ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 492 หยิ่งผยอง
ตอนที่ 492 หยิ่งผยอง
…………….
เมื่อเผชิญการโจมตีจากเหล่ายอดฝีมือ รวมถึงสนาร์เนอร์และดีสต์ ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีมิได้ลงมือตอบโต้ ยังคงจดจ่อเจตจำนงแห่งการพิชิตอยู่กับฟอม็องดา·เซารอน พลางฟันดาบยักษ์ที่ประกอบจากเปลวไฟสีม่วงบริสุทธิ์ ลงบนศีรษะอีกฝ่าย
พระองค์ต้องการฉวยโอกาสขณะ ‘ยักษ์แห่งหายนะ’ ผู้คลุ้มคลั่ง ตกอยู่ในสภาพอ่อนแอสุดขีดหลังจากถูกรุมกระหน่ำโจมตีมายาวนาน เพื่อทำการโจมตีครั้งสุดท้าย และยังเป็นดาบที่หนักหน่วงที่สุด!
ทันใดนั้น แสงอันเจิดจ้าพลันสว่างขึ้นตรงหน้าสนาร์เนอร์ ดีสต์ และเหล่ายอดฝีมือ เป็นแสงอาทิตย์บริสุทธิ์ ปราศจากความมืดมิดใดๆ
สิ่งนี้ช่วยขับไล่ความสกปรกโสมมทั้งปวง ขับไล่โลหิตทั้งหมด พร้อมกับทำให้สองเทวทูตที่แปลงร่างเป็นสัตว์ในตำนานแล้ว ถูกเปิดเผยต่อหน้าดวงอาทิตย์แท้จริงในระยะใกล้
สตรีผู้ก้าวออกจากแสง แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีขาวปักด้ายทองอร่าม ทั้งบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทั้งสะสวยสง่างาม
นักบุญวีฟ เทวทูตผู้พิทักษ์แห่งทรีอาร์!
พระองค์ช่วย ‘เทวทูตสีชาด’ ป้องกันการโจมตีจากเหล่ายอดฝีมือ
แทบจะในเวลาเดียวกัน เมดีซีในชุดเกราะสีดำเปื้อนเลือด ก็ทิ้งตัวลงมาราวกับขุนเขาหล่นทับ ปักดาบยักษ์สีม่วงในมือลงบนศีรษะฟอม็องดา·เซารอน ทะลวงกะโหลกโลหะที่เริ่มละลายเพราะแสงแดด
บึ้ม!
แรงระเบิดยุบตัวเข้าด้านใน ดูดกลืนปรากฏการณ์ผิดปกติรอบข้างทั้งหมด ไม่ว่าจะเปลวไฟ พายุ สายฟ้า ลูกเห็บ หรือแสงอาทิตย์ เข้าสู่ร่างของยักษ์แห่งหายนะ จนทั่วทุ่งร้างกลับมาสะอาดสะอ้าน เหลือเพียงม่านวังวนเคลือบสีทองบนท้องฟ้า แฝงตัวอยู่ท่ามกลางเปลวไฟไร้รูป
บึ้ม!
หลังจากยุบตัวถึงขีดสุด ก็เกิดการขยายตัว เกิดการกระจายออกอย่างฉับพลัน พายุอันบ้าคลั่งฉีกร่างโครงกระดูกไหม้เกรียมของฟอม็องดา·เซารอนทันที เปลี่ยนสภาพแวดล้อมสว่างไสวก่อนหน้านี้ ให้กลับมามืดมนหม่นหมองตามเดิม
ซู่ซ่า! สายฝนโปรยปรายราวกับสายน้ำหลาก อสนีบาตฟาดผ่าไม่ขาดสาย เสียงฟ้าร้องอันน่าพรั่นพรึงดังกังวานไม่หยุดหย่อน
เทวทูตองค์หนึ่ง ถึงคราวร่วงหล่น
ผู้พิชิตผู้หนึ่ง ถึงคราวสิ้นชีพ
สนาร์เนอร์ ดีสต์ และเหล่ายอดฝีมือ ที่เพิ่งฝ่าด่านการขัดขวางของนักบุญวีฟมาได้ ทันเห็นภาพนี้เข้าพอดี ทันเห็นร่างของฟอม็องดา·เซารอนถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เห็น ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซี ผู้อยู่ในร่างสัตว์ในตำนานเช่นกัน ชักดาบยักษ์เพลิงม่วงกลับมา หันกายกลับหลัง มองมาทางพวกตนด้วยสายตาเยาะหยันดูแคลน
สนาร์เนอร์·ไอน์ฮอร์นหรี่ตาลง ชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะแปลงกายเป็นลำแสงเปลวเพลิง พุ่งขึ้นฟ้าเป็นเส้นตรง แหวกเข้าไปในม่านวังวนมหึมาอันเกิดจากเปลวไฟไร้รูป
พระองค์พบว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ต่อให้ผนึกกำลังกับคนของ ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ ก็ไม่มีทางเอาชนะ ‘เทวทูตสีชาด’ กับนักบุญวีฟได้แน่นอน
ฝ่ายแรกชัดเจนว่าเป็น ‘ผู้พิชิต’ ลำดับ 1 แล้ว อีกทั้ง ภายใต้สภาพแวดล้อมพิเศษนี้ ดูเหมือนเขาจะใช้พลังอันน่าพรั่นพรึงจากส่วนลึกของทรีอาร์ยุคที่สี่ได้บางส่วนด้วย!
ด้วยข้อสรุปข้างต้น หากเห็นสมควรถอนกำลังก็ต้องถอน สมควรหนีก็ต้องหนี มิฉะนั้นอาจทำให้ตนร่วงหล่นที่นี่ไปอีกคน!
ขณะสนาร์เนอร์พุ่งผ่านม่านวังวนมหึมาบนท้องฟ้า ดีสต์ก็แปลงกายเป็นสายรุ้งลอยขึ้น พาโทนี่·ทเวนหนีออกจากทุ่งร้าง ไล่ตาม ‘จอมอาคมลมฟ้าอากาศ’ แห่งตระกูลไอน์ฮอร์นไป
เทวทูตเหล่านี้อยู่บนเส้นทาง ‘นักล่า’ เหมือนกัน การสรุปสถานการณ์และทางเลือกของเหล่าพระองค์ นับว่าคล้ายคลึงกันจนน่าตกใจ
‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีเห็นภาพเหล่านี้ กลับมิได้พยายามขัดขวาง เพียงหัวเราะแผ่วเบาพลางกล่าวกับตัวเอง
“ท่าทางการหนีของทายาทเจ้า ช่างเหมือนกับเจ้าในอดีตเสียจริง”
จากนั้น พระองค์หันไปทางนักบุญวีฟ ยิ้มพร้อมกับกล่าว
“เอาล่ะ เราก็เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของแผนกันเถอะ กำจัดพวกผู้รับพรจากเทพภายนอกให้สิ้นซาก”
นักบุญวีฟพยักหน้ารับ พร้อมกับแผ่รังสีอันเจิดจ้า บินไปทางทรีอาร์ยุคที่สี่ซึ่งปกคลุมด้วยหมอกสีเทา ราวกับกำลังไล่ตามดวงอาทิตย์
…………
ณ ส่วนลึกสุดของทรีอาร์ยุคที่สี่ ข้างหมอกสีเทาหนาแน่นปานกำแพง
แบร์นาแดต·กุสตาฟ ธิดาคนโตของจักรพรรดิโรซายล์ จ้องมองตราผนึกด้วยดวงตาคล้ายกับท่วมท้นไปด้วยอักขระลึกลับนับไม่ถ้วน
บนฝ่ามือพระองค์ เหนือตะเกียงสีทองรูปทรงคล้ายกาน้ำจิ๋ว ร่างสีทองอ่อนปรากฏกายอีกครั้งผ่านแสงสว่างเหนียวหนืด
มันกล่าวกับแบร์นาแดต
“เดินหน้าต่อไป ใช้วิธีที่ข้าเคยบอก หาสัตว์ประหลาดสักตัวมา ‘แทน’ เจ้าในการสวดวิงวอนถึงข้า ทางนี้สามารถใช้ ‘อำนาจมืด’ เพื่อให้เจ้าได้รับบางสิ่งจากภายในนี้ ซึ่งจะช่วยสร้างสมดุลกับมลทินในตัวบิดาเจ้า”
แบร์นาแดตไม่ได้ก้าวต่อไป เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“การมาเยือนครั้งนี้ ข้าเพียงต้องการวิเคราะห์ตราผนึก วิเคราะห์ว่ามลทินสารพัดชนิดภายในนี้ ก่อตัวเป็นสมดุลอันละเอียดอ่อนได้อย่างไร หลังจากผสมผสานและต่อต้านกันมาหลายปี”
“เสียงถอนหายใจเมื่อครู่ เป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น”
“เวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้าเจ้าไม่กล้าหาญอีกสักนิด รอจนกระทั่ง ‘เทวมารดาเสื่อมทราม’ เข้าสู่บาเรีย บิดาของเจ้าก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง” ร่างสีทองอ่อนอันคลุมเครือบิดเบี้ยว ตักเตือนด้วยน้ำเสียงสง่างาม
แบร์นาแดตไม่ตอบสนอง ยังคงดูดซับความรู้เกี่ยวกับผนึกต่อไป
ร่างสีทองอ่อนเงียบลง ไม่ได้ชักชวนอีก กลับเข้าไปในตะเกียงรูปทรงประหลาดนั่น
…………
ศีรษะของการ์ดเนอร์·มาร์ติน สวมหมวกเกราะสีเงินวาว ลากกระดูกสันหลังโชกเลือดลอยขึ้นสู่กลางอากาศ
เขามองลงไป พอดีเห็นร่างกายตัวเอง ตรงคอมีแผลฉกรรจ์เลือดอาบ กำลังรวบรวมพลังสร้างดาบยักษ์แห่งแสงในฝ่ามือ
เขา ไม่สิ ร่างกายของเขา สามารถใช้ ‘พายุแสง’ ของ ‘ชุดเกราะอหังการ’ ได้อีกครั้ง!
และเป้าหมายครั้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นศีรษะของเขาเอง!
น…นี่คือคำสาปแห่งการทรยศ? ร่างกายกำลังทรยศต่อศีรษะ…ทำไมถึงมีการทรยศอีกล่ะ? เป็นเพราะเราสวมใส่ ‘ชุดเกราะอหังการ’ นานเกินไปหรือ? การ์ดเนอร์·มาร์ตินม่านตาขยาย ในใจท่วมท้นด้วยความหวาดกลัว
เขารวบรวมลูกไฟสีแดงเข้มเกือบขาวนับไม่ถ้วน พยายามสร้างม่านระเบิดเพื่อลดแรงปะทะจาก ‘พายุแสง’ ขณะเดียวกันก็ถ่ายพลังวิญญาณสู่หว่างคิ้ว พยายามติดต่อกับเจตจำนงอันยิ่งใหญ่นั่น วิงวอนขอพรคุ้มครองจากพระองค์
…………
ด้านข้างกายเนื้อที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ของฟอม็องดา·เซารอน ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซียื่นมือขวาออกไป มองดูแสงสว่างอันเกิดจากเหล็กและเลือดระคนกัน ทยอยลอยออกจากศพ ‘ผู้พิชิต’ รายนี้ ตกลงบน ‘กะโหลกแตก’ ในฝ่ามือตน
ทันใดนั้น พระองค์ได้ยินเสียงวิงวอน เสียงเรียกหาจากการ์ดเนอร์·มาร์ติน
‘เทวทูตสีชาด’ เปล่งเสียงหัวเราะในลำคอโดยไม่แยแส
หมากตัวนี้ทำภารกิจของมันลุล่วงแล้ว ไม่มีประโยชน์อันใดอีก
การ์ดเนอร์·มาร์ตินมิได้ยอมจำนนต่อเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ในส่วนลึกของทรีอาร์ยุคที่สี่ แต่เป็นพระองค์ — ‘เทวทูตสีชาด’ ต่างหาก!
ในช่วงหลายปีมานี้ ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีคอยเร้นกายในเงามืด วางแผนช่วงชิงตะกอนพลังลำดับ 1 ‘ผู้พิชิต’ ที่สูญหายไปของตระกูลเซารอน เพื่อการนั้น พระองค์อาศัยความพิเศษ อาศัยศักดิ์ของตน แอบช่วยเหลือสมาชิกหลายคนใน ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ ให้ยังมีสติและเหตุผลเมื่อเผชิญกับมลทินจากบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด ไม่กลายเป็นสัตว์ประหลาด ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จากนั้น พระองค์อาศัยความพิเศษของตน สวมรอยเป็นเจตจำนงอันยิ่งใหญ่จากส่วนลึกของทรีอาร์ยุคที่สี่ หลอกใช้สมาชิก ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ กลุ่มดังกล่าว เพื่อรับรู้ข่าวสารใต้ดิน รวมถึงพิกัดชัดเจนของฟอม็องดา·เซารอน
ระหว่างกระบวนการ พระองค์พบปัญหาของ ‘โลกในกระจก’ แต่มิได้รบกวนหรือแทรกแซง กลับช่วยผลักดันให้แผนการนั้นลุล่วง แถมยังตั้งใจดึงเหล่าผู้รับพรเทพมารในกรุงทรีอาร์เข้ามาพัวพัน หวังให้พวกนั้นช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของกลุ่มอำนาจอื่น พร้อมกับรีดผลประโยชน์ออกมาจนหยดสุดท้าย อีกทั้งยังได้วิเคราะห์เบื้องต้น ว่ามีปัญหาใดซุกซ่อนอยู่
ขณะแผนการดำเนินไปอย่างมั่นคง ฟิลิปได้แจ้งเรื่องของลูเมี่ยน·ลีให้การ์ดเนอร์·มาร์ตินทราบ และแน่นอน ฝ่ายหลังได้สวดวิงวอนถึงเจตจำนงอันยิ่งใหญ่
‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีถือโอกาสนี้ช่วยปรับปรุงแผนให้ดีขึ้น ด้วยการส่ง ‘วิวรณ์’ ไปถึงการ์ดเนอร์·มาร์ติน มอบความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับก้อนใหญ่ จนฝ่ายหลังสามารถ ‘คิด’ พิธีกรรมหอพักได้เอง
แผนนี้มีข้อดีสองประการ หนึ่ง เคลื่อนไหวน้อยกว่า มีโอกาสสำเร็จสูงกว่า สอง สามารถ ‘หลอก’ ผู้รับพรจากเทพมารแถวหน้าในกรุงทรีอาร์ให้เข้ามาในทรีอาร์ยุคที่สี่ได้ทั้งหมด จับได้ในคราวเดียว กำจัดในครั้งเดียว ชำระล้างให้สิ้นซาก!
มองดูตะกอนพลังตกผลึกอย่างรวดเร็วบนฝ่ามือ ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีเงยหน้าขึ้น เห็นม่านวังวนสีทองค่อยๆ หัวตัวเล็กลง
บนใบหน้าที่มีบาดแผลเน่าเปื่อยของพระองค์ รอยยิ้มยิ่งฉีกกว้าง
ไม่ว่าจะแผนการ ‘หอพัก’ หรือแผนการเดิมที่ใช้ประโยชน์จากโลกในกระจก ก็ล้วนต้องพึ่งพาความร่วมมือจากกลุ่มอำนาจหนึ่ง ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเทพแท้จริงองค์หนึ่ง
สุริยันเจิดจรัส!
ใช่แล้ว ‘สุริยัน’ ผู้รังเกียจเดียดฉันท์ความดำมืด ความสกปรก และความต่ำทราม มีหรือจะยอมร่วมมือกับ ‘เทวมารดา’ ผู้เป็นตัวแทนของความต่ำทรามและความชั่วร้ายอันบริสุทธิ์?
สมัยพระองค์ฉวยโอกาสไต่เต้าเป็นเทพ ก็เคยทรยศต่อเจ้านายตัวเอง เนื่องจากไม่ต้องการยอมจำนนต่อเทพองค์ใด แล้วบัดนี้จะยอมจำนนต่อ ‘เทวมารดาเสื่อมทราม’ ผู้เป็นเทพภายนอก หรือยอมจำนนต่อสิ่งมีชีวิตอื่นได้อย่างไร?
สิ่งที่พระองค์ต้องการ สิ่งที่พระองค์ยอมรับได้ มีเพียงสถานะของผู้ร่วมมือเท่านั้น ซึ่งข้าเต็มใจที่จะเป็น ‘ผู้ร่วมมือ’ คนนั้น ต่อให้ภายภาคหน้าจะกลายเป็น ‘วันวาน’ แต่ก็ยังคงยึดมั่นในพันธสัญญานี้ไม่แปรเปลี่ยน จะคอยปกป้องกันและกันในฐานะผู้ร่วมมือตลอดไป
และขณะนี้ ตำแหน่งเทพผู้ครองสนามรบยังว่างอยู่ อีกทั้งสภาพของชีคก็ย่ำแย่มาก ข้าจึงมีโอกาสมากกว่าใคร ในการเลื่อนลำดับเป็นเทพแท้จริง กลายเป็นวันวานในระยะเวลาอันสั้น!
‘สุริยัน’ มิได้สำนึกผิด มิได้ยอมถอดใจ กลับไปอยู่ข้างกายเจ้านายเก่า และมิได้ยอมจำนนต่อ ‘เทวมารดาเสื่อมทราม’ ผู้อยู่เหนือทวยเทพทั้งปวง แต่กลับเลือกหนทางที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน อาจต้องเผชิญกับผลลัพธ์อันเลวร้ายสุดขีด ด้วยการสนับสนุนให้เกิด ‘วันวาน’ องค์ใหม่
นี่เกือบจะเป็นทางเลือกที่แย่ที่สุด แต่พระองค์ก็ยังทำ
นั่นก็เพราะ
พระองค์คือสุริยันผู้หยิ่งผยอง
‘เทวทูตสีชาด’ มองผ่านม่านวังวนสีทอง เห็นพายุฝนบนท้องฟ้าเหนือกรุงทรีอาร์เริ่มสงบ พบว่าความถี่ของอสนีบาตลดลงจากเมื่อครู่มากแล้ว
รอยยิ้มของพระองค์ทวีความภาคภูมิใจ
เป็นไปตามแผนของพระองค์ ตอนนี้ ‘ทรราช’ กับ ‘มังกรเฒ่า’ ต่างก็เข้าใจเรื่องราวแล้ว จึงล้มเลิกความคิดที่จะกำจัด ‘สุริยัน’ ทิ้ง เพื่อป้องกันมิให้สิ่งมีชีวิตผู้สืบทอดมรดกจากเจ้านายเก่าไปมากกว่าใคร ได้ตักตวงผลประโยชน์จากเหตุการณ์นี้
เหล่าพระองค์ต่างก็ปรารถนาจะเห็นวันวานองค์ใหม่ถือกำเนิด
‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีเหลือบมองฝ่ามือตน บนนั้นมีวัตถุสีดำเหล็กคล้ายมงกุฎเปื้อนเลือดกำลังก่อตัว
พระองค์หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต นึกถึงการทรยศที่เพิ่งถูกเปิดโปงเมื่อไม่กี่ปีก่อน การทรยศจากเจ้านาย ที่พระองค์ถวายหัวจงรักภักดีมายาวนานถึง 2,401 ปี
ทางเลือกของพระองค์คือ การไม่ให้อภัย
ทางเลือกของพระองค์คือ ร่วมมือกับ ‘สุริยันเจิดจรัส’
นั่นก็เพราะ
พระองค์คือราชาเทวทูตผู้หยิ่งผยอง
ผู้เคยเป็น ‘เทวทูตสีชาด’ ที่จงรักภักดียิ่งกว่าใคร
เมื่อตะกอนพลังลำดับ 1 ‘ผู้พิชิต’ ตกผลึกเสร็จสมบูรณ์ เมดีซีก็หัวเราะในลำคอพลางกล่าว
“คำสาปของลูกหลานไร้ค่าของเจ้า ถึงคราวยุติลงสักทีนะ”
จากนั้น พระองค์ก็กดมงกุฎเหล็กเปื้อนเลือดที่ทำจากกะโหลกแตก ลงบนหว่างคิ้วของตัวเอง ฮุบกลืนเข้าไปโดยตรง ไม่ต้องปรุงเป็นโอสถ
เลือดและซากศพของฟอม็องดา·เซารอนที่กระจัดกระจายบนทุ่งร้าง ประหนึ่งพวกมันกลับมามีชีวิตจิตใจ แตกสลายเป็นอนุภาค ไหลบ่าเข้าสู่ร่างของ ‘เทวทูตสีชาด’ ราวกับกระแสน้ำ
…………………………………………………….