ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 501 นามอันทรงเกียรติ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 501 นามอันทรงเกียรติ
ตอนที่ 501 นามอันทรงเกียรติ
ไม่มี ‘เมืองแห่งการเนรเทศ’ โมโรลา? ย้อนกลับไปขณะอ่านเอกสารที่ลุดวิก ‘ขโมย’ มา ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนเมืองโมโรลามีชีวิตชีวาอยู่ตรงหน้า เพราะผู้บันทึกได้อธิบายรายละเอียดทุกประเพณี ทุกจุดเด่นของเมืองดังกล่าว ต่อให้ไม่เคยไป ก็สามารถจินตนาการตามได้ว่ามันหน้าตาเป็นเช่นไร
แต่ตอนนี้ มาดามเมจิกเชี่ยนกลับบอกเขาว่า ไม่มี ‘เมืองแห่งการเนรเทศ’ โมโรลาอยู่ในลุนเบิร์ก!
“เราอ่านมันอย่างตั้งใจ ทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดกลัว แต่สุดท้ายกลับมาบอกกันว่า ‘ขอโทษนะ ทั้งหมดนี้เรื่องแต่ง’?” ขณะลูเมี่ยนมองว่าเหลวไหลสิ้นดี สายตาก็หันกลับไปอ่านจดหมายต่อ อยากรู้ว่ามาดามเมจิกเชี่ยนมีข้อสันนิษฐานอย่างไรบ้าง
ผู้ถืออาร์คาน่าใหญ่ใบนี้ กล่าวด้วยลีลาทีเล่นทีจริงเหมือนทุกที
“บางที ผู้บันทึกข้อมูลสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ในเวลานั้น อาจอยู่ในภาวะเสียสติ โดยจินตนาการ ‘เมืองแห่งการเนรเทศ’ โมโรลาขึ้นมาเอง”
“บางที มันอาจเป็นเรือนจำขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในหุบเขา ดูแลโดยผู้คุม หากสิ่งใดผลิตเองไม่ได้ก็นำเข้า โดยไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอก”
“บางที โมโรลาอาจเป็นเพียง ‘เมืองแห่งการเนรเทศ’ ในจินตนาการ แต่ในความหมายบางอย่าง มันก็มีอยู่จริง…”
“อย่าคิดว่าการคาดเดาข้อแรกกับข้อสามฟังดูไร้สาระ เกินจริง หรือไม่มีทางเป็นไปได้ ขอบอกเธอไว้ตรงนี้ว่า ห้ามใช้สามัญสำนึกตัดสินสมบัติปิดผนึกระดับ ‘0’ เด็ดขาด มันมักเต็มไปด้วยเรื่องเหนือความคาดหมายเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ‘0-01’”
“ส่วนตัวแล้ว ฉันชอบการคาดเดาข้อแรกที่สุด มันงดงามอย่างแปลกประหลาดแต่โดนใจ: ผู้ดูแลเสียสติคนหนึ่ง ได้นั่งเทียนเขียนข้อมูลของสมบัติปิดผนึกขึ้นมาเอง โดยเอาแต่พรั่งพรูถ้อยคำเพ้อเจ้อ เปี่ยมไปด้วยจินตนาการ แล้วทำราวกับมันเป็นของจริง แล้วของจริงล่ะ? หายไปไหนแล้ว? ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า?”
อ่านถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนรู้สึกหนาวสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ขนลุกซู่ชูชัน
มาดามเมจิกเชี่ยนได้ยกตัวอย่างถึงความเป็นไปได้อันน่าสะพรึงกลัว ซ้ำยังเขียนด้วยลายมือหวัด ใช้คำอธิบายที่ย่อยง่าย ปิดท้ายด้วยวลีเชิงคำถามติดๆ กัน เพื่อสร้างบรรยากาศเยือกเย็นแกมบ้าคลั่ง ราวกับต้องการกดดันประสาทผู้อ่านถึงขีดสุด หากเผลอคิดตามอย่างละเอียด เกรงว่าอาจได้เสียสติตามไป
“พรรณนาฉากน่ากลัวได้ถึงอารมณ์แบบนี้ ฝีมือดีกว่าพวกนักเขียนนิยายขายดียุคปัจจุบันอีกไม่ใช่หรือไง?” ลูเมี่ยนรำพันแดกดันอาร์คาน่าใหญ่ของตัวเอง
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ พลางสลัดเรื่องของ ‘0-01’ กับ ‘เมืองแห่งการเนรเทศ’ โมโรลาออกจากหัว ไม่ดันทุรังขบคิดอย่างเปล่าประโยชน์
เรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ นับตั้งแต่อ่านเอกสารจวบจนปัจจุบัน ลูเมี่ยนยังไม่ได้นอนสักงีบ ต่อให้สลัดความเหนื่อยล้าได้ทุกหกโมงเช้า แต่บางคราวก็ได้ยินเสียงอันน่าขนลุกที่ยากจะอธิบายดังอยู่ข้างหู ฟังดูเหมือนเสียงเรียกจากใจกลางเทือกเขา
ฟู่…ลูเมี่ยนถอนหายใจ แล้วอ่านจดหมายต่อ
“เอาล่ะ ฉันไม่แกล้งให้เธอกลัวแล้ว สรุปคือ ก่อนจะสัมผัสกับ ‘0-01’ อย่างแท้จริง อย่าเพิ่งปฏิเสธการคาดเดาหรือความเป็นไปได้ใดๆ โดยไม่ไตร่ตรอง”
“เกี่ยวกับอาการหูแว่วที่เธอพูดถึง ฉันตรวจสอบดูแล้ว พบว่ามันคือการปนเปื้อนเล็กๆ จากการอ่านข้อมูลเกี่ยวกับ 0-01 …สมบัติระดับนี้น่ะ แค่ได้รู้จักมัน รู้ชื่อจริงของมัน ไม่ใช่โค้ดเนม ก็อาจทำให้ถูกปนเปื้อนได้ โชคยังดี โชคชะตาของเธอเชื่อมโยงกับเจ้าชื่อยาวนั่น ช่วยให้มี ‘ศักดิ์’ ของเทวทูตในระดับหนึ่ง อีกทั้งในตัวเธอยังมีตราผนึกของมิสเตอร์ฟูล มีออร่าของจักรพรรดิโลหิต รวมถึงอีกหลายสิ่งที่มีศักดิ์สูง จึงแสดงอาการเพียงหูแว่วเล็กน้อย ได้ยินเสียงเรียกนั่น ไม่ถึงกับกลายเป็นคนหลงผิด สุดโต่ง อยากออกไปตามหาสมบัติในเทือกเขา จนกระทั่งหายตัวไปในคืนหนึ่ง”
มาดามเมจิกเชี่ยนยังชอบเล่าเรื่องน่ากลัวไม่เปลี่ยน เนื้อหาแค่ไม่กี่ประโยค กลับสามารถขยายให้เป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับ ‘เรา’ ได้…ลูเมี่ยนรู้จักอาร์คาน่าใหญ่ของตนมาสักพักแล้ว เคยแลกเปลี่ยนจดหมายกันมากมายเสียจน นับด้วยสองมือไม่พอ เด็กหนุ่มจึงเคยชินกับลีลาการเขียน รวมถึงการเลือกใช้คำของเธอเป็นอย่างดี
“ขอเตือนสักหน่อย แม้เธอจะมีศักดิ์ของเทวทูตในระดับหนึ่ง แต่จะไม่ได้รับมลทินประเภท ‘ยิ่งลำดับสูงก็ยิ่งอันตราย’ นี่ถือเป็นอีกหนึ่งความพิเศษของเธอ ช่วยให้เข้าออกดินแดนพิเศษได้หลายแห่ง ดังนั้น บางพวกบางคนจึงหวังใช้ประโยชน์จากจุดนี้ เธอต้องระวัง ห้ามประมาท หมั่นตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ”
“อ้อ ทาง ‘มิสจัสติส’ กับ ‘จัดจ์เมนต์’ ฝากขอบคุณมาด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับ ‘0-01’ รวมถึงพิกัดของฟอม็องดา·เซารอน ช่วยให้พวกเธอบรรลุภารกิจที่มิสเตอร์ฟูลมอบหมายก่อนเสด็จบรรทม มันคือเหตุผลว่าทำไม รางวัลของเธอในคราวนี้ถึงมีมูลค่าค่อนข้างสูง…”
“ข้อสงสัยของเธอมาถูกทางแล้ว หลังจากเราพลาดโอกาสสืบหาตัวจริงในช่วงแรกไป เบาะแสในช่วงหลังของกวีเร่ร่อน นังบ้า และสมาชิกหลักคนอื่นของวันเอพริลฟูล ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นกับดักมากกว่าเบาะแส แต่แน่นอน กับดักก็ให้ข้อมูลได้เช่นกัน ขอเพียงเธอสามารถรับมือกับอันตรายที่รออยู่ ก็ย่อมมีโอกาสกระชากตัวผู้วางกับดักออกมา”
“ถ้า…ฉันขอย้ำว่าถ้า…ถ้าระหว่างการสืบหาแหล่งกบดานของสมาชิกหลักวันเอพริลฟูล เธอได้พบกับผู้วิเศษลำดับสูงในสามเส้นทางนักทำนาย ผู้ฝึกหัด หรือนักโจรกรรม ก็จงท่องนามเต็มของฉัน เพื่อขอความช่วยเหลือจากฉัน”
“ท่องจำให้ขึ้นใจ นี่คือนามเต็มของฉัน มันมาพร้อมกับอำนาจ ‘การรักษาความลับ’ ที่ไม่อาจเปิดเผย”
“นักท่องเที่ยวผู้ร่อนเร่ท่ามกลางหมู่ดาว บริวารแห่งราชันเหลืองดำ จอมเวทผู้บันทึกโลก”
‘ราชันเหลืองดำ’ คืออีกชื่อหนึ่งของมิสเตอร์ฟูล…ร่อนเร่ท่ามกลางหมู่ดาว บันทึกโลก ฟังดูยิ่งใหญ่มาก…หรือเธอคือเทวทูตดาราในพระคัมภีร์จริงๆ? ‘ลูเมี่ยนท่องจำจนขึ้นใจ พลางเห็นนามอันทรงเกียรตินั้นเริ่มจางลง ประหนึ่งถูกความว่างเปล่าลบเลือนและกลืนกิน
มาดามเมจิกเชี่ยนเขียนทิ้งท้ายในจดหมายว่า
“อัศวินดาบ อาร์คาน่าเล็กภายใต้มาดามเฮอร์มิท ออกเดินทางไปยังเฟเนพ็อตเมื่อหลายเดือนก่อนเพื่อทำธุระบางเรื่อง หากเธอต้องการความช่วยเหลือ หรือการสนับสนุนด้านข้อมูล พอไปถึงแล้วก็ติดต่อเขาได้”
“ผู้ส่งสารของเขาคือ”
“สิ่งมีชีวิตประหลาดที่เตร็ดเตร่ท่ามกลางโลกเบื้องบน ครึ่งนางฟ้าผู้ดีดสายพิณ ผู้ส่งสารของอัศวินดาบแต่เพียงผู้เดียว”
ครึ่งนางฟ้า…ลูเมี่ยนนึกได้ว่า ตนเคยเห็นข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์โลกวิญญาณชนิดนี้ผ่านตามาบ้าง แต่ตอนนั้นแค่ดูผ่านๆ เพื่อเลือกคู่สัญญาที่มีพลังเหมาะสม ไม่ได้เจาะจงอ่าน จึงทำให้ยังนึกรายละเอียดไม่ค่อยออก
ขณะเดียวกัน เขาสังเกตเห็นว่า คำอัญเชิญผู้ส่งสารของอัศวินดาบไม่ได้ใช้รูปแบบปกติ คงเพราะกลัวว่าศัตรูจะเดานิยามสามส่วนได้ถูกต้อง แล้วอัญเชิญผู้ส่งสารออกมา เพื่อใช้เป็นเป้าโจมตี
อย่างไรเสีย เมื่อระบุนิยามว่า ‘ผู้ส่งสารของอัศวินดาบแต่เพียงผู้เดียว’ อย่างชัดเจนแล้ว ประโยคที่สองก็ไม่จำเป็นต้องนิยามว่า ‘เป็นมิตรกับมนุษย์’ อีกต่อไป เพราะในเมื่อยอมเป็นผู้ส่งสารของอัศวินดาบ ก็สามารถอนุมานได้ว่าเป็นมิตรกับมนุษย์
ลูเมี่ยนอ่านจดหมายของมาดามเมจิกเชี่ยนอีกครั้งจากต้นจนจบ ด้วยเกรงว่าจะพลาดข้อมูลสำคัญที่แซมระหว่างประโยคทีเล่นทีจริง
ทันใดนั้น ประตูห้องนอนก็ถูกเคาะก๊อกๆๆ
ขณะลูเมี่ยนเงยหน้ามอง ประตูก็เปิดออกพร้อมเสียงเอี๊ยดอ๊าด ลุดวิกชะโงกหน้าตาใสซื่อที่ยังมีแก้มยุ้ยของเด็กเข้ามา แล้วกล่าวตรงประเด็น
“ผมหิวแล้ว ถึงเวลาคุณทำอาหารแล้ว”
“ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้นายกินเค้กกับคุกกี้ไปตั้งเยอะแล้วหรือ?” ลูเมี่ยนพูดพลางขยับมุมปาก
“นั่นของหวาน ไม่ใช่จานหลัก” ลุดวิกพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
จากนั้นก็เลียริมฝีปาก
“อีกอย่าง ฝีมือทำอาหารของคุณถือว่าไม่เลวเลย ทุกเมนูมีเอกลักษณ์ ในเมื่อมีพ่อครัวอยู่ทั้งคน ผมก็ไม่อยากแทะเนื้อวัวดิบ กินขนมปังแข็งๆ หรือมันฝรั่งที่เพิ่งซื้อมา”
เด็กชายคนนี้ เริ่มทำสีหน้าเป็นเว้าวอน
ลูเมี่ยนทำเสียง ‘เฮอะ’
“ทำไมไม่ทำเองล่ะ?”
“ผมต้องพักฟื้นอีกนิดถึงจะทำเองได้” ลุดวิกตอบโดยไม่ทันคิด แล้วรีบเปลี่ยนน้ำเสียง “ผมยังเด็กอยู่เลย ใจคอคุณจะให้ทำอาหารในครัวเองจริงหรือ? ไม่กลัวว่าผมจะโดนมีดบาด หรือไฟลวกบ้างหรือ?”
ถ้าจะให้กลัว ก็คงกลัวเอ็งกินมีดเข้าไปมากกว่า…แล้วอะไรคือ ‘พักฟื้นอีกนิดถึงจะทำได้’? ลำดับถัดไปคือ ‘คนครัว’ หรือไง? พอไม่ใช่คนครัวก็ทำอาหารไม่เป็นเลย? ลูเมี่ยนเห็นลุดวิกยืนพิงกรอบประตู มองมาด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลแฝงความคาดหวัง ทันใดนั้นก็รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อก่อน เขาก็เคยขอร้องโอลัวร์แบบนี้
ลูเมี่ยนถอนหายใจ ลุกขึ้นยืนแล้วพูด
“ฉันจะทำอาหารแค่วันละสามมื้อ ถ้าหิวนอกเวลา นายต้องพึ่งของหวาน ขนมปัง หรืออาหารจานเย็นเอาเอง อย่ามารบกวนฉัน”
เขาพูดพลางเดินออกจากห้องนอน เข้าไปในครัว
ขณะเด็กหนุ่มผูกผ้ากันเปื้อนและง่วนอยู่กับการทำอาหาร ลุดวิกผู้สวมเสื้อคลุมสีคาราเมล ยืนรอหน้าประตูครัวตลอดเวลา พลางเช็ดปากเป็นระยะ
พอทอดสเต๊กเสร็จ ลูเมี่ยนก็หยิบมันขึ้นมา แล้วโยนไปข้างนอกอย่างไม่ใส่ใจ
ลุดวิกรับไว้ได้ด้วยสายตากับมืออันคล่องแคล่ว แล้วฉีกกินลงท้องอย่างมูมมาม
เห็นฉากตรงหน้า ลูเมี่ยนได้แต่หัวเราะเงียบงัน มองว่าเด็กคนนี้พิลึกพิลั่นยิ่งกว่าตนในอดีตเสียอีก
…………
ณ ทรีอาร์ใต้ดิน ในโพรงเหมืองหินแห่งหนึ่ง
ลูเมี่ยนยืนอยู่หน้าแท่นบูชาที่จัดเตรียมเสร็จแล้ว ด้านข้างคือกำแพงวิญญาณที่เพิ่งถูกปลดออก
เด็กหนุ่มเสร็จสิ้นการประกอบพิธีอัญเชิญของ ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ แล้ว ได้รับพลังสัญญาใหม่สองชนิด โดยกำลังรอให้พวกฟรังก้ามาถึง เพื่อดูว่าวันนี้จะมีคนได้ครอบครอง ‘ผู้ส่งสาร’ หรือไม่
หนึ่งในสองพลังคือ ‘การแปรเงา’ ช่วยให้ลูเมี่ยนจำแลงกายเป็น ‘เงา’ ได้อย่างแท้จริง กลายเป็นส่วนหนึ่งของเงาในสภาพแวดล้อม เพื่อซ่อนตัวหรือลอบเร้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เขายังขาดอยู่
ความสามารถในทำนองเดียวกัน ก็แฝงมากับความรู้ศาสตร์เร้นลับจากผู้ถือพันธสัญญาด้วยเช่นกัน แต่ลูเมี่ยนยังคงยืนกรานว่าจะเลือกจากข้อมูลสัตว์โลกวิญญาณฉบับมาดามเมจิกเชี่ยน เพื่อมิให้เหล่าผู้รับพรแห่งชะตากรรม สามารถคาดเดาได้ว่าผลข้างเคียงเชิงลบของตนคืออะไร
ลงเอยด้วย เพื่อแลกกับความสามารถนี้ ลูเมี่ยนเลือกทำสัญญากับสัตว์โลกวิญญาณนามว่า ‘เงาประหลาดผอมสูง’ โดยสังเวยเลือดสดและเนื้อสดของวัวกับแกะ ปริมาณเทียบเท่ามนุษย์หกคน ผลข้างเคียงเชิงลบคือการ ‘กลัวแดด’ มากกว่าคนปกติ
อาการนี้ยังไม่เลวร้ายเท่าแวมไพร์กลัวแดด ลูเมี่ยนสามารถทนได้สบายๆ ด้วยคุณสมบัติความอดทนของนักพรต
พลังอีกหนึ่งชนิดคือ ‘ขวดเสกสรร’ เด็กหนุ่มคิดมาตลอดว่า พลังชนิดนี้ของหลวงพ่อ ทั้งแปลกใหม่และใช้งานได้จริง เหมาะแก่การคัดกรองศัตรู หรือสร้างมิติลับเพื่อกักขังมิให้เหยื่อหนี ทางออกเดียวคือ ‘ปากขวด’ แต่ก็สามารถวางกับดักไว้ได้
สำหรับพลังชนิดนี้ ไม่มีสัตว์โลกวิญญาณตัวใดที่ลูเมี่ยนรู้จักสามารถมอบให้ได้ จึงจำใจต้องอัญเชิญสิ่งมีชีวิตชื่อ ‘ใบหน้าเพ้อฝัน’ ออกมา แล้วทำสัญญาด้วยเลือดสดอุดมไปด้วยพลังวิญญาณหนึ่งขวด
เลือดเหล่านี้ต้องมาจากผู้วิเศษลำดับ 7 ขึ้นไป หรือสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่เทียบเท่า แน่นอน ลูเมี่ยนไม่ได้ใช้เลือดตัวเอง เพราะการสังเวยเลือดให้กับ ‘ใบหน้าเพ้อฝัน’ อาจทำให้ตนค่อยๆ กลายเป็นสัตว์ประหลาด ดังนั้น เขาจึงใช้เลือดที่มาดามเมจิกเชี่ยนช่วยสกัดจากศพของการ์ดเนอร์·มาร์ติน — มันคือหนึ่งในวัตถุดิบเสริมของโอสถ ‘ยมทูต’ อยู่แล้ว ปริมาณจึงเพียงพอและเหลือเฟือ
ผลข้างเคียงเชิงลบคือ ตัวเขาจะโลภกว่าเดิมเล็กน้อย
ถัดมาไม่นาน ฟรังก้า จินนา และอ็องโตนี ก็ทยอยมาถึงโพรงเหมืองหินแห่งนี้
……………………………………………………..