ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 494 ข้อมูลที่ ‘ขโมย’ มา (จบบท)
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 494 ข้อมูลที่ ‘ขโมย’ มา (จบบท)
ตอนที่ 494 ข้อมูลที่ ‘ขโมย’ มา (จบบท)
เมฆทะมึนเหนือทรีอาร์สลายตัวไปแล้ว แสงจันทร์สีชาดสาดส่องทั่วทุกซอกมุมของเมือง สะท้อนให้เห็นน้ำท่วมสูงถึงน่อง
ลูเมี่ยนกับฟรังก้าปรากฏกาย ณ ริมดาดฟ้าของตึกแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าพวกเขาคือ ‘เมจิกเชี่ยน’ ที่ลอยกลางอากาศพร้อมกับกองสิ่งของ ด้านข้างคือจินนากับอ็องโตนี ที่คล้ายกับรายล้อมด้วยกระจกสลัว ดวงตาจ้องมองไปยังสักแห่งหนหนึ่ง
โดยไม่รอให้ลูเมี่ยนถาม ‘เมจิกเชี่ยน’ กล่าวอย่างรำพึง
“เมดีซีกลับมาเป็นราชาเทวทูตอีกครั้งแล้ว”
“นักวางแผน ผู้เคยถูกขนานนามว่าแข็งแกร่งที่สุดเป็นช่วงเวลานาน หวนกลับมาอีกครั้ง”
“เทวทูตสีชาด ผู้เคยติดตามเทพสุริยันบรรพกาล เมดีซี ผู้ตายด้วยน้ำมือจักรพรรดิโลหิต?” ลูเมี่ยนทั้งประหลาดใจและไม่ประหลาดใจนัก
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความลับของตระกูลเซารอน รวมถึงทรีอาร์ยุคที่สี่ เทวทูตแห่งเส้นทางนักล่าจะไม่เข้าร่วมได้อย่างไร?
การมีตัวตนของอัลบัส·เมดีซี คือหลักฐานในตัวเองอยู่แล้ว!
ก่อนหน้านี้ ลูเมี่ยนเคยคิดว่า ‘พิธีกรรมหอพัก’ ที่ถูกดำเนินการอย่างซ่อนเร้น แถมยังถูกเร่งให้เร็วขึ้น อาจทำให้ ‘เทวทูตสีชาด’ ไม่ทันได้ใช้อิทธิพล แต่ถ้าคำนึงจากผลลัพธ์ ดูเหมือนพระองค์จะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย
มาดามเมจิกเชี่ยนดูผ่อนคลายพอสมควร หัวเราะในคอก่อนจะกล่าว
“ประโยคหลังนั่น เธอไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ เพราะมันเหมือนว่าเธอกำลังท้าทายพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อในมือขวายังมีตราประทับออร่าของจักรพรรดิโลหิตอยู่”
ฟรังก้า ผู้เคยได้ยินลูเมี่ยนเล่าเรื่องตระกูลเมดีซีมาบ้าง ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เทวทูตสีชาดผู้นั้นทำอะไรหรือ?”
ขณะพูด เธอเหลือบมองจินนากับอ็องโตนี พบว่าทั้งสองมิได้ฟังบทสนทนาระหว่างเธอกับลูเมี่ยนและมาดามเมจิกเชี่ยน ไม่ได้มองมาทางนี้ด้วยซ้ำ ราวกับถูกขังอยู่ในโลกอีกใบ
ด้านหลังเธอ น้ำท่วมบนดาดฟ้ากำลังลดระดับลงทีละนิด เสียงน้ำไหลดังซู่ซ่าจากท่อระบายน้ำไม่หยุดหย่อน
มาดามเมจิกเชี่ยนถอนหายใจ
“ขณะเทวทูตของตระกูลไอน์ฮอร์น กับยอดฝีมือของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก ร่วมมือกับสมบัติปิดผนึกและอำนาจพิเศษในทรีอาร์ยุคที่สี่ ใกล้จะโค่นฟอม็องดา·เซารอนผู้คลุ้มคลั่งลงได้ พระองค์ก็ฉวยโอกาสลงมือในจังหวะเหมาะเจาะ ยุติการต่อสู้ทั้งหมด และได้ครอบครองตะกอนพลังลำดับ 1 ก้อนนั้นไป”
“ท้องฟ้าสีเลือด กับฝนเพลิงสีขาวโชติช่วงที่พวกเธอเห็น คือการเปลี่ยนแปลงอันมีสาเหตุมาจาก พระองค์ได้กลับมาเป็นราชาเทวทูตอีกครั้งภายในทรีอาร์ยุคที่สี่”
อย่างนี้นี่เอง…ลูเมี่ยนนึกย้อนถึงฉากเมื่อสักครู่ เริ่มเข้าใจถึงความน่าสะพรึงกลัวและความทรงพลังของราชาเทวทูตอย่างเป็นรูปธรรม
ขณะนี้ สองเท้าของเด็กหนุ่มปราศจากรองเท้าและถุงเท้า เนื่องจากถูกย้ายเข้าไปในโลกภาพวาดขณะกำลังนอนหลับ รองเท้าถุงเท้าที่สวมใส่หลังจากนั้น ล้วนถูกวาดขึ้นมาทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอนว่าดำรงอยู่ได้ไม่นาน
เด็กหนุ่มถามอย่างครุ่นคิด
“คนยักษ์ที่ร้องคำรามนั่น คือฟอม็องดา·เซารอนผู้คลุ้มคลั่ง?”
ถึงว่า ลำพังเสียงคำรามก็ทำให้พวกเขาแทบหมดสติ โชคยังดี หมอกสีเทาของมิสเตอร์ฟูลช่วยปกป้องไว้
“ถูกต้อง ฟอม็องดา·เซารอนคลุ้มคลั่ง แล้วเข้าไปในคูหาใต้ดินที่เป็นตราผนึก นั่นคือจุดเริ่มต้นความเสื่อมโทรมของตระกูลเซารอน แม้ว่าเรื่องนี้จะยังมีรายละเอียดแปลกๆ อีกมาก แต่สถานการณ์โดยรวมก็ถือว่ากระจ่างแล้ว”
เทวทูตของตระกูลไอน์ฮอร์น…หนึ่งในจุดประสงค์หลักของเอโลอีส·ไอน์ฮอร์น กับชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก คือการเปิดผนึก ล่าฟอม็องดา·เซารอนผู้คลุ้มคลั่ง แล้วครอบครองตะกอนพลังลำดับ 1 ก้อนนั้น? ลูเมี่ยนพยักหน้าแผ่วเบา พลางถามอย่างไม่แน่ใจนัก
“ยอดฝีมือพวกนั้น เข้าไปในทรีอาร์ยุคที่สี่ผ่านพิธีกรรมหอพักทุกคนเลยหรือ?”
“ส่วนใหญ่เข้าไปผ่านจุดรั่วใต้ดินของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ที่เปิดโดยพิธีกรรมหอพัก ส่วนผู้นั้นจากตระกูลไอน์ฮอร์น เข้าไปผ่านจุดรั่วในส่วนลึกของคูหาใต้ดินปราสาทหงส์แดง แต่ก็ถือว่าอาศัยปฏิกิริยาลูกโซ่จากพิธีกรรมหอพักเช่นกัน ส่วนเทวทูตสีชาดเข้าไปอย่างไร ตอนนี้ฉันยังหาคำตอบไม่ได้” มาดามเมจิกเชี่ยนทำสีหน้าจริงจัง “แต่มีเหตุผลให้เชื่อว่า พิธีกรรมหอพักคือแผนการของเทวทูตสีชาด พระองค์ใช้ประโยชน์จากชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก ใช้ประโยชน์จากการ์ดเนอร์·มาร์ติน…สมแล้วที่เคยสั่งสอนและดูแลอามุนด์มาก่อน”
ลูเมี่ยนฟังแล้วกระจ่างแจ้งทันที เริ่มพบว่ารายละเอียดในหลายจุดดูสมเหตุสมผลมากขึ้น
อารมณ์ของฟรังก้ากลับทวีความซับซ้อน
มาดามเมจิกเชี่ยนมองทั้งสองคนครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างปลอบประโลม
“แต่อย่างไรเสีย ความเคลื่อนไหวของพวกเราก็ช่วยให้พิธีกรรมหอพักต้องเกิดขึ้นก่อนกำหนดอย่างเร่งรีบ ส่งผลให้กรุงทรีอาร์เสียหายน้อยลง จำกัดวงเหลือเพียงเขตตลาด ช่วยให้ผู้ประสบเคราะห์กรรมมีแค่เจ้าหน้าที่เวรยามไม่มากนักในตลาดคนซื่อ ท่าเรือริสต์ และจุดสำคัญอื่น ส่วนบริเวณข้างเคียงก็มีทหารเสียชีวิตไปบ้าง โดยรวมแล้ว ความเสียหายส่วนใหญ่จะเกิดกับเศรษฐกิจ หรือกล่าวคือ ความพยายามของพวกเราล้วนเกิดคุณค่า”
พูดถึงตรงนี้ เธอหัวเราะเยาะตัวเอง แหงนหน้ามองท้องฟ้า
“สิ่งเดียวที่เราคาดไม่ถึงคือ พระองค์เหล่านั้นร่วมมือกัน”
พระองค์เหล่านั้น…ลูเมี่ยนกับฟรังก้าพึมพำในใจ
พวกเขาอยากรู้เป็นอย่างยิ่ง ว่าใครร่วมมือกับเทวทูตสีชาด แต่ชัดเจนว่ามาดามเมจิกเชี่ยนไม่คิดจะเล่า
สุภาพสตรีท่านนี้เหลือบมองชุดเกราะสีเงิน ซากศพของการ์ดเนอร์·มาร์ติน รวมถึงสิ่งของต่างๆ ที่จินนาวางลงขณะต่อสู้เมื่อครู่ ซึ่งล้วนกำลังลอยอยู่ข้างกายตน แล้วพูดยิ้มๆ
“ฉันจะช่วยขจัดมลทินที่ปนเปื้อนพวกมันให้ รวมถึงแจงแจกรายละเอียดการใช้งาน ถือเป็นรางวัลพิเศษจากภารกิจนี้”
“อา…มลทินบนขลุ่ยกระดูกนั่น ฉันแนะนำให้เก็บไว้ก่อน อำนาจของมันค่อนข้างพิสดาร อย่างไรเสีย ในเมื่อมีตะกอนพลังของการ์ดเนอร์·มาร์ตินอยู่แล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องใช้ของฟิลิปอีก และความพิเศษในตัวเธอก็สามารถบรรเทาผลข้างเคียงเชิงลบของขลุ่ยกระดูกได้ในระดับหนึ่ง”
ประโยคหลังนี้ เธอพูดพลางมองหน้าลูเมี่ยน
เมื่อเห็นลูเมี่ยนพยักหน้ารับ เมจิกเชี่ยนกล่าวต่อไป
“กล่องไม้นี้เป็น กล่องมืด’ ชนิดหนึ่ง ไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ แต่ในสถานการณ์พิเศษ มันสามารถแก้ปัญหามากมายที่ไม่อาจแก้ด้วยกำลัง สำหรับรายละเอียด ฉันจะเขียนเป็นเอกสาร แล้วให้ผู้ส่งสารนำมาส่ง”
“เศษกระจกที่การ์ดเนอร์ในกระจกทิ้งไว้ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโลกในกระจกในทรีอาร์ยุคที่สี่ สัญชาตญาณของฉันบอกว่า มันอาจเกี่ยวข้องกับสถานะปัจจุบันของนางมารต้นกำเนิด”
“สำหรับชุดเกราะตัวนี้ ก็ถือว่ามีความพิเศษอยู่บ้าง สวมใส่แล้วจะได้พานพบกับบางสิ่ง หึๆ เคยลองจินตนาการว่าตัวเองกลายเป็นสาวสวยหรือหนุ่มหล่อสูงสี่ห้าเมตรกันไหม?”
หลังจากแนะนำข้อมูลเบื้องต้นของวัตถุแบบทีเล่นทีจริง เมจิกเชี่ยนก็พยักหน้าแผ่วเบา
“ไว้ฉันจัดการเสร็จ จะส่งพวกมันกลับไปพร้อมกับเอกสาร และแนบรางวัลอย่างเป็นทางการมาด้วย”
“เจ็ดไม้ เธอต้องออกจากทรีอาร์สักพัก ภารกิจของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กถือว่าสิ้นสุดแล้ว สิ่งเดียวที่เธอต้องทำคือ ไปแจ้งกับมิสเตอร์ท่านนั้นสักคำ ฉันเชื่อว่าเขาจะเข้าใจและยอมรับ”
ลูเมี่ยนยังไม่ลืมว่า หายนะสองครั้งติดๆ ในกรุงทรีอาร์ล้วนเกี่ยวข้องกับตน จึง ‘อืม’ รับในลำคอก่อนจะพูด
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน กะว่าจะไปตามหาสมาชิกของ ‘วันเอพริลฟูล’ คนอื่นๆ ด้วย”
เมจิกเชี่ยนจึงหันไปมองฟรังก้า
“งานถัดไปของเธอขึ้นอยู่กับท่าทีของนิกายนางมาร เมื่อถึงเวลานั้น อย่าลืมรายงานต่ออาร์คาน่าใหญ่ของเธอ”
หลังจากฟรังก้าตอบรับ มาดามท่านนี้เหลือบมองอ็องโตนีกับจินนา
“เมื่อเรื่องซาลงแล้ว ลองถามพวกเขาว่าอยากจั่วไพ่อาร์คาน่าเล็กเพื่อเป็นสมาชิกของชุมนุมทาโรต์หรือไม่ ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้องฝืน ฉันจะให้พวกเขารักษาความลับ”
“เป็นไพ่อาร์คาน่าเล็กใต้บังคับบัญชาของท่านหรือ?” ฟรังก้าถามอย่างดีใจ
เมจิกเชี่ยนยิ้มแล้วตอบ
“ไม่แน่เสมอไป แล้วแต่ฟ้าจะลิขิต”
จากนั้น เธอหันไปพูดกับลูเมี่ยน
“เธอยังไม่ต้องรีบออกจากเมือง ช่วงนี้ซ่อนตัวไปก่อน รออีกสักสองสามวันค่อยเคลื่อนไหว แต่ก่อนอื่น ให้กลับไปยังโรงแรมระกาทอง ฉันเห็นโชคชะตากำลังรอเธออยู่ที่นั่น”
โชคชะตา? ลูเมี่ยนเต็มไปด้วยคำถาม แต่เห็นได้ชัดว่ามาดามเมจิกเชี่ยนไม่คิดจะอธิบาย หรือบางที เธออาจเห็นแค่เค้าลาง โดยปราศจากรายละเอียดเชิงลึก
วินาทีถัดมา มาดามเมจิกเชี่ยน รวมถึงวัตถุรอบกายเธอ ถูกห่อหุ้มด้วยแสงดาวพราวพราย แล้วก็หายไปกลางอากาศ
“ยังกับฝันไปเลย…” ฟรังก้าอุทานด้วยความชื่นชมจากก้นบึ้ง
เธอเอียงศีรษะ พูดกับลูเมี่ยนอย่างครุ่นคิด
“ไม่แน่ว่า มาดามเมจิกเชี่ยนอาจเป็น ‘เทวทูตดารา’ ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรก็ได้นะ?”
“คงไม่หรอก…” ลูเมี่ยนโต้แย้งตามความเคยชิน แล้วก็จมอยู่ในภวังค์ความคิด
……….
ถนนอลเวง โรงแรมระกาทอง
ลูเมี่ยนเพิ่งเดินขึ้นชั้นสอง ก็เห็นร่างหนึ่งนั่งยองๆ อยู่หน้าประตูห้องของตน
เป็นเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบ มีแก้มอวบอิ่ม ท่าทางใสซื่อ สะพายกระเป๋าสีแดงเข้ม
ลุดวิก? ลูกบุญธรรมประหลาดของบารอนบรินิแยร์? ลูเมี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินเข้าไปหา
“นายมีธุระอะไร?”
ลุดวิกผมสีเหลือง ตาสีน้ำตาล ลุกพรวดขึ้นยืน พูดอย่างโหยหา
“คุณช่วยพาผมออกจากทรีอาร์ได้ไหม? ผมไม่อยากอยู่ในศาสนจักรแห่งความรู้อีกแล้ว ไม่อยากฟังคำสั่งบรินิแยร์อีกแล้ว ไม่อยากทำการบ้านและข้อสอบอีกแล้ว ผมจ่ายค่าตอบแทนให้คุณได้นะ!”
“ค่าตอบแทน?” ลูเมี่ยนเลิกคิ้ว
นี่คือโชคชะตาที่มาดามเมจิกเชี่ยนพูดถึง?
ลุดวิกพยักหน้าหนักแน่น
“ใช่ครับ”
เขารีบถอดกระเป๋าหนังสีแดงเข้ม ที่สะพายอยู่ตลอดเวลา เปิดมันออก แล้วดึงปึกกระดาษออกมา
“ผมขโม…เอ่อ หยิบสิ่งนี้มาจากศาสนจักรแห่งความรู้”
ลูเมี่ยนยื่นมือรับมา สายตากวาดมองหน้าแรก
“หมายเลข: 01”
“ชื่อ: ธงแห่งเทพผู้ร่วงหล่น, ธงโลหิตซาลินเจอร์”
“ระดับอันตราย: ‘0’ อันตรายยิ่งยวด ระดับความสำคัญสูงสุด ระดับความลับสูงสุด ห้ามสอบถาม ห้ามเผยแพร่ ห้ามบรรยาย ห้ามสอดแนม”
ข้อมูลสมบัติปิดผนึกระดับ ‘0’ ? แถมยังเป็น ‘0-01’ อีกต่างหาก! ขมับและเปลือกตาของลูเมี่ยนกระตุกพร้อมกัน
เด็กหนุ่มทราบดีว่า ศาสนจักรได้ปิดผนึกสมบัติวิเศษจำนวนไม่น้อย ที่ล้วนมีอันตรายสูง และมีผลข้างเคียงเชิงลบรุนแรง แบ่งออกเป็น 4 ระดับ โดย ‘3’ ต่ำสุด ‘0’ สูงสุด ส่วนระดับ ‘1’ มักหมายถึง สมบัติที่สามารถคุกคามนักบุญและก่อให้เกิดหายนะใหญ่หลวง จึงสามารถจินตนาการได้ว่าระดับ ‘0’ ร้ายแรงเพียงใด
ลูเมี่ยนเงยหน้าขึ้นทันที จ้องตาลุดวิก พบว่าใบหน้าของเด็กชายคนนี้เปี่ยมไปด้วยความเว้าวอน มิได้แฝงความผิดปกติอื่นใด
เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง รีบอ่านเนื้อหาด้านหลัง
“ระดับความลับ: มีเพียงทูตแห่งเทพเท่านั้นที่สามารถเข้าใจ”
“วิธีปิดผนึก: วางไว้ในอนุสาวรีย์บรรจุศพใต้ดิน รายล้อมด้วยทหารหุ่นจำนวนมาก สร้างสุสานที่มีซากศพมากกว่าหนึ่งล้านไว้ด้านบน และเสริมด้วยเมืองของจริง ซึ่งมีประชากรมากกว่าหนึ่งแสนคน วิธีการดำเนินการและพิธีกรรมอย่างละเอียดประกอบด้วย…”
“คำอธิบาย: เป็นธงที่ถูกเผา เสาธงเป็นโลหะสีดำเหล็ก บนผืนธงมีดวงเลือดอันตรายจำนวนมาก”
“…ผู้วิเศษลำดับ 5 ขึ้นไปไม่สามารถเข้าใกล้ได้ คำเตือน ผู้วิเศษลำดับ 5 ขึ้นไปไม่สามารถเข้าใกล้ได้!”
“…เจ้าหน้าที่ทดลอง ผู้รับผิดชอบการเปลี่ยนทหารหุ่นต้องปิดตา พร้อมกับถือตะเกียงหนึ่งดวง…หากตะเกียงดับ เจ้าหน้าที่ทดลองคนนั้นจะหายตัวไปทันที ทุกคนที่รู้จักเขาจะเชื่อพร้อมกันว่าเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว…หากไม่ปิดตา สิ่งที่ออกจากอนุสาวรีย์บรรจุศพ จะเป็นสัตว์ประหลาดที่เหมือนกับเขา…”
“…เมืองเนรเทศโมโรลาบนพื้นดิน มักประสบกับสภาพอากาศสุดขั้วบ่อยครั้ง เช่นพายุลมกระโชก ฝนตกหนัก แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เป็นต้น…”
“…พื้นที่รอบโมโรลาแต่เดิมไม่มีภูเขาไฟ…”
“…ชาวเมืองโมโรลามีนิสัยก้าวร้าวผิดปกติ ทุกวันเต็มไปด้วยการประลองนองเลือด มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมาย การประท้วงและจลาจลเกิดขึ้นมากกว่าหกครั้งต่อปี…”
“…ชาวเมืองโมโรลาไม่คิดจะออกจากเมือง ไม่ว่าจะในเวลาใด…”
“…ตามการคาดเดาของตำราโบราณบางเล่ม มันเคยเป็นประจักษ์พยานการล่มสลายของเทพแท้จริงอย่างน้อยสององค์…”
บัดซบ! เราอ่านของพวกนี้ได้จริงหรือ? ลูเมี่ยนยิ่งอ่านก็ยิ่งตกตะลึง
เขามองลุดวิกด้วยความฉงนระคนแปลกใจ แล้วถามอีกครั้ง
“นายขโมยมันมาจริงหรือ?”
เอกสารระดับนี้ นึกจะขโมยก็ทำได้เลยหรือ?
ลุดวิก ผู้มีรูปลักษณ์เหมือนเด็กน้อย อยากโต้แย้งว่าไม่ใช่การขโมย ตนแค่หยิบมา แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับอย่างใสซื่อ
“ครับ”
ลูเมี่ยนขมวดคิ้ว มองตาเด็กชายตรงหน้า พลางดำดิ่งลงสู่ภวังค์ความคิดอันลึกล้ำ
(จบบท)
……………………………………………………..