ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 50 สังเกตการณ์
ตอนที่ 50 สังเกตการณ์
เมื่อเห็นน้องชายลืมตา โอลัวร์ตั้งใจจะปลอบว่า “สำหรับโอสถที่ไม่ใช่สายเวทมนตร์ อาจต้องลองผิดลองถูกหลายครั้งจึงจะเข้าฌานสำเร็จ บางคนต้องฝึกหนักนานกว่าห้าหกวัน หรือแม้แต่ครึ่งเดือน” แต่หญิงสาวกลับพบว่าหน้าผากลูเมี่ยนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น ในแววตาเปี่ยมด้วยความหวาดกลัวที่ไม่อาจซุกซ่อน
“เกิดอะไรขึ้น?” โอลัวร์ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
ลูเมี่ยนหายใจหอบสองสามลม ยิ่งนึกย้อนกลับไปก็ยิ่งหวาดหวั่น
“ฉันเข้าฌานสำเร็จแล้ว รู้สึกว่าจิตใจล่องลอยขึ้น รอบตัวเต็มไปด้วยหลากสีสัน ซ้อนทับกับหมอกสีเทาอ่อน สิ่งที่อธิบายไม่ได้กำลังลอยวนเวียน บนท้องฟ้าสูงมีริ้วแสงสว่างอันบริสุทธิ์เด่นชัดหลายสาย ไม่สิ… อาจไม่ใช่ท้องฟ้า อาจเป็นสถานที่อันห่างไกล ฉันเองก็ไม่แน่ใจ”
“ฟังจากที่นายอธิบาย ดูเหมือนจะทำสำเร็จแล้วจริงๆ” โอลัวร์เริ่มสาธยาย “สิ่งที่ ‘กายดารา’ ของนายเห็นหรือสัมผัสได้คือโลกวิญญาณ ที่นั่น แนวคิดหลายอย่างที่ไม่มีบนโลกความจริง จะปะปนอยู่กับแนวคิดที่มีบนโลกความจริง นายจะรู้สึกเหมือนลอยสูงบนท้องฟ้า รู้สึกเหมือนอยู่ไกลออกไป”
“แสงทั้งเจ็ดคือ ‘เจ็ดแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณ’ ถูกกล่าวถึงในตำราโบราณมากมาย ถือว่ามีศักดิ์ใกล้เคียงเทพ ล่วงรู้ทุกสรรพสิ่ง เป็นเหล่าตัวตนซ่อนเร้นที่เป็นมิตร หากสามารถเอ่ยพระนามเต็มได้ครบถ้วน ก็สามารถสวดวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพวกท่านได้ น่าเสียดายที่ฉันเองก็ไม่ทราบ”
“ส่วนสิ่งที่อธิบายไม่ได้ซึ่งกำลังลอยวนเวียน คือสิ่งมีชีวิตของโลกวิญญาณ แต่ดูเหมือนนายจะ ‘เห็น’ ไม่มากนักและไม่ชัดเจนนัก คงเป็นขีดจำกัดของโอสถนักล่าที่พลังวิญญาณยังไม่สูงพอ หืม… แบบนี้คงเปิดเนตรวิญญาณยากกว่าที่คิด และผลลัพธ์อาจไม่ดีนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีล่ะนะ”
หญิงสาวคอยสังเกตอาการของน้องชายอย่างใกล้ชิดมาตลอด พร้อมหยุดการสอนและยื่นมือช่วยเหลือในทุกเมื่อ
เมื่อเห็นลูเมี่ยนเริ่มกลับเป็นปกติ เธอจึงสรุปเรื่องราวในคราวเดียว แล้วตั้งคำถาม
“แต่น่าแปลก ของพวกนี้ไม่น่าจะทำให้นายหวาดกลัวได้เลย… ไม่ใช่ว่าฉายาของน้องชายฉันคือ ‘ลูเมี่ยนผู้กล้าหาญ’ หรอกหรือ? แถมก่อนหน้านี้เพิ่งผ่านประสบการณ์โชกโชน วัฏจักรเวลาเอย คนกลายเป็นแกะเอย ผู้ชายคลอดลูกเอย ขบวนแห่คุณนายราตรีที่เต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน รวมถึงเหตุการณ์ที่สร้างมลทินให้จิตใจ… แล้วทำไมถึงหวาดกลัวกับแค่สิ่งมีชีวิตโลกวิญญาณทั่วๆ ไป?”
เมื่อได้ยินพี่สาวเอ่ยถึงเหตุการณ์เก่าๆ เส้นเลือดบนหน้าผากลูเมี่ยนพลันโป่งพอง คงเพราะไม่อยากจดจำเหตุการณ์เหล่านั้นสักเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณนายปัวริส
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว
“ฉันรู้สึกว่าในส่วนลึกของโลกวิญญาณ หรืออาจเป็นตำแหน่งที่สูงกว่านั้น…มีบางสิ่งกำลังจ้องมองมาทางฉัน”
“แค่ถูกจ้องก็ทำให้ฉันกลัวจนหัวหด ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย จนต้องหลุดจากภาวะเข้าฌาน”
โอลัวร์เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย พลางกล่าวหลังจากครุ่นคิด
“ฉันสันนิษฐานว่า… สัญลักษณ์ประหลาดสองอันบนหน้าอกนาย อาจเชื่อมโยงกับตัวตนลึกลับบางพระองค์ ซึ่งต้นตอที่ทำให้กอร์ตูตกอยู่ในวัฏจักรเวลา หรือไม่ก็เป็นเจ้าของ ‘ความพิเศษ’ ที่ช่วยให้นายรักษาสติในความฝัน และรักษาพลังวิเศษไว้ได้ทุกวัฏจักร”
“ทั้งที่เป็นนักล่า แต่นายกลับเข้าฌานสำเร็จได้ในครั้งแรก คงได้รับอิทธิพลบางส่วนมาจากสองสัญลักษณ์นั่นด้วย”
ลูเมี่ยนฟังพลางผงกหัวรับ เป็นนัยว่าเห็นด้วยกับคำพูดพี่สาว
ข้อเท็จจริงนี้ทำให้เด็กหนุ่มหดหู่เล็กน้อย
“ถ้าเป็นแบบนั้น… ฉันก็เข้าฌานไม่ได้น่ะสิ ทุกครั้งที่ทำสำเร็จก็จะถูกจ้องจนหลุดจากฌาน… และตามความคิดของฉัน การถูกมองอยู่ตลอดเวลาคงไม่ใช่เรื่องดี”
“แล้วนายคิดว่าตอนนี้ไม่ได้กำลังถูกมองอยู่หรือไง?” โอลัวร์หัวเราะในลำคอ “นายแค่สัมผัสไม่ได้เพราะไม่ได้เข้าฌาน… ถ้าในเมื่อยังไงก็หนีไม่พ้น ฉันแนะนำให้เผชิญหน้ากับความเสียหาย นั่นคือการหมั่นทดลองบ่อยๆ เพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน เพื่อยืดเวลาในการเข้าฌานให้นานขึ้น… ในอนาคต นี่อาจเป็นข้อได้เปรียบเวลาที่นายเผชิญหน้ากับบางสถานการณ์… แน่นอน ก่อนจะกลายเป็นลำดับ 7 ‘นักวางเพลิง’ การเข้าฌานที่แท้จริงแทบไม่มีความจำเป็น จะรอให้พลังวิญญาณพัฒนาขึ้นก่อนค่อยกลับมาทดลองใหม่ก็ยังได้”
“ฟังดูน่าเศร้านิดๆ นะ” ลูเมี่ยนปรับทัศนคติตัวเอง พลางยิ้มอย่างขื่นขม “ถ้าต่อต้านไม่ได้ ก็คงต้องหาวิธีอยู่ร่วมกับมันให้มีความสุข”
โอลัวร์ ‘หึ’ ในลำคอ
“ในสถานการณ์แบบนี้ ฉันขอมี ‘ความพิเศษ’ เหมือนกับนายดีกว่า ถึงจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายและความยากลำบากลึกลับ แต่อย่างน้อยในวัฏจักรรอบถัดไป ฉันยังรักษาความทรงจำตัวเองไว้ได้ ไม่ต้องพึ่งพาคำเตือนจากน้องชาย ซึ่งอาจเล่าตกหล่นรายละเอียดไปหลายเรื่อง”
จากนั้น เธอมองไปทางหน้าต่างที่ด้านนอกมืดสนิท
“ถึงเวลาเรียนวิธีเปิดเนตรวิญญาณแล้ว”
“ลองนั่งลงและเข้าฌานอีกครั้ง แต่ไม่ต้องเข้าสู่ภาวะที่ความคิดล่องลอย… แม้การทำแบบนั้นจะช่วยให้เปิดเนตรวิญญาณได้ง่ายขึ้น แต่นายคงไม่อยากถูกใครสักคนแอบดูใช่ไหมล่ะ”
“อือ” ลูเมี่ยนพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนคลายร่างกาย เริ่มวาดพระอาทิตย์ในใจก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นรูปวาดลูกบอลที่พี่สาววาดส่งๆ บนกระดาษ
เด็กหนุ่มมิได้วาดสัญลักษณ์ดังกล่าวซ้ำไปซ้ำมา พอจิตใจเริ่มสงบก็หยุดทันที
โอลัวร์คอยสังเกตอาการ ก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยน
“ดีมาก ในสภาพนี้ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาวางไว้หน้าดวงตา แล้วก็ลืมตาได้”
ลูเมี่ยนรักษาภาวะใจกายสงบนิ่ง พลางบรรจงเลิกเปลือกตา จนพบว่าพี่สาวของตนได้ดับตะเกียงน้ำมันก๊าดไปแล้ว ทำให้ชั้นล่างของบ้านจมอยู่ในความมืด เหลือเพียงเค้าโครงของสิ่งต่างๆ ที่เกิดจากแสงจันทร์สีแดงอ่อนด้านนอกหน้าต่าง
หลังจากปรับตัวสักพัก เด็กหนุ่มมองเห็นมือตัวเองได้อย่างเลือนราง
“นิ้วชี้ทั้งสองข้างเลื่อนเข้าหากัน ให้อยู่ใกล้กันแต่ห้ามสัมผัส…” โอลัวร์เริ่มสอน “จากนั้น จดจ่อสมาธิอยู่กับหลังมือตัวเอง หรือจะเป็นอีกฝั่งของหลังมือก็ได้… เมื่อทำเสร็จ ลองขยับนิ้วช้าๆ โดยยังรักษาระยะห่างระหว่างนิ้วเอาไว้ ใกล้กันแต่ไม่สัมผัส และห้ามให้นิ้วหลุดจากระยะมองเห็นด้วย”
ลูเมี่ยนทำตามที่ถูกสอนอย่างเคร่งครัด โดยมองไปยังตำแหน่งว่างๆ บนหลังมือพร้อมกับเริ่มขยับนิ้ว
หลังจากขยับนิ้วอยู่หลายรอบ เด็กหนุ่มยังคงไม่พบการเปลี่ยนแปลงใด
ไม่นานก็หลุดจากภาวะเข้าฌาน
“เห็นอะไรไหม?” โอลัวร์ถาม
ลูเมี่ยนส่ายหัว
“สำหรับนักล่า มันอาจจะยากสักหน่อย ไม่ต้องกดดันตัวเองนะ ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ก็อาจได้ครั้งหน้า ถ้าวันนี้ไม่ได้ก็อาจได้พรุ่งนี้” โอลัวร์ปลอบน้องชาย “ไม่ต้องห่วง คนธรรมดาที่มีพลังวิญญาณสูง แค่ฝึกฝนอย่างถูกต้องสักพักก็เปิดเนตรวิญญาณได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้วิเศษ แต่แน่นอน ผลลัพธ์จะออกมาแบบไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
ถ้าไม่ได้ในวัฏจักรนี้ ก็อาจได้ในวัฏจักรหน้า… แต่ถ้ายังไม่ได้ในวัฏจักรหน้า ก็อาจไม่มีวัฏจักรถัดไปแล้ว…ลูเมี่ยนรำพัน
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่อดทนและมุ่งมั่น พักฟื้นพลังวิญญาณเพียงครู่เดียวก็กลับมาลองใหม่อีกครั้ง
หลังจากล้มเหลวหนแล้วหนเล่า ในท้ายที่สุด เขามองเห็นจุดสีแดงโผล่ออกจากช่องว่างระหว่างนิ้วชี้ทั้งสอง
สำเร็จแล้ว? ลูเมี่ยนที่ยินดีปรีดาในใจ รีบหันหน้าไปหาพี่สาว
เด็กหนุ่มมองเห็นแสงสีแดงเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนตัวโอลัวร์ คล้ายกับว่าพวกมันคลุมผิวหนังเธอไว้
“ไหนพี่บอกว่าจะพบสีสันต่างๆ ได้บน ‘กายอากาศ’ ?” ลูเมี่ยนถามด้วยความสงสัย
โอลัวร์ย้อนถามอย่างยินดี
“สำเร็จแล้ว?”
ลูเมี่ยนพยักหน้ารับ แล้วเริ่มเล่าประสบการณ์
“นายทำสำเร็จแล้วจริงๆ …” โอลัวร์ถอนใจโล่งอก “นี่ถือว่าเร็วมาก คงเพราะมีความพิเศษนั่นอยู่ในตัว… ถ้าเป็นนักล่าคนอื่นล่ะก็ อย่างน้อยก็ต้องฝึกหนักๆ สักสิบวันถึงครึ่งเดือนจึงจะเปิดเนตรวิญญาณได้ แต่ถ้าไปถึงลำดับ 8 ก็จะง่ายขึ้น… สิ่งที่นายเห็นคือ ‘กายอากาศ’ ที่พร่ามัวอย่างยิ่ง สีแดงสื่อว่าฉันยังสุขภาพดี ส่วนเรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจ เพราะกายวิญญาณของนายยังไม่เอื้ออำนวย”
หญิงสาวหยิบขวดหมึกใบเล็กออกมา แล้วคลายเกลียวฝาออก
“ลองดูว่านายจะเห็นเจ้ากระดาษขาวไหม”
ลูเมี่ยนเพ่งมองไปที่ขวด จนกระทั่งพบฟองอากาศอันพร่ามัวสีโปร่งใสอยู่บนปากขวด
ลักษณะคล้ายกับฟองที่เป่าจากน้ำสบู่ ขนาดเท่ากำปั้น ปัจจุบันเจือสีแดงอ่อนๆ เพราะแสงจันทร์ภายนอก
ลูเมี่ยนแทบจะมองไม่เห็นมัน รู้สึกราวกับถ้าตนกะพริบตา พอมองไปอีกทีก็คงไม่เห็นแล้ว
ฟองดังกล่าวลอยขึ้น บินไปทางฝ่ามือของโอลัวร์ หญิงสาวแบมือรับฟองไว้แล้วใช้นิ้วโป้งลูบไล้เบาๆ
ฟองอากาศโปร่งใสเริ่มยุบตัว สลับกับพองขึ้นอีกครั้ง เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา
ลูเมี่ยนรวบรวมสติ เสร็จแล้วจึงเล่าภาพที่เห็นให้พี่สาวฟัง
“พร่ามัวมากเลยสินะ…” โอลัวร์ส่ายหัว “เนตรวิญญาณของนักล่าไม่ค่อยดีจริงๆ นั่นแหละ มองเห็นกายอากาศได้เพียงเบื้องต้นเท่านั้น… ในบรรดาสิ่งมีชีวิตของโลกวิญญาณ นายคงมองเห็นได้แค่เจ้ากระดาษขาว นอกนั้นน่าจะยังไม่ไหว”
“ก็ดีกว่าไม่เห็นอะไรเลย” ลูเมี่ยนตอบด้วยคำพูดเก่าๆ ของพี่สาว
เขาไม่เคยมีประสบการณ์เนตรวิญญาณที่ดีกว่านี้ จึงรู้สึกพอใจกับสถานการณ์ปัจจุบัน
โอลัวร์ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงสอนวิธีปิดเนตรวิญญาณกับลูเมี่ยน ด้วยการเข้าฌานอีกครั้ง รวบรวมสมาธิ และฝึกตัวเองให้ระงับพลังวิญญาณ นอกจากนั้นยังสอนให้ฝึกสร้าง ‘ปุ่มลัด’ ง่ายๆ เพื่อเปิด-ปิดเนตรวิญญาณระหว่างการเข้าฌาน
ลูเมี่ยนฝึกฝนซ้ำไปซ้ำมา จนเปิด-ปิดเนตรวิญญาณได้อย่างชำนาญ แต่สำหรับ ‘ปุ่มลัด’ ที่โอลัวร์พูดถึงนั้น เขายังทำไม่สำเร็จ เพียงเข้าใจหลักการบางส่วน
“เอาล่ะ นายไปพักเถอะ ค่อยมาดูกันว่ารองอธิการโบสถ์มีปัญหาหรือไม่” โอลัวร์เห็นน้องชายใบหน้าซีดเซียวเพราะใช้พลังวิญญาณหนักเกินไป จึงบอกให้ไปพักสักหน่อย
ทั้งสองเดินขึ้นชั้นบน เข้าไปในห้องอ่านหนังสือแล้วเปิดโคมไฟ
ลูเมี่ยนผล็อยหลับอย่างรวดเร็วบนเก้าอี้เอนหลัง ส่วนโอลัวร์เริ่มอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ เพื่อฆ่าเวลาจนถึงกลางดึก
เพียงครู่เดียว เด็กหนุ่มเข้าสู่โลกแห่งความฝัน แต่ก็ไม่รีบร้อนสำรวจ เพียงบังคับตัวเองให้นอนต่อ
จนกระทั่งถูกโอลัวร์ปลุก
“ได้เวลาสังเกตการณ์รองอธิการโบสถ์แล้ว”
“อา…” ลูเมี่ยนลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองพี่สาว
โอลัวร์เปิดขวดหมึกใบเล็ก ใช้มือขวาลูบเจ้ากระดาษขาว นัยน์ตาหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสีมืดลึกล้ำอย่างรวดเร็ว
อาศัยความช่วยเหลือของพันธสัญญา เธอเริ่มท่องคาถาเป็นภาษาเฮอร์มิส
“สัตว์พันธสัญญาของข้าเอ๋ย จงถือความพิเศษของดวงตาข้า”
ลูเมี่ยนด้านข้างฟังแล้วไม่เข้าใจ รวมถึงมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะยังไม่ได้เปิดเนตรวิญญาณ จึงทำเพียงรอคอยอย่างอดทน
“เจ้ากระดาษขาวกำลังไปที่บ้านของรองอธิการโบสถ์”
จากการสังเกตในระยะใกล้ ลูเมี่ยนเห็นว่ากระจกตาของพี่สาวมิได้กำลังสะท้อนภาพห้องอ่านหนังสือหรือภาพของตน แต่เป็นภาพต้นไม้ที่กิ่งก้านกำลังโบกสะบัดในความมืด
ภาพของต้นไม้เลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
นี่คือสิ่งที่เจ้ากระดาษขาวเห็น? ลูเมี่ยนเริ่มเข้าใจ
โอลัวร์หยิบกระจกที่ด้านหลังฉาบปรอทออกมา แล้วหยิบผงสีขาวโปรยลงบนกระจก
ผงเหล่านั้นส่องสว่างในพริบตา เปลี่ยนให้กระจกดูคล้ายมีชั้นคลื่นน้ำปกคลุม
บนคลื่นน้ำ ภาพของรองอธิการโบสถ์ มิเชล·การีกูปรากฏขึ้น
เจ้ากระดาษขาวมาถึงหน้าห้องของเป้าหมายแล้ว ตากำลังมองผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้อง
ขณะนี้มิเชล·การีกูหลับสนิท ดวงตาปิดมิดชิด ลมหายใจเป็นปกติ
โอลัวร์กับลูเมี่ยนอดทนรออย่างใจเย็น คอยสั่งให้เจ้ากระดาษขาวสังเกตการณ์จากมุมต่างๆ
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป ทันใดนั้น มิเชลที่กำลังหลับ ปากเผยอขึ้นเล็กน้อย
เงาพร่าเลือนสีโปร่งใส ค่อยๆ คลานออกมาจากปาก
เงานั้นดูคล้ายกับกิ้งก่า
…………………………………………………….