่ยนเป็นของปลอม
ในความเป็นจริง ถ้าถูกเปิดโปงว่าใช้เอกสารปลอม ทางเลือกของเขาก็คือ พาลูกาโนกับลุดวิกเทเลพอร์ตหนีไปทันที แทนการก่อเรื่องใหญ่โต ป่าวประกาศอย่างเอิกเกริกให้โลกได้รู้จักนักผจญภัยชื่อหลุยส์·แบรี่
เขาแค่ชื่นชมเกอร์มัน·สแปร์โรว์ และยินดีจะล่าโจรสลัดหากมีโอกาส แต่ไม่ได้ฝันจะเป็นนักผจญภัยตัวจริง
จุดประสงค์การออกทะเลคือ เพื่อแก้แค้น!
หลังจากยืนยันความน่าเชื่อถือของลูเมี่ยนกับอีกสองคน นายทหารก็พาทหารไปห้องถัดไป โดยมีฟิลิปโปเดินตามไป
ลูเมี่ยนสังเกตเห็นว่า การตรวจสอบเรือ ‘สกุณาโบยบิน’ ของพวกเขาไม่ได้ขอไปที แต่ก็ไม่ได้ทุ่มเทมาก เพียงแค่ทำตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติมแม้แต่คำเดียว
คิดดูแล้วก็ปกติ การระเบิดในเขตไข่มุกดำเมื่อคืน รวมถึงการคืนชีพของศพอย่างผิดวิสัย ไม่มีทางเกิดได้ในวันสองวันอยู่แล้ว หรือต่อให้เป็นเพียงอุบัติเหตุ ก็ต้องเป็นอุบัติเหตุที่ถูกบ่มเพาะมานาน ไม่เช่นนั้นคงมิอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง เว้นแต่ว่าผู้ก่อเหตุจะเป็นครึ่งเทพ แต่การหวังให้ตำรวจธรรมดากับทหารสืบหาร่องรอยของครึ่งเทพ ก็คงแทบจะไม่เกิดประโยชน์
เรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับเรือ ‘สกุณาโบยบิน’ ที่เพิ่งมาถึงท่าเรือฟาริมเมื่อคืน แค่ตรวจสอบตัวตนของผู้โดยสารก็เพียงพอแล้ว
แน่นอน ยังอาจเป็นไปได้ว่า เมื่อคืนครึ่งเทพผู้ก่อเหตุถูกทางการโจมตีอย่างหนัก ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนปัญญาจะหนีออกจากท่าเรือฟาริม ในกรณีดังกล่าว การสอบปากคำแบบปูพรมยังคงได้ผลอยู่ แต่ตอนนี้บนเรือ ‘สกุณาโบยบิน’ ไม่มีผู้บาดเจ็บที่น่าสงสัยเลย
การตรวจสอบ ‘สกุณาโบยบิน’ ดำเนินไปเกือบสองชั่วโมง หลังจากนายทหารจำนวนหนึ่ง พาทหารกว่าสามสิบนายลงเรือไปแล้ว ลูเมี่ยนก็ลงมายังดาดฟ้าเรือแล้วถามฟิลิปโป
“สรุปว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฟิลิปโปเหลียวซ้ายแลขวา แล้วกระซิบเสียงเบา
“ผมได้ยินมาจากอดีตเพื่อนร่วมงานว่า พวกเขากำลังตามหาตัว ‘จอมเวทปีศาจ’ บูลแมน”
“บูลแมน?” ลูเมี่ยนไม่ปิดบังความไม่รู้ของตน
เมื่อคืนเขาแค่ดูประกาศจับส่วนหนึ่ง รู้จักราชาท้องทะเลในปัจจุบัน พลเรือโจรสลัด รวมถึงโจรสลัดตัวเป้งอีกสิบกว่าคน แล้วไปดื่มเหล้ากับบาร์ทเนอร์·คอนเต้
“เขาเป็นนักผจญภัยในประกาศจับ” ฟิลิปโปถอนหายใจเล่า “สมัยผมยังไม่ได้ออกจากกองเรือทะเลหมอก เขายังปกติดี เอาแต่ไล่ล่าค่าหัวและขุมทรัพย์ จนได้เจอกับภรรยาชื่อเฮเลน เป็นนักผจญภัยหญิง ต่อมาเกิดอุบัติเหตุ เฮเลนเสียชีวิต บูลแมนจึงกลายเป็นบ้า ปรารถนาเพียงการชุบชีวิตให้ภรรยา ก่อเรื่องไปไม่น้อย มีทั้งการทดลองที่ดีและไม่ดี”
“เขาเคยเป็นผู้นำในการทำลายเมืองที่มีประชากร 300 คนอย่างโหดเหี้ยมไร้ปรานี เพียงเพื่อให้บรรลุเงื่อนไขของพิธีชุบชีวิตบางอย่าง แถมยังจัดงานชุมนุมเหล่าจอมเวทชั่วร้าย หวังจะใช้ชีวิตของผู้อื่น โดยเฉพาะทารกแรกเกิด มาสร้างไสยเวทนองเลือดอันโหดร้าย เพื่อชุบชีวิตเฮเลน… วีรกรรมเหล่านี้ทำให้ค่าหัวของเขาแซงหน้า ‘จอมฉีกกระดูก’ โรเลอร์ไปไกล ปัจจุบันมากถึง 600,000 เฟลคินแล้ว”
เพื่อชุบชีวิตภรรยา ถึงกับยอมกลายเป็น ‘จอมเวทปีศาจ’ ผู้โหดร้ายและเย็นชา? ลูเมี่ยนฟังแล้วก็เศร้าใจ
ถ้าในตอนนั้น ไม่ใช่มาดามเมจิกเชี่ยนที่พบเขา ไม่ใช่มิสเตอร์ฟูลที่มอบความหวังอันริบหรี่ให้ ไม่ใช่ชุมนุมทาโรต์ที่จัดหานักจิตบำบัดผู้เก่งกาจสองคนมาช่วยรักษา เขาจะกลายเป็นเหมือนบูลแมนไหม ถูกเรียกด้วยฉายาที่มีคำว่า ‘ปีศาจ’ นำหน้า?
ยิ่งไปกว่านั้น หากเด็กหนุ่มเดินบนเส้นทางแห่งพรล้วนๆ อัตราการเติบโตก็จะก้าวกระโดดยิ่งกว่านี้อีก อาศัยความช่วยเหลือจากเทอร์มีโพลอส เพียงไม่กี่เดือนก็จะกลายเป็นลำดับ 5 ‘นักล่าชะตากรรม’ จากนั้นก็ทำลายเมืองที่มีประชากร 300 คน สร้างผลงานเพื่อเลื่อนลำดับเป็น ‘คนในวง’
“600,000 เฟลคิน เกือบจะเท่าค่าหัวของนายพลโจรสลัดระดับต่ำสุดอย่าง ‘พลเรือโทคลื่นดำ’ โฮเรล·ซัสเซนแล้ว” ลูเมี่ยนเปรียบเทียบให้เป็นภาพ
‘พลเรือโทคลื่นดำ’ คือโจรสลัดตัวเป้งที่โด่งดังในช่วงไม่กี่ปีหลัง ค่าหัว 700,000 เฟลคิน
ฟิลิปโปเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะพูดต่อ
“บูลแมนอาจไม่ได้อ่อนแอกว่าโฮเรล·ซัสเซน เพียงแต่เขาไม่มีกองเรือ เป็นพวกหมาป่าเดียวดาย แม้บางครั้งจะร่วมมือกับพวกจอมเวทชั่วร้ายก็ตาม…กระทั่งในสภาพแวดล้อมดังกล่าว เขาก็ยังหนีจากการล้อมจับของทางการได้ทุกครั้ง แถมยังแฝงตัวเข้าไปในเมืองที่ติดประกาศจับตัวเองได้ง่ายๆ เลย…”
จากคำอธิบายของฟิลิปโป ลูเมี่ยนพบว่า ‘จอมเวทปีศาจ’ บูลแมนมีพลังหลากหลาย แถมยังชำนาญการปลอมตัว
ก็ดูจะเป็นจุดเด่นของ ‘จอมเวท’ จริงๆ แต่ขณะเดียวกันก็เชี่ยวชาญพลังประเภทปลุกศพด้วย ไม่รู้ว่าเป็นของแถมจากการวิจัยชุบชีวิต หรือว่าลำดับเดิมมีนิยามค่อนข้างขัดแย้งในตัวเองอยู่แล้ว นั่นคือทั้ง ‘เก่งรอบด้าน’ และ ‘เชี่ยวชาญในบางแง่มุม’
…………
การปิดท่าเรือทำให้ ‘สกุณาโบยบิน’ ไม่สามารถออกเดินทางได้ตามกำหนด ต้องติดแหง็กอยู่ในเมืองท่า
สี่โมงเย็น ลูเมี่ยนว่างจนไม่มีอะไรทำ จึงสวมหมวกสานสีเหลืองทองที่เพิ่งซื้อมา ออกจากเรือที่ผู้โดยสารและลูกเรือสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ ย้อนกลับไปในเมืองท่าฟาริมอีกครั้ง
เด็กหนุ่มอยากไปดูสถานที่เกิดระเบิดเมื่อคืน บางที เขาอาจได้พบเบาะแสอะไรเข้า
ดูเหมือนว่าเป้าหมายของแรงระเบิดคือโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งพังถล่มไปกว่าครึ่ง จนเกิดหลุมใหญ่ประหนึ่งปากเหวสู่ใต้ดิน ในซากชิ้นส่วนอาคารเต็มไปด้วยเศษศพกระจัดกระจาย เต็มไปด้วยคราบเลือดสด มีร่างดำเกรียมรูปร่างเหมือนมนุษย์อยู่ประปราย
เนื่องจากทางการได้ยกเลิกคำสั่งห้ามแล้ว จึงมีนักผจญภัยไม่น้อยแวะมาสืบหาเบาะแสเพื่อนำไปแลกค่าตอบแทน ลูเมี่ยนเองก็ปะปนในกลุ่มคนเหล่านี้ คอยสังเกตสิ่งต่างๆ โดยไม่ทำตัวสะดุดตา
“หลุยส์ คุณก็มาด้วยหรือ?” ทันใดนั้น ลูเมี่ยนได้ยินเสียงคุ้นเคย
อีกฝ่ายคือบาร์ทเนอร์·คอนเต้ ผู้สะพายปืนลูกโม่กระบอกใหญ่ กับเรเพียร์เล่มงาม โดยยังคงแต่งหนวดและผมอย่างประณีต แต่งกายหรูหรา
“แน่นอน” ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ “ในฐานะนักผจญภัย จะพลาดงานใหญ่อย่างการไล่ล่า ‘จอมเวทปีศาจ’ ได้ยังไงล่ะ?”
พวกเราส่วนใหญ่ แวะมาแถวนี้เพียงเพื่อสืบหาเบาะแสเล็กๆ แลกเป็นเงินเท่านั้นแหละ…บาร์ทเนอร์พึมพำเงียบงัน
เขาเริ่มมองหาเบาะแสจากร่องรอยการต่อสู้ พลางถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เมื่อคืนคุณเจอพวกศพคืนชีพบ้างไหม?”
“เจอสิ นอกจากน่ากลัวหน่อยๆ ก็ไม่มีอะไรเก่งกาจเป็นพิเศษ” ลูเมี่ยนพูดอย่างโอ้อวด
บาร์ทเนอร์เหลือบมองเขา แล้วพูดพลางหัวเราะ
“เมื่อคืนพอออกจากบาร์แล้ว คุณได้เจออะไรบ้างไหม?”
ลูเมี่ยนตอบผ่านๆ
“เจอขบวนการต้มตุ๋นหยิบมือหนึ่ง เลยได้เงินขวัญถุงติดไม้ติดมือมาด้วย”
เงินขวัญถุงติดไม้ติดมือ…บาร์ทเนอร์ชะงักไปทันที
เขาย้อนนึกถึงพฤติกรรมของหลุยส์·แบรีในบาร์เมื่อคืน รวมถึงคำพูดที่อีกฝ่ายเคยกล่าวไว้
“พวกเขาอาจมองผมเป็นเหยื่อในการรุมกลั่นแกล้งก็ได้”
……………………………………………………..