ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 5 ไพ่
ตอนที่ 5 ไพ่
ไวน์แดงอ่อน…สมแล้วที่มาจากมหานคร…สายตาลูเมี่ยนหยุดอยู่ที่แก้วไวน์ในมือสตรี
ไวน์แดงอ่อนคือเหล้าหวานที่กลั่นจากน้ำตาลและเชอร์รี่หมัก ได้รับความนิยมในหมู่สตรีด้วยเหตุผลด้านกลิ่นและสี ผลไม้อื่นสามารถทดแทนเชอร์รี่ได้ โดยรสชาติจะเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย
ไวน์แดงอ่อนเป็นเครื่องดื่มชั้นดีเพียงไม่กี่ชนิดที่มีขายในร้านเหล้าคร่ำครึของหมู่บ้านกอร์ตู จุดเริ่มต้นมาจากมาดามปัวริสผู้เคยไปเที่ยวบีกอร์ เมืองหลวงของแคว้น เกิดตกหลุมรักไวน์สีอ่อนชนิดนี้
คุณนายปัวริสคือภรรยาของบีโอส เจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่นและผู้พิพากษาเขต บรรพชนของเธอเป็นขุนนาง แต่สูญเสียศักดินาไปในยุคจักรพรรดิโรซายล์
เธอยังเป็นหนึ่งในชู้รักของหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ บาทหลวงท้องถิ่น ความลับนี้มีเพียงน้อยคนในหมู่บ้านที่ทราบ ลูเมี่ยนคือหนึ่งในนั้น
เด็กหนุ่มถอนสายตากลับ แล้วเดินไปทางเคาน์เตอร์บาร์
ที่นั่นมีชายวัยสี่สิบนั่งอยู่ แต่งกายด้วยเสื้อลินินและกางเกงขายาวที่เข้าคู่กัน เรือนผมสีน้ำตาลทั้งบางและกระเซิง ตามรอบดวงตา ปาก และหน้าผากมีริ้วรอยการทำงานหนักตลอดหลายปี
ไม่ใช่ใครนอกจากบิดาของแรมงด์ ปิแยร์·เคร็กก์
อีกหนึ่งปิแยร์
เป็นเหตุผลที่ลูเมี่ยนเคยเล่นมุกต่อหน้าลีอากับไรอัน โดยบอกว่าการเรียก ‘ปิแยร์’ ในร้าน จะทำให้แขกอย่างน้อยหนึ่งในสามหันมามอง
ในหมู่บ้านนี้ ผู้คนจะจำแนกปิแยร์และกิโยมด้วยการนำชื่อตระกูลมาต่อท้าย ไม่อย่างนั้นคงแยกแยะไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
ในหลายครอบครัว พ่อลูกดันใช้ชื่อปิแยร์หรือกิโยมร่วมกัน ข้างบ้านต้องเติม ‘เฒ่า’ ‘ใหญ่’ หรือ ‘น้อย’ เวลาเรียกเพื่อให้แตกต่างกัน
“พ่อ ทำไมไม่ไปคุยกับคนอื่นๆ ที่จัตุรัสหมู่บ้านล่ะ?” แรมงด์เดินเข้าไปหาพ่อตัวเอง
ผู้ชายในหมู่บ้านนิยมรวมตัวกันใต้ต้นเอล์มที่ลานจัตุรัส หรือไม่ก็บ้านใครสักคนเพื่อเล่นทอยเต๋า ไพ่ หมากรุก รวมถึงซุบซิบนินทาข่าวลือ เพราะการหมกตัวอยู่ที่ร้านเหล้ามีค่าใช้จ่าย
ปิแยร์·เคร็กก์ถือแก้วไวน์องุ่นแดง เหล่มองลูกชายคนที่สอง
“เดี๋ยวค่อยไป ตอนนี้ที่จัตุรัสคงมีคนไม่เยอะ”
ก็จริง พวกผู้ชายในหมู่บ้านไปไหนหมด? ลูเมี่ยนสงสัยขึ้นอย่างปุบปับ
ตอนที่รอใต้ต้นเอล์มจนถึงเมื่อครู่ เขาไม่เห็นใครเลย
“คุณลุง ผมมีเรื่องอยากจะถาม” ลูเมี่ยนตรงเข้าประเด็น
ปิแยร์·เคร็กก์ตื่นตัวทันที
“มุกแกล้งคนแบบใหม่?”
นิทาน ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ อิงจากเรื่องจริงสินะ…ลูเมี่ยนเหลือบไปด้านข้าง ส่งสัญญาณให้แรมงด์พูด
แรมงด์รวบรวมความคิดสักพัก แล้วจึงเอ่ยปาก
“พ่อ ตำนานจอมเวทที่เคยเล่าให้ฟังเกิดขึ้นนานหรือยัง? คนที่ต้องใช้วัวเก้าตัวลากโลงศพน่ะ”
ปิแยร์·เคร็กก์จิบไวน์หนึ่งอึก กล่าวด้วยสีหน้ากังขา
“ถามทำไม?”
“ปู่ของแกเคยเล่าให้ฟังตอนฉันเด็กๆ”
แคว้นไรสตันที่หมู่บ้านกอร์ตูตั้งอยู่ รวมถึงแคว้นข้างเคียงอย่างโอเลและซูสิต อยู่ในเขตภาคใต้ของสาธารณรัฐอินทิส โด่งดังด้านการปลูกองุ่น ไวน์ที่นี่โดยเฉพาะเกรดต่ำๆ จะมีราคาถูกมาก บางปีก็ดื่มกันต่างน้ำเปล่า
แรมงด์ทำหน้าผิดหวังทันที เนื่องจากปู่ของเขาเสียไปหลายปีแล้ว
ทันใดนั้น ปิแยร์·เคร็กก์เสริม
“ปู่ของแกเห็นมากับตาตัวเองสมัยยังเด็ก หลังจากนั้นก็กลายเป็นคนกลัวนกฮูกทันที กลัวว่าสัตว์ร้ายนั่นจะขโมยวิญญาณของเขา”
ทั้งลูเมี่ยนและแรมงด์ ทำตาลุกวาวพร้อมกัน
ได้เบาะแสมาจริงๆ!
หมายความว่า ตำนานจอมเวทอ้างอิงจากประสบการณ์ตรงของใครสักคน?
“ปู่ได้บอกไหมว่า จอมเวทคนนั้นอาศัยอยู่แถวไหน หรือถูกฝังที่ไหน?” แรมงด์ถามจี้
ปิแยร์·เคร็กก์ส่ายหน้า
“ใครจะไปสนใจจำ?”
เมื่อเห็นว่าแรมงด์เตรียมถามต่อ ลูเมี่ยนตบบ่าเพื่อนพร้อมกับพูดเสียงดัง
“ไปที่ริมแม่น้ำกันเถอะ”
ขณะแรมงด์เตรียมเดินตามลูเมี่ยน ปิแยร์·เคร็กก์นึกบางอย่างขึ้นได้
“เดี๋ยว…แรมงด์ อีกสองวันแกต้องเป็น ‘เด็กเฝ้ายาม’ แล้ว ฉันจะบอกสิ่งที่ต้องระวังเอาไว้”
‘เด็กเฝ้ายาม’ ต้องคอยลาดตระเวนตามทุ่งหญ้าราบสูงและทุ่งนาใกล้หมู่บ้าน เพื่อเฝ้าระวังมิให้ใครต้อนแกะมากินหญ้าในช่วงงดเว้น เฝ้าระวังมิให้ปศุสัตว์สร้างความเสียหายกับพืชผล
ลูเมี่ยนไม่สนใจจะฟัง จึงเดินไปเข้าห้องน้ำในร้านเหล้า
ขากลับออกมา เขาจงใจเดินผ่านสตรีลึกลับที่ดื่มไวน์แดงอ่อน ผู้ยากจะกะเกณฑ์อายุ
เด็กหนุ่มไม่คิดจะเข้าไปทัก เพียงอยากสำรวจและเก็บรายละเอียดไว้เผื่ออนาคต เหมือนกับตอนที่ลากไรอัน ลีอา และคนอื่นๆ ไปดูหลวงพ่อกำลังเล่นชู้
เหล่มองอย่างแนบเนียนสองสามหน ลูเมี่ยนเตรียมลัดหัวมุมร้านเพื่อไปรอแรมงด์ที่ทางเข้า
ทันใดนั้นเอง หญิงสาวในเดรสสีส้มเหลืองผู้ทำตัวเนิบนาบ เงยหน้าขึ้น
สายตาของลูเมี่ยนที่ยังไม่ได้ถอนกลับ สบกับเธอเข้าอย่างจัง
วินาทีดังกล่าว กระทั่งลูเมี่ยนผู้หน้าหนาปานคอนกรีต ยังถึงกับกระอักกระอ่วน
ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว
เลียนแบบพวกนักบวชกับเจ้าหน้าที่ดีไหม? ถือโอกาสชมเชยความงามของเธอ เปลี่ยนจากการมองเป็นเข้าไปทักทาย? หรือควรทำตัวไร้เดียงสาแบบเด็กๆ ด้วยการวิ่งเตลิดหนีไป?
ขณะเขารวบรวมความคิด หญิงสาวชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พักหลังมานี้…ฝันอยู่บ่อยๆ ใช่ไหม”
พริบตาเดียว ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า หัวสมองขาวโพลน ความคิดทั้งหมดถูกแช่แข็ง
“มนุษย์กับความฝันเป็นของคู่กันไม่ใช่หรือ?”
หญิงสาวใช้มือเท้าคาง มองหน้าลูเมี่ยนพลางแค่นหัวเราะเบาๆ
“ความฝันที่เต็มไปด้วยหมอกน่ะ”
เธอรู้ได้ยังไง…! รูม่านตาลูเมี่ยนขยายกว้างด้วยอารามตกใจ ใบหน้าเผยร่องรอยความหวาดกลัว
แม้เด็กหนุ่มจะใช้ชีวิตโลดโผน แต่ด้วยความที่ยังเด็ก จึงควบคุมสีหน้าได้ลำบาก
เย็นไว้ เย็นไว้…ลูเมี่ยนสะกดจิตตัวเอง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้าพร้อมถามกลับ
“คุณได้ยินเรื่องที่ฉันเล่าให้คนต่างถิ่นสามคนฟังเมื่อคืนสินะ?”
หญิงสาวไม่ตอบ เพียงหยิบสำรับไพ่จากกระเป๋าถือสีส้มที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ
มองหน้าลูเมี่ยนอีกครั้ง เธอยิ้มแล้วกล่าว
“จั่วไพ่สิ มันอาจช่วยไขปริศนาที่ซ่อนอยู่ในความฝัน”
นี่มัน…ลูเมี่ยนทำหน้าตกใจปนไม่เชื่อ
ความตื่นเต้นกำลังถาโถม แต่ก็มาพร้อมความรอบคอบ
ชำเลืองสำรับไพ่ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเบาๆ แล้วถาม
“ทาโรต์?”
มันดูคล้ายไพ่ทาโรต์ อุปกรณ์สำหรับทำนายดวงชะตาที่จักรพรรดิโรซายล์คิดค้นขึ้น
หญิงสาวก้มมองไพ่ ก่อนจะหัวเราะกับตัวเอง
“โทษที หยิบผิด”
เธอเก็บสำรับไพ่ทาโรต์ยี่สิบสองใบ กลับเข้าไปในกระเป๋าถือใบไม่ใหญ่ไม่เล็ก แล้วหยิบอีกสำรับออกมา
“นี่ก็ไพ่ทาโรต์เหมือนกัน แต่เป็นอาร์คาน่า (Arcana) ชุดเล็ก เธอยังไม่มีสิทธิ์จั่วจากไพ่ชุดใหญ่ และฉันก็ไม่มีสิทธิ์ให้เธอจั่ว…”
อาร์คาน่าชุดเล็กประกอบด้วยไพ่ห้าสิบหกใบ แบ่งเป็นสี่ ‘ดอก’ ประกอบด้วย ถ้วย ไม้ ดาบ และเหรียญ
กำลังพูดเรื่องอะไร…? ลูเมี่ยนเริ่มสับสน
สตรีผู้นี้งามหยดย้อยก็จริง แต่อากัปกิริยาดูไม่ปกติ คล้ายกับมีปัญหาทางจิต
“จั่วหนึ่งใบ” หญิงสาวผู้น่าจะมาจากมหานคร เชื้อเชิญด้วยรอยยิ้มขณะสับไพ่ทาโรต์ชุดเล็ก “ไม่คิดค่าบริการ ลองดูก็ไม่เสียหาย และอาจช่วยแก้ปัญหาความฝันได้ด้วย”
ลูเมี่ยนหัวเราะในคอ
“พี่สาวของฉันมักพูดว่า…ของฟรีแพงที่สุด”
“ก็มีบางส่วนที่จริง” หญิงสาวกล่าวด้วยใบหน้าครุ่นคิด
เธอวางไพ่ชุดเล็กไว้ข้างแก้วไวน์แดงอ่อน แล้วจึงพูดเสริม
“แต่ถ้าเธอยืนกรานที่จะไม่จ่าย คนนอกอย่างฉัน คนต่างถิ่นในหมู่บ้านกอร์ตู จะบังคับให้เธอจ่ายได้อย่างไร”
ก็จริง…แค่จั่วการ์ดเอง ไม่มีอะไรต้องเสีย…เบาะแสเกี่ยวกับความฝันนั่นหาได้ง่ายๆ เสียเมื่อไร? มาอยู่ตรงหน้าแล้วทั้งที จะปล่อยผ่านไปก็กระไรอยู่…สมองลูเมี่ยนประมวลผลอย่างหนัก ไม่รีบร้อนด่วนตัดสินใจ
หญิงสาวก็ไม่เร่งเร้า
ผ่านไปราวสิบวินาที ลูเมี่ยนบรรจงโน้มตัวลง เหยียดมือขวาออกมากวาดกวนไพ่ชุดเล็ก แล้วจึงหยิบใบตรงกลาง
“เจ็ดไม้…หืม” หญิงสาวผู้ทำตัวเนิบนาบ ก้มมองไพ่ของเด็กหนุ่ม
บนหน้าไพ่ ผู้ชายหน้าตาขึงขังใส่เสื้อสีเขียวกำลังยืนอยู่เหนือเนินเขา ถือไม้ยาวหนึ่งแท่ง พลางรับมือกับอีกหกแท่งด้านล่างเนินเขา
“ความหมายคือ?” ลูเมี่ยนถาม
หญิงสาวยิ้ม
“ต้องตีความด้วยตัวเองตามรูปแบบ…วิกฤต ความท้าทาย การเผชิญหน้า ความกล้าหาญ…บลา…บลา…”
“แน่นอน การตีความมิใช่สาระหลัก สิ่งสำคัญก็คือ ไพ่ใบนี้เป็นของเธอแล้ว หากวันใดชะตาเวียนมาถึง เธอจะค้นพบความหมายที่แท้จริงของมัน”
“เป็นของฉัน?” ลูเมี่ยนยิ่งงงงวย
คงไม่ได้มีคำสาปฝังอยู่หรอกนะ?
หญิงสาวเก็บไพ่ชุดรองที่เหลือเข้ากระเป๋า ยกแก้วกระดกไวน์แดงอ่อนที่เหลือจนเกลี้ยง
เธอเมินคำถามของลูเมี่ยน เพียงเยื้องกรายไปทางบันไดริมผนังฝั่งหนึ่งของร้านเหล้าคร่ำครึ จุดหมายคือชั้นสอง
สื่อเป็นนัยว่าอาศัยอยู่ที่นี่
ลูเมี่ยนอยากตามไป แต่เดินได้ก้าวเดียวก็ต้องชะงัก หัวสมองกำลังสับสนว้าวุ่น
นี่เป็นแค่ไพ่ธรรมดาๆ จริงหรือ?
ถ้าเธอให้ไพ่กับเรา สำรับก็ต้องไม่สมบูรณ์ จนไม่สามารถใช้งานได้อีก?
โอลัวร์อาจจะสังเกตเห็นความพิเศษของมัน…
ทันใดนั้น แรมงด์เดินเข้ามาใกล้
“มีอะไร?”
“เปล่า…คนต่างถิ่นคนนั้นสวยดี” ลูเมี่ยนตอบส่งๆ ด้วยท่าทีไม่เกร็ง
“ฉันว่าโอลัวร์พี่ของนายสวยกว่านะ” จากนั้น แรมงด์หรี่เสียงลง “ลูเมี่ยน…แล้วเราจะเอายังไงกันต่อ? ปู่ของฉันเสียไปนานแล้วนะ”
ลูเมี่ยนที่อยากกลับบ้านแล้ว ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ
“วิธีแรก…ไล่ถามคนเฒ่าคนแก่ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับปู่ของนาย…วิธีที่สอง ไปดูบันทึกที่โบสถ์ แต่เก็บไว้เป็นวิธีสุดท้ายจริงๆ”
นึกขึ้นได้ว่าตนเพิ่งเปิดโปงกิจกามของหลวงพ่อ ลูเมี่ยนเชื่อว่าพักนี้ควรหลีกเลี่ยงการเข้าโบสถ์ ยกเว้นในสถานการณ์คับขัน
ในหมู่บ้านอย่างกอร์ตูที่มีโบสถ์เพียงแห่งเดียว เนื่องด้วยภาวะขาดแคลนเจ้าหน้าที่ ทางโบสถ์จึงเข้ามาช่วยงานด้านการปกครองในบางเรื่อง เช่นจดบันทึกการสมรส จดบันทึกการฝังศพ
โดยไม่รอให้แรมงด์ถาม ลูเมี่ยนเสริมต่อ
“แยกย้ายกันไปหาว่ามีผู้สูงอายุคนใดเข้าข่ายบ้าง แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปคุยกับพวกเขา”
“อื้อ!” แรมงด์ตกปากรับคำทันที
…
ในบ้านสองชั้นครึ่งรวมใต้ดิน
ได้ฟังเรื่องราวจากลูเมี่ยน โอลัวร์ตรวจสอบไพ่ ‘เจ็ดไม้’ อย่างใกล้ชิดแล้วจึงพูด
“เป็นแค่ไพ่ธรรมดาจริงๆ นั่นแหละ…จับสัมผัสของคำสาปหรือสิ่งแปลกปลอมไม่ได้เลย”
“โอลัวร์ เอ่อ…พี่…คิดว่าเจตนาของคนต่างถิ่นคืออะไร? เธอคนนั้นรู้ความฝันของฉันได้ยังไง?” ลูเมี่ยนถาม
โอลัวร์ส่ายศีรษะ
“ไม่ต้องกังวลไป ทางนั้นทำตัวค่อนข้างเปิดเผย”
“ฉันจะคอย ‘จับตา’ ดูเธออย่างใกล้ชิดไปอีกสักพัก”
“แล้วก็…นายเก็บไพ่ใบนี้ไว้ก่อน อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะคอยสอดส่องให้เอง”
“ตกลง” ลูเมี่ยนพยายามทำตัวผ่อนคลาย
…
กลางดึกสงัด
ลูเมี่ยนสอดไพ่ ‘เจ็ดไม้’ ไว้ในเสื้อที่แขวนอยู่บนเก้าอี้ ก้าวขึ้นเตียงแล้วหลับตานอน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ลูเมี่ยนในสภาวะสะลึมสะลือ เห็นสายหมอกสีเทาอีกครั้ง
ทันใดนั้น เขาสะดุ้งตื่น กลายเป็น ‘มีสติ’ ในความฝัน
ทุกสิ่งดูคมชัดไปเสียหมด
แต่ความฝันที่เต็มไปด้วยหมอกสีเทายังคงอยู่
…………………………………………..