ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 500 เมืองที่ ‘ไม่มีอยู่จริง’
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 500 เมืองที่ ‘ไม่มีอยู่จริง’
ตอนที่ 500 เมืองที่ ‘ไม่มีอยู่จริง’
…………….
บุตรของ ‘นางมารต้นกำเนิด’ จำเป็นต้องเป็นสตรีโดยกำเนิด? จินนานึกถึงชื่อลำดับ ‘แม่มด’ แล้วเริ่มเข้าใจคลับคล้ายคลับคลาว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
บุตรของเทพ แม้แต่เมื่อแรกเกิด ไม่มีทางเป็นคนธรรมดา หรืออย่างน้อยก็ต้องลำดับ 9 ลำดับ 8 สินะ?
“ได้ค่ะ” จินนาตอบรับ
งานแรกในการเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ ไม่ต้องแยกจากพวกพ้องไปผจญภัยตามลำพัง ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นหลายเปลาะ
มาดามจัดจ์เมนต์ยิ้มตอบ
“ตอนนี้ฉันจะเล่าสถานการณ์ของชุมนุมทาโรต์เราให้ฟังคร่าวๆ …”
…………
หลังจากอ็องโตนี·รีดออกจากอพาร์ตเมนต์ 601 บ้านเลขที่ 3 ถนนเสื้อนอกขาวแล้ว เขารู้สึกง่วงนอนเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน
ในฐานะ ‘นักจิตบำบัด’ สมรรถภาพทางกายของเขาไม่ได้ถูกยกระดับขึ้นมากนัก เมื่อคืนไม่เพียงต้องอดนอนจนถึงรุ่งเช้า ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน แต่ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส รอดชีวิตมาได้ด้วยลูกธนูหินดำสูบเลือดนั่น แต่ก็ทำให้เสียเลือดไปมาก จนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง หลังจากนั้นยังต้องวิ่งหนีอุตลุด ต่อสู้อย่างดุเดือด ซึ่งสูบพลังงานไปมหาศาล ตอนนี้จึงเหนื่อยล้าไปทั้งร่าง อยากจะหาเตียงนอนทันที
ในเวลาแบบนี้ เขาอิจฉา ‘นักล่า’ อย่างมาก ลำดับของลูเมี่ยนสูงกว่าตนเพียงหนึ่งขั้น ยังไม่ได้นอนจนถึงปัจจุบันเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นแกนหลักในการต่อสู้สองครั้ง แต่กลับไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าเลย ยังดูกระปรี้กระเปร่าราวกับสามารถฆ่าการ์ดเนอร์·มาร์ตินได้อีกสักคน
อ็องโตนี·รีดฝืนตัวเอง เดินไปทางถนนอลเวง เข้าไปในตึกสีน้ำตาลเทา มาถึงมุมหนึ่งบนชั้น 3
นี่คือบ้านลับของเขา อพาร์ตเมนต์ที่ถูกทิ้งร้างมานาน
เขามองว่าการเช่าห้องจากเจ้าของบ้าน หรือนายหน้า เพื่อใช้เป็นบ้านลับนั้นไม่ถือว่าปลอดภัย แค่ต้องติดต่อกับผู้คน ก็เสี่ยงต่อการถูกทรยศหรือถูกสืบหาแล้ว จึงอาศัยตัวตนของนักค้าข่าว ค้นหาอพาร์ตเมนต์หลายแห่งในเขตตลาดที่ถูกทิ้งร้าง หรือถูกทอดทิ้ง ด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป หากเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากล ก็จะสุ่มซ่อนตัวในสักห้อง โดยไม่ติดต่อกับใครเลย
อ็องโตนีไม่รังเกียจเตียงนอนเขรอะฝุ่น รวมถึงผ้าห่มขึ้นรา เพียงทิ้งตัวลงนอนแล้วผล็อยหลับทันที
ในความฝันอันพร่าเลือนและโกลาหล เขาพลันได้สติ กลับมามีความรู้สึกตัวในระดับหนึ่ง
ตามสัญชาตญาณแปลกประหลาดที่บังเกิดภายในใจ อ็องโตนี·รีดเดินผ่านสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ที่นั่งอยู่หน้าประตูร้านกาแฟ มาถึงบูธ D ใกล้หน้าต่าง
ที่นั่นมีสุภาพสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่ สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อนตัดกับสีขาว อ็องโตนีรู้สึกว่า ตนควรจะเห็นใบหน้าของเธอได้ชัดเจน แม้กระทั่งเกิดความประทับใจในความงดงาม แต่กลับไม่สามารถสร้างภาพจำชัดเจนภายในความคิดได้เลย
ราวกับว่า เขารวบรวมข้อมูลทั้งหมดได้แล้ว แต่สมองหรือ ‘กายปัญญา’ กลับไม่สามารถประมวลผล
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฉันคือ ‘จัสติส’” สุภาพสตรีผู้นั้นแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แฝงความร่าเริงไว้เล็กน้อย
จัสติส…อ็องโตนีได้ฟังลูเมี่ยนกับฟรังก้าเกริ่นแล้วว่า องค์กรลับของทั้งสองมีชื่อว่า ‘ชุมนุมทาโรต์’ สมาชิกใช้ไพ่ทาโรต์ใบต่างๆ เป็นโค้ดเนม จากบรรดาทั้งหมด อาร์คาน่าใหญ่แทนสมาชิกหลัก แต่ละคนเป็นครึ่งเทพ ส่วนอาร์คาน่าเล็กเป็นสมาชิกวงนอก สังกัดอาร์คาน่าใหญ่แต่ละคน
และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ‘จัสติส’ คือหนึ่งในอาร์คาน่าใหญ่
“คุณจะมาเป็นอาร์คาน่าใหญ่ของผมสินะครับ” อ็องโตนีนั่งลงฝั่งตรงข้าม พลางถามด้วยความเคารพ
‘จัสติส’ ยิ้มอ่อนๆ
“คุณจะเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ได้นะ โชคชะตามิใช่สิ่งที่เปลี่ยนกันไม่ได้”
“แน่นอน บางสิ่งบางอย่างอาจไม่คิดเช่นนั้น”
อาร์คาน่าใหญ่ฝั่งตรงข้ามแสดงท่าทีเป็นมิตรเพียงพอ ไม่พยายามกดดันแต่อย่างใด ถึงขนาดเป็นฝ่ายพูดจาติดตลก ช่วยให้จิตใจอันตึงเครียดของอ็องโตนี ผ่อนคลายลงไม่เบา
เขาถอนหายใจแผ่วเบา มอบคำตอบ
“ผมพร้อมจั่วไพ่แล้ว”
เมื่อพูดจบ สำรับไพ่ทาโรต์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ตามความเคยชิน อ็องโตนีเลือกไพ่หนึ่งใบจากตำแหน่งกลาง เปิดมันแล้ววางลงบนโต๊ะ
หน้าไพ่อาร์คาน่าเล็กของเขาคือ
ชายคนหนึ่งถือดาบ นั่งอยู่ใต้ดาบสามเล่มที่แขวนอยู่
“ภาระในใจคุณได้รับการปลดเปลื้องแล้ว การพักผ่อนและการสั่งสมในปัจจุบัน เป็นไปเพื่อการเดินทางไกลในอนาคต ในฐานะ ‘นักจิตบำบัด’ ไพ่ใบนี้ยังบอกกับคุณว่า ต้องใส่ใจจิตใจของตัวเองอยู่เสมอ เราอาจแบกรับภาระใหม่ได้ตลอดเวลา ต้องเข้าใจวิธียอมรับ รองรับ และแก้ไขปัญหา” มาดามจัสติส ‘ตีความ’ ไพ่อาร์คาน่าเล็กใบนี้
ตรงหน้าเธอก็มีสำรับไพ่ทาโรต์อีกสำรับ แต่มีจำนวนไพ่น้อยกว่าครึ่งของสำรับก่อนหน้า
หญิงสาวสุ่มหยิบไพ่ขึ้นมาหนึ่งใบ แล้ววางลงตรงกลางโต๊ะ
ไพ่ใบนั้นวาดภาพเทพธิดาแห่งความยุติธรรม นั่งอยู่บนบัลลังก์หิน ถือดาบและตาชั่ง
อาร์คาน่าใหญ่ ‘จัสติส’!
หลังจากส่งไพ่ ‘จัสติส’ ให้อ็องโตนี สุภาพสตรีผู้นั้นยิ้มแล้วกล่าว
“ตอนนี้คุณมีภารกิจสองอย่าง หนึ่งคือ ร่วมมือกับ ‘สองถ้วย’ ช่วยเธอกำจัด ‘คนในกระจก’ และสืบสวนปัญหาของนิกายนางมาร สองคือ ลองติดต่อกับองค์กรลับชื่อว่า ‘สมาคมแปรจิต’…”
สมาคมแปรจิต… อ็องโตนีครุ่นคิดถึงชื่อนี้
หลังจากอธิบายภารกิจเสร็จ ‘จัสติส’ เปลี่ยนเรื่องถาม
“พวกเขาได้เล่าให้ฟังหรือไม่ ว่าเราติดตามผู้ยิ่งใหญ่องค์ใด และภาพรวมของ ‘ชุมนุมทาโรต์’ เป็นอย่างไร?”
“ผมรู้แค่ว่า พวกคุณติดตามเทพแท้จริงนามว่า ‘เดอะฟูล’ และใช้ไพ่ทาโรต์เป็นโค้ดเนม โดยอิงจากชื่อของพระองค์” อ็องโตนีตอบไปตามจริง
ก่อนจะเข้าร่วม ‘ชุมนุมทาโรต์’ อย่างเป็นทางการ ลูเมี่ยนกับฟรังก้าไม่สะดวกใจจะเล่ามากไปกว่านี้
‘จัสติส’ หัวเราะในคอ
“ถ้าอย่างนั้น ดิฉันขออนุญาตแนะนำเป้าหมาย แนะนำผู้ไถ่ถอนของพวกเรา มิสเตอร์ฟูลผู้ยิ่งใหญ่…”
น้ำเสียงของเธอแฝงไว้ด้วยความเบิกบานผิดปกติ
…………
หลังออกจากบ้านลับของลูกาโน·ทอสคาโน ลูเมี่ยนนั่งรถม้ามาถึงเขตสวนพฤกษศาสตร์ เลี้ยวเข้าถนนที่มีชื่อเดียวกับถนนแผ่นศิลาในเขตตลาด เข้าไปในบ้านลับที่เช่าไว้ก่อนหน้านี้
เด็กหนุ่มมองเด็กชายลุดวิก ผู้นั่งอยู่บนโซฟา กำลังอ่านนิยายไปพลางกินของหวาน แล้วพูดเยาะหยัน
“ถึงจะหนีออกจากศาสนจักรความรู้แล้ว แต่ก็ไม่ควรทำตัวเอื่อยเฉื่อยขนาดนี้ วันๆ เอาแต่อ่านนิยาย!”
“มีคนอารมณ์ร้ายมาส่งจดหมายให้คุณ อยู่ในห้องนอน” ลุดวิกเปลี่ยนเรื่องทันที
“คนอารมณ์ร้าย?” ลูเมี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ใส่ชุดสีทอง…เหมือนตุ๊กตา” ลุดวิกตอบโดยไม่เงยหน้า การหยุดชะงักระหว่างประโยค เกิดจากการกัดเค้กแครอท ที่ว่ากันว่าเป็นสินค้าท้องถิ่นของอาณาจักรโลเอ็น
ผู้ส่งสารของมาดามเมจิกเชี่ยนสินะ…ลูเมี่ยนถามอย่างสงสัย
“ทำไมเธอถึงโมโหนายล่ะ?”
“ผมเห็นเธอ แล้วก็ทะเลาะกัน” ลุดวิกตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
แค่ทะเลาะกัน? เธอไม่ได้ยกนายขึ้นมาทุบตีแน่นะ? ลูเมี่ยนรำพันเงียบขณะเดินเข้าห้องนอน หยิบจดหมายพับสี่เหลี่ยมที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือขึ้นมาอ่าน
จดหมายฉบับนี้ ต่างจากฉบับมอบรางวัลก่อนหน้า ส่วนใหญ่ตอบคำถามของลูเมี่ยน หลังจากได้รับเอกสาร ‘0-01’ นั่น
“นี่คงเป็นการบอกใบ้จากศาสนจักรความรู้”
“ถ้าเธอสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้ ทางนั้นยินดีจะมอบความช่วยเหลือบางอย่าง หรือแม้กระทั่งยอมให้เธอนำสมบัติปิดผนึกชิ้นนั้นไป”
“แน่นอนว่ามีเงื่อนไขสองข้อ หนึ่ง อย่างน้อยเธอต้องเป็นนักบุญลำดับ 4 มีเทวบารมี และมีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับเข้าสู่กระดานหมากรุก สอง ต้องมีวิธีพกพาสมบัติปิดผนึกชิ้นนั้น โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์และสภาพแวดล้อมรอบข้าง”
“หากทำสองสิ่งนี้ไม่ได้ ศาสนจักรความรู้จะไม่มีทางให้การสนับสนุนอย่างออกนอกหน้า”
“การเป็นครึ่งเทพ อาจฟังดูขัดแย้งกับข้อห้าม ‘ลำดับ 5 ขึ้นไปไม่สามารถเข้าใกล้ 0-01’ แต่ก็อาจมีข้อมูลซ่อนอยู่ในจุดนี้ หรือไม่ก็เป็นการบอกใบ้เธอ หากพิสูจน์ตัวเองได้ว่า เธอมีปัญญาเลื่อนเป็นลำดับ 4 ได้จริง ก่อนจะเริ่มประกอบพิธีกรรมแล้วดื่มโอสถ ให้เข้าไปใน ‘เมืองแห่งการเนรเทศ’ โมโรลาสักครั้ง เข้าใกล้ ‘0-01’ เพื่อทิ้งรอยประทับหรือทำบางสิ่งให้สำเร็จ เพื่อวางรากฐานในการควบคุมมันเมื่อก้าวเข้าสู่ลำดับสูงขึ้น”
“หากจะถามว่า ต้องทำแบบไหนกันแน่ ตอนนี้ฉันยังมองไม่เห็น”
“โดยสรุปก็คือ: ถ้าเธอทำให้เห็น หรือพิสูจน์ศักยภาพของตัวเองได้ ศาสนจักรความรู้ยินดีสนับสนุนเธอในการแย่งชิงตำแหน่งเทพ ‘นักบวชสีชาด’ กับ ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซี ประหลาดใจไหม? ตื่นเต้นไหม?”
ประหลาดใจ? ตกใจสิไม่ว่า! ลูเมี่ยนไม่เคยคิดถึงเรื่องการเป็นเทพแท้จริงมาก่อน
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เคร่งศาสนาอะไรนัก แต่ก็เติบโตมาในสภาพแวดล้อมทางสังคมเช่นนี้ แถมยังเข้าสู่โลกของศาสตร์เร้นลับได้ไม่นาน จึงไม่ค่อยมีความคิดทำนองว่า ‘ฉันก็เป็นเทพได้ ฉันก็ต้องเป็นเทพ’
อีกทั้ง ความน่าสะพรึงกลัวและความแข็งแกร่งของ ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีนั้น ลูเมี่ยนได้ประจักษ์กับตาตัวเองแล้วในทรีอาร์ยุคที่สี่
การต้องเป็นศัตรูกับองค์ผู้ยิ่งใหญ่นั่น ต้องแย่งชิงบัลลังก์เทพกับ ‘นักบวชสีชาด’ เด็กหนุ่มมองว่าเป็นความเพ้อฝัน ไม่มีสาระสำคัญอันใดเลย
“มันต่างอะไรกับตอนที่โอลัวร์ชอบพูดติดตลกในคาบเรียนวิชาต่อสู้ ทำนองว่า ‘เอาล่ะ นายเรียนพื้นฐานครบแล้ว ได้เวลาออกไปฆ่าเทพสักองค์แล้ว’”
ท่ามกลางกระแสความคิด ลูเมี่ยนรำพันกับตัวเองเสียงแผ่ว
“ถ้าเรากลายเป็นเทพแท้จริง จะชุบชีวิตโอลัวร์ได้ไหมนะ…”
หลังจากเงียบไปสักพัก เด็กหนุ่มจิกกัดตัวเอง
“แม้แต่เทพก็ยังร่วงหล่นได้ ยังไม่แน่ว่าจะคืนชีพให้ตัวเองได้ด้วยซ้ำ”
“มาดามเมจิกเชี่ยนเคยพูดว่า คำสาปแห่งการทรยศของ ‘ชุดเกราะอหังการ’ เกิดจากความเกลียดชังและความเจ็บแค้นของเทพขณะร่วงหล่น…แต่ตามข้อมูล ‘ชุดเกราะอหังการ’ ปรากฏครั้งแรกในช่วงท้ายของมหาสงครามทั่วทวีปเหนือคราวก่อน ตอนนั้นมีเทพแท้จริงร่วงหล่นหรือ?”
“พลังของ ‘ชุดเกราะอหังการ’ ชัดเจนว่าเป็นของเส้นทาง ‘นักรบ’…เทพสงครามร่วงหล่นแล้วหรือ? แต่ในจักรวรรดิฟุซัค ศาสนจักรเทพสงครามก็ยังอยู่ดีมีสุขนี่นา อา…หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และพ่อค้าพูดกันแบบนั้น…”
ลูเมี่ยนคิดอยู่พักใหญ่ แต่ไม่ได้ข้อสรุป จึงกลับไปอ่านจดหมายต่อ
“ใจจริง ฉันไม่เคยคิดเรื่องการให้เธอช่วงชิงบัลลังก์ ‘นักบวชสีชาด’ เลยสักครั้ง แค่มองว่าตัวเธอ ผู้มีเทวทูตผนึกอยู่ภายใน จนโชคชะตาเปลี่ยนแปลงไป มีศักยภาพเพียงพอต่อการก้าวขึ้นเป็นลำดับสูง สำหรับตอนนี้ ฉันขอแนะนำให้เธอทำตามความต้องการของตัวเอง พวกเราชุมนุมทาโรต์จะคอยให้การสนับสนุน”
“อีกอย่างหนึ่ง มีประเด็นที่ต้องระวัง”
“ฉันได้ไปเที่ยวรอบลุนเบิร์ก ได้ลองสอบถามนักวิชาการท้องถิ่นหลายคน บางคนโด่งดังด้านปัญญาอันล้ำลึก แต่กลับไม่มีใครเคยได้ยินชื่อของ ‘เมืองแห่งการเนรเทศ’ โมโรลามาก่อน”
“ในสายตาของประชาชนทั่วไป รวมถึงบาทหลวงระดับกลางและล่างของศาสนจักรความรู้ เมืองนี้ไม่มีอยู่จริง ไม่เคยปรากฏในบันทึกใด”
……………………………………………………..