ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 493 นรกสีแดงฉาน
ตอนที่ 493 นรกสีแดงฉาน
…………….
ผ่านไปสักระยะ ขณะวิ่งไปตามทรีอาร์ยุคที่สี่อันเงียบสงัด รกร้าง และเสื่อมโทรม บาดแผลตรงท้องของลูเมี่ยนก็ถูกเยียวยาด้วยอำนาจการฟื้นฟูอันทรงพลัง อาการคงไม่แย่ลงไปอีกสักระยะ
ภายใต้แสงอาทิตย์ เด็กหนุ่มกับพวกฟรังก้าหลงทิศโดยสิ้นเชิง ในบางครั้ง เมื่อเดินเข้าไปในถนนแคบๆ ที่พังทลายไปกว่าครึ่ง ฉากตรงหน้ากลับเป็นกลุ่มอาคารหรูหราสีแดงฉาน ในบางครั้ง เมื่อมองเห็นจุดสังเกตแล้วเดินไปทางนั้น พวกเขากลับยิ่งห่างออกไปทุกขณะ ไม่ว่าจะเปลี่ยนทิศทางอย่างไร
โชคยังดี พวกเขาสี่คนเกาะกลุ่มกันตลอด ไม่มีใคร ‘หลงทาง’ ไม่มีใครแยกจากกลุ่ม
ขณะลูเมี่ยนรู้สึกว่าเพียงพอแล้ว และเตรียมจะหาจุดซ่อนตัว พวกเขาก็เห็นอนุภาคแสงนับไม่ถ้วน กำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงหน้า
ดูเหมือนว่า พลังนี้จะถูก ‘ส่ง’ มาจากจุดห่างไกล เนื่องจากทรีอาร์ยุคที่สี่ถูกบางสิ่งกระตุ้น
สำหรับพวกลูเมี่ยน พายุแสงอันน่าหวาดหวั่นนี้มิใช่ของแปลกใหม่ ทุกคนเคยเผชิญหน้ากับมันแล้วบนทุ่งร้าง เป็นพลังจากชุดเกราะเต็มยศสีเงินวาวของการ์ดเนอร์·มาร์ติน
การ์ดเนอร์·มาร์ติน? ลูเมี่ยนหยุดฝีเท้าทันเวลา มิได้พุ่งเข้าไปในพายุแสง ที่แม้จะอ่อนกำลังลงแล้วแต่ก็ยังอันตรายอยู่มาก
สีหน้าของฟรังก้าแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อน ไม่รู้ว่านี่ถือเป็นโชคดีหรือร้าย
เมื่อแสงสว่างเริ่มซาลง เธอเห็นการ์ดเนอร์·มาร์ตินลากศีรษะพร้อมกระดูกสันหลังยาวโชกเลือด เธอเห็นคนรักเก่ารายนี้ กะบังหมวกแตกร้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยแผลไหม้เกรียมอันน่าขนลุก กะโหลกด้านข้างยุบและแตกพร้อมกับหมวก เผยให้เห็นเนื้อสมองสีเทาขาว ดวงตากำลังมองมาทางพวกตน แต่ดูว่างเปล่าไม่จดจ่อ ดูเหม่อลอย ประหนึ่งศีรษะถูกปะทะอย่างหนัก จนสมองได้รับการกระทบกระเทือน
ศัตรูของการ์ดเนอร์·มาร์ตินคือร่างกายของเขาเอง สวมชุดเกราะสีเงินเต็มยศ ร่างกายปราศจากศีรษะ ตรงคอมีรอยตัดชุ่มเลือด
ร่างนั้นกำลังยกสองมือ รวมพลังสร้างขวานยักษ์จากแสงสว่าง
อาวุธประเภทนี้มิอาจใช้เพื่อปลดปล่อย ‘พายุแสง’ แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับการต่อสู้ปกติ
ฟรังก้ามองใบหน้าอันน่าเวทนา ที่ตนคุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคย พลางถอนหายใจยาว หยิบกระจกออกมาบานหนึ่ง แล้วส่องไปทางนั้น
ขณะนี้ การ์ดเนอร์·มาร์ตินได้สติกลับคืนมาบ้าง ภาพบนกระจกตาของเขา นอกจากร่างไร้ศีรษะของตัวเอง ก็คือนัยน์ตาสีทะเลสาบอันงดงามของฟรังก้า ที่ดูเหมือนปราศจากความรู้สึก
ฟรังก้านำมือขวาที่ลุกไหม้ด้วยเพลิงทมิฬ วางลงบนกระจกที่สะท้อนภาพศีรษะการ์ดเนอร์·มาร์ติน พร้อมกับกล่าวเสียงแผ่วเบา
“ฉันจะช่วยให้คุณหลุดพ้นเอง”
การ์ดเนอร์·มาร์ติน ผู้ยังไม่ทันได้ฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์ จากการโจมตีอันหนักหน่วงโดยร่างกายตัวเอง ถูกเพลิงทมิฬห่อหุ้มไว้ทันที พลังวิญญาณลุกไหม้จากภายในสู่ภายนอก
เขาอยากจะร้องโหยหวน แต่ก็ไม่อาจเปล่งเสียง เขาอยากจะวิงวอนขอความช่วยเหลือจากเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ อาศัยความพิเศษของตน ปลุกเศษเสี้ยวพลังจากทรีอาร์ยุคที่สี่ แต่ก็ไม่มีการตอบสนอง
โผละ! การ์ดเนอร์·มาร์ตินผู้ไร้เศียร โบกขวานยักษ์แห่งแสง ฟันสับใส่ใบหน้าของศีรษะตัวเอง ทำลายกะบังหมวกที่ชำรุดทรุดโทรมจนแตกละเอียด คมขวานเจาะเข้าไปในกะโหลก
ลูเมี่ยนก้าวเท้าไปด้านข้างแล้วยกมือขวาขึ้น ปล่อยลูกไฟสีแดงเกือบขาวพุ่งออกไปดุจดังกระสุนปืนใหญ่ ถล่มใส่กะโหลกศีรษะอันเสื่อมโทรมของการ์ดเนอร์·มาร์ติน
มันตกลงบนช่องว่าง แล้วเกิดระเบิดดังสนั่น ฉีกเนื้อสมองสีเทาที่ปราศจากการป้องกันจนแหลกลาญ
ท่ามกลางการโจมตีต่อเนื่องจากร่างกายตัวเอง จากคนรัก และจากผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาบนศีรษะของการ์ดเนอร์·มาร์ตินได้แต่เบิกโพลง ฉาบล้นด้วยความเกลียดชังระคนเจ็บปวด
ตุ้บ! ศีรษะดังกล่าวหลุดออกจากหมวกเกราะ ตกลงบนพื้นในสภาพพังยับเยิน ไม่หลงเหลือลมหายใจแห่งชีวิต ปราศจากความเคลื่อนไหวทั้งปวง
ขณะหมวกสีเงินตกลงพื้นดังแคร้ง กายเนื้อของการ์ดเนอร์·มาร์ตินผู้สวมชุดเกราะเต็มยศ เริ่มหันกลับมา เงื้อขวานยักษ์แห่งแสงในมือ วิ่งปรี่เข้าหาพวกลูเมี่ยน
ได้เห็นภาพนี้ ลูเมี่ยนย่อตัวลงเล็กน้อย ก้าวยาวๆ เข้าไปต้อนรับขับสู้
ทุกก้าวย่างของเด็กหนุ่ม ร่างกายคล้ายกับขยายใหญ่ทีละนิด พอเข้าใกล้การ์ดเนอร์·มาร์ตินผู้ไร้เศียร เสื้อผ้ากับกางเกงก็เริ่มตึงแน่นแล้ว
พลังของ ‘นักพรต’!
ก่อนหน้านี้ ขณะซ่อนตัวอยู่ตรงริมขอบทรีอาร์ยุคที่สี่ ลูเมี่ยนได้ ‘สั่งสม’ พลังไว้บ้าง บัดนี้ถึงคราวระเบิดออกมาใช้งาน
เด็กหนุ่มมิได้สั่งสมพลังไว้มากนัก แต่ก็ช่วยให้เกิดความเปลี่ยนแปลงพอสมควร เมื่อผนวกกับการเพิ่มความเร็ว ความคล่องตัว และสมรรถภาพร่างกายจาก ‘ลูกศรผู้กระหายเลือด’ เขามั่นใจว่าตนสามารถต้านรับการโจมตีถัดไปของการ์ดเนอร์·มาร์ตินในชุดเกราะสีเงินไหว
เมื่อทั้งสองฝ่ายใกล้ปะทะกัน ลูเมี่ยนก็มุดหลบอย่างคล่องแคล่ว ปล่อยให้ขวานยักษ์แห่งแสงฟันผ่านด้านหน้าไป พร้อมกับชกหมัดใส่ข้อมือของการ์ดเนอร์ผู้ไร้เศียร
เกิดเสียงปะทะดังหนักแน่น การ์ดเนอร์ผู้ไร้เศียรโยนขวานยักษ์แห่งแสงทิ้งทันที กำหมัดที่สวมถุงมือโลหะ แล้วชกสวนใส่หมัดของลูเมี่ยน
ร่างของลูเมี่ยนสั่นสะเทือนแผ่วเบา ส่วนการ์ดเนอร์ผู้ไร้เศียรกลับยังปักหลักแน่นิ่ง ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
ลูเมี่ยนชักหมัดซ้ายกลับ แล้วแบมือออก สะบัดไปมาในอากาศเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด พร้อมกับชกหมัดขวาออกไป
ขณะเดียวกัน ฟรังก้า ผู้เริ่มซ่อนตัวหลังจากลูเมี่ยนวิ่งเข้าใส่การ์ดเนอร์ไร้เศียร เผยกายอีกครั้งด้านหลังศัตรู ผู้สวมชุดเกราะเต็มยศสีเงินวาว
หญิงสาวยกแหวนสีดำเหล็กบนนิ้วหัวแม่มือซ้ายขึ้น ดวงตาเปล่งประกายแวบวาบ ดุจดังอสนีบาตสองสาย
เธอไม่ทราบว่ากายเนื้อไร้เศียรยังได้รับอิทธิพลจาก ‘ทะลวงจิต’ อยู่หรือไม่ แต่คิดว่าน่าจะได้ เพราะขอแค่ยังมีพลังวิญญาณ ก็ย่อมต้องได้รับผลกระทบจาก ‘ทะลวงจิต’
เพียงพริบตา การ์ดเนอร์ไร้เศียรก็แน่นิ่งไป เนื้อหนังที่เผยให้เห็นผ่านรอยชำรุดตรงคอกับส่วนอก เกิดอาการชักกระตุก
จินนา ผู้ช้ากว่าฟรังก้าเล็กน้อยเพราะต้องเสียเวลาท่องคาถากับโปรยวัสดุ ก็ตามมาถึงแล้วเช่นกัน เธอเผยกายในตำแหน่งที่ไม่ใกล้การ์ดเนอร์ไร้เศียรจนเกินไป เสกเพลิงทมิฬขึ้นมาหลายดวง นำมารวมกันแล้วยิงออกไป ตกใส่ลำคอสีแดงโชกเลือดของศัตรู ที่ตอนนี้ไม่ได้รับการคุ้มครองจากชุดเกราะสีเงิน แผดเผาพลังวิญญาณของศัตรู ผู้กำลังตกอยู่ในภวังค์ความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส
ตึง ตึง ตึง! อ็องโตนี·รีดวิ่งตัดหน้าจินนาไป ย่นระยะห่างระหว่างตนกับการ์ดเนอร์ไร้เศียรให้ใกล้เพียงพอ
จากนั้น รูม่านตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นแนวตั้ง อนุภาคแสงสีทองอ่อนเริ่มลอยขึ้นมา
ก่อโรคประสาท!
ทันใดนั้น เปลวไฟหลายสายก็ปะทุออกจากร่างไร้เศียรในชุดเกราะเต็มยศสีเงิน เผาไหม้เลือดเนื้อของตัวเอง
พอลูเมี่ยนเห็นแบบนั้น ก็เอนกายไปด้านหลัง ใช้เท้าขวาออกแรงถีบพื้น ส่งร่างกาย ‘ลอย’ ไปในทิศตรงข้ามกับการ์ดเนอร์ไร้เศียร พร้อมกับเสกลูกไฟขนาดเล็กสีแดงเกือบขาวหลายลูกรอบตัว
ลูกไฟเหล่านี้พุ่งแหวกอากาศดังหวีดหวิว บินเข้าไปในร่างศัตรูฝั่งตรงข้ามผ่านรอยขาดตรงคอ ที่ปราศจากการป้องกัน ลูกแล้วลูกเล่า
บึ้มบึ้มบึ้ม!
ลูกไฟเหล่านี้ระเบิดจากภายในสู่ภายนอก จนชุดเกราะสีเงินเต็มยศสั่นสะเทือนหนักหน่วง จนร่างไร้เศียรนั่นกลายเป็นเศษเลือดเนื้อสีดำไหม้เกรียม ‘ฉาบ’ อยู่ทั่วผิวด้านในชุดเกราะ
บึ้ม!
ลูเมี่ยน ผู้กำลังลอยไปด้านหลัง ถูกแรงระเบิดผลักให้ไกลออกไปอีก จนกระทั่งตกลงบนพื้น
ขณะเดียวกัน ชุดเกราะเต็มยศสีเงินวาว ก็ร่วงหล่นกระแทกพื้นประหนึ่งภูเขาถล่ม
ลูเมี่ยนเพิ่งลุกขึ้นมา เตรียมกล่าวชมการประสานงานของพวกฟรังก้า ก็พลันตระหนักได้ว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด
น้ำฝนหยดหนึ่งตกลงมา
ไม่ใช่ มันไม่ใช่น้ำฝน แต่เป็นไฟ ไฟสีขาวโชติช่วง
ท่ามกลางสายฝนเปลวไฟ ยังมีหยดเลือดสดตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
ฟรังก้ารีบกลิ้งไปทางอาคารด้านข้าง อาศัยชายคาที่ยื่นออกมา เป็นกำบังหลบการเผาไหม้จากฝนไฟสีขาวโชติช่วง ลูเมี่ยน จินนา กับอ็องโตนีต่างก็เคลื่อนไหวแบบเดียวกัน
เปลวไฟสีขาวโชติช่วง กับหยดเลือดสีแดงสด ยิ่งนานไปก็ยิ่งตกถี่ ฉาบย้อมบริเวณโดยรอบให้เป็นสีแดง แผดเผาอาคารบ้านเรือนจนมอดไหม้
อาคารที่ลุกไหม้เชื่อมต่อกันเป็นผืนเดียว กลายเป็นทะเลเพลิง
ขณะลูเมี่ยนไตร่ตรองอย่างจริงจังว่า ควรกระตุ้นออร่าของ ‘จักรพรรดิโลหิต’ ดีหรือไม่ เผื่อว่าอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้บ้าง จนพวกตนพบลู่ทางในการเอาตัวรวด ร่างของ ‘มาดามเมจิกเชี่ยน’ สวมเสื้อเชิ้ตผูกโบกับกระโปรงยาวสีเบจ ก็พลันปรากฏในการมองเห็น
เด็กหนุ่มรู้สึกโล่งอกทันที
แสงดาวสุกสกาวเริ่มสว่างไสว พาพวกเขากับสิ่งของบนพื้น เช่น ‘ชุดเกราะอหังการ’ ศพของการ์ดเนอร์·มาร์ติน และอื่นๆ อันตรธานไปจากถนนสายนี้ เข้าสู่ม่านวังวนสีทองที่เล็กลงเรื่อยๆ บนท้องฟ้า
……….
เปลวไฟสีขาวโชติช่วงพร้อมเลือดสด ตกลงมาเหมือนห่าฝน แต่กลับทะลุผ่านร่างแบร์นาแดต·กุสตาฟไป โดยไม่สามารถจุดไฟเผาพระองค์ได้
เทวทูตองค์นี้ ประหนึ่งกลายเป็นสิ่งที่ไร้ตัวตน
พระองค์ยังคงสังเกตหมอกสีเทาหนาทึบ สังเกตสารพัดมลทินภายในเมืองต่อไป จนกระทั่งผ่านไปสักพัก จึงค่อยเปลี่ยนให้ร่างกายโปร่งแสง กลายเป็นกลุ่มฟองอากาศสะท้อนแสงไฟ
ฟองกระจายออก แบร์นาแดตก็ออกจากทรีอาร์ยุคที่สี่ไป
…………
สองสุภาพสตรีผู้มีบรรยากาศโดดเด่น นัยน์ตาเย้ายวนใจ เพิ่งจะเข้าใกล้หมอกสีเทาขาวหนาทึบดุจดังกำแพง ก็พบว่าท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีของเลือด มีเปลวไฟสีขาวโชติช่วงตกลงมาหนาแน่นปานสายฝน
ขณะพวกเธอเตรียมหากำบังซ่อนกาย กระจกตาก็พลันสะท้อนภาพดวงอาทิตย์สีทองอร่าม
พริบตาเดียว สุภาพสตรีทั้งสองก็ถูกชำระล้างอย่างสมบูรณ์
ตามจุดต่างๆ ในทรีอาร์ยุคที่สี่ บรรดาแขกของ ‘หอพัก’ ที่ย่างกรายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ หากไม่เกิดความผิดปกติกับร่างกาย จนต้องตายในร่างสัตว์ประหลาดไปก่อนแล้ว ก็ล้วนถูกเปลวไฟสีขาวโชติช่วงเผาไหม้ หรือไม่ก็ได้เห็นดวงอาทิตย์ทั้งสิ้น
…………
คุณนายปัวริสกำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้านไม่สมมาตรหลังหนึ่ง ซึ่งยังมีสภาพค่อนข้างดี
เธอเห็นแสงอาทิตย์อยู่ไกลๆ เห็นเปลวไฟสีขาวโชติช่วงแผดเผาอาคารใกล้เคียงทีละหลังสองหลัง แต่ความมืดลึกล้ำภายในประตู ก็น่าประหวั่นพรั่นพรึงเสียจนเธอไม่กล้าเข้าไปหลบภัย
ทันใดนั้น ศีรษะของหญิงสาวพลันปวดร้าวรุนแรง พร้อมกับได้ยินเสียงทารกร้องไห้กระจองอแง ใกล้เคียงกับเสียงลวงตา ดังก้องกังวานภายในโสตประสาท
นั่นคือเสียงร้องของลูกเธอเอง มันเปรียบดังส่วนหนึ่งของความทรงจำ และคล้ายกับดังอยู่ไม่ไกล
คุณนายปัวริสเดินตามความรู้สึกประหลาดนั้น เข้าไปในความมืดอันไร้ก้นบึ้งด้านหลังประตู
…………
ท่ามกลางเปลวไฟสีขาวโชติช่วงที่โปรยปรายลงมา อัวซอง·ซ็องซง ผู้ยืนอยู่บนซากลานกว้างแห่งหนึ่ง ก็ถูกเปลวไฟแผดเผาเช่นกัน แต่เพียงพริบตาก็กลับเป็นปกติ
ทันใดนั้น เขามองเห็นชะตากรรม เห็นว่าตนกำลังจะถูกดวงอาทิตย์ชำระล้าง
มันเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายกิ้งก่า โปร่งแสงและเลือนราง
ดวงตาเย็นชาของกิ้งก่า กำลังจ้องมองเขาอย่างเงียบงัน
…………
ในทรีอาร์ยุคที่สี่ อาคารบ้านเรือนหลายหลังถูกเปลวไฟสีขาวโชติช่วงเผาไหม้ ถูกย้อมแดงด้วยฝนเลือด ก่อนจะถูกเผาซ้ำจนดำเกรียม
‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซี สวมชุดเกราะสีดำเปื้อนเลือด เดินจากทุ่งร้างเข้าสู่มหานคร ที่ทั้งงดงามและเต็มไปด้วยนัยแห่งการทำลายล้าง
พระองค์เดินผ่านบ้านเรือนไหม้ที่เกรียมและพังถล่ม เดินผ่านเปลวไฟสีขาวโชติช่วง ที่ร่วงหล่นลงมาทีละหยดสองหยด เดินผ่านหยาดฝนคล้ายเลือดสด บนใบหน้าไม่เก็บซ่อนรอยยิ้มแม้แต่น้อย
บาดแผลเน่าลึกถึงกระดูกสองแห่ง ที่ยังหลงเหลือบนใบหน้าของพระองค์ บัดนี้เริ่มสมานจนหายดี เหลือเพียงร่องรอยคล้ายปาก
โครม
เปลวไฟและเลือดสด ยังคงโปรยปรายจากฟากฟ้าดุจดังน้ำตก ทั้งส่องสว่างทรีอาร์ยุคที่สี่ ทั้งท่วมท้นซากปรักหักพังนี้ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นนรกสีแดงฉาน
หลังผ่านไป 2,081 ปี เมดีซีกลับมาเป็นราชาเทวทูตอีกครั้ง
……………………………………………………..