ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 491 ‘ผู้ช่วย’ ที่ไม่คาดคิด
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 491 ‘ผู้ช่วย’ ที่ไม่คาดคิด
ตอนที่ 491 ‘ผู้ช่วย’ ที่ไม่คาดคิด
…………….
หมอกสีเทาที่ปกคลุมทรีอาร์ยุคที่สี่ แผ่ขยายออกไปถึงเขตทุ่งร้าง ราวกับพยายามสกัดกั้นบางสิ่ง
สนาร์เนอร์ ดีสต์ และเหล่ายอดฝีมือภายในพายุ ต่างรู้สึกถึงกลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงและสูงส่งลึกล้ำ สัญชาตญาณบอกให้รีบก้มศีรษะแสดงความนอบน้อม ประหนึ่ง ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ ผู้ร่วงหล่นในห้วงลึกของทรีอาร์ยุคที่สี่ ได้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง อาจแต่ไม่ได้บ้าคลั่งหรือดุร้ายเท่า แต่แฝงไว้ด้วยความอันตรายและหายนะ
ขณะฝืนต่อต้าน ‘แรงกระหายอยากยอมจำนน’ ไปพลางถอยร่น พวกเขาต่างก็เห็นร่างสวมเกราะสีดำเปื้อนเลือด เห็นบุรุษหนุ่มผมยาวสีแดง บนหน้าผากมีรอยประทับสีเลือดสด
ทุกคนต่างพากันตึงเครียด ชื่อหนึ่งผุดขึ้นในหัวพร้อมกัน
เมดีซี!
‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซี!
ราชาแห่งยุคโบราณ นับตั้งแต่ยุคที่สี่ หรือแม้กระทั่งยุคที่สามซึ่งถูกหายนะกลืนกิน ก็ได้เป็นราชาเทวทูตแล้ว
ราชาเทวทูตคือ ผู้อยู่เหนือลำดับ 1 ‘เทวทูตใหญ่’ แต่ยังไม่ถึงลำดับ 0 ‘เทพแท้จริง’ สำหรับเงื่อนไขในการเป็นราชาเทวทูต บางพระองค์อาจดื่มโอสถลำดับ 1 เข้าไปหลายก้อน หรือครอบครองสิ่งสำคัญสำหรับการเป็นเทพ แต่ยังขาดปัจจัยแวดล้อม จึงยังไม่อาจข้ามเส้นอันแสนสำคัญนี้
‘เทวทูตสีชาด’ คือหนึ่งในราชาเทวทูตแปดองค์ที่เคยรับใช้เทพสุริยันบรรพกาล ถูกอลิสต้า·ทูดอร์สังหารไปในยุคที่สี่ จนฝ่ายหลังได้เป็น ‘จักรพรรดิโลหิต’
แต่ราชาเทวทูตองค์นี้มิได้ร่วงหล่นอย่างสมบูรณ์ พระองค์กลายเป็นวิญญาณมารในสถานที่ลับแห่งหนึ่ง และมีชีวิตอยู่เรื่อยมา เพิ่งเปิดเผยตัวตนอย่างโจ่งแจ้งเมื่อไม่กี่ปีก่อน แล้วเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ในฐานะเทวทูตแห่งเส้นทาง ‘นักล่า’ สนาร์เนอร์กับดีสต์ต่างก็ให้ความสนใจกับประเด็นนี้มาก พวกเขาคอยระแวงอยู่เสมอ ว่าเมดีซีอาจเพ่งเล็งตะกอนพลัง ‘ผู้พิชิต’ เพื่อกลับมาเป็นเทวทูตใหญ่ลำดับ 1 อีกครั้ง
ขณะวางแผนช่วงชิงตะกอนพลัง ‘ผู้พิชิต’ ของฟอม็องดา·เซารอน สนาร์เนอร์กับดีสต์ต่างก็คอยระวังว่า ราชาแห่งยุคโบราณพระองค์นี้ อาจกำลังรอชุบมือเปิบอยู่ ยิ่งอัลบัส·เมดีซีแนะนำตัว พวกพระองค์ก็ยิ่งเพิ่มความระแวดระวัง คอยจับตามองทุกฝีก้าว จนกระทั่งถูกบังคับให้ต้องเริ่มปฏิบัติการก่อนกำหนด แต่จนแล้วจนรอด ‘เทวทูตสีชาด’ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าสู่ตราผนึก อัลบัส·เมดีซีก็ทำตัวปกติดี พวกพระองค์จึงวางใจ
แต่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีก็ปรากฏกาย!
พระองค์มาพร้อมกับกลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงแห่งการพิชิตทุกสิ่ง บินมาอย่างองอาจสง่างามจากห้วงลึกของทรีอาร์ยุคที่สี่ คว้าโอกาสได้อย่างแม่นยำ เพียงการโจมตีเดียวก็ทำให้ฟอม็องดา·เซารอนบาดเจ็บสาหัส
เมดีซีเหลือบมองสนาร์เนอร์กับดีสต์ด้วยสายตาดูแคลน แล้วโยนวัตถุในมือไปทางฟอม็องดา·เซารอน ยักษ์แห่งหายนะผู้กำลังดิ้นรนเพื่อลุกขึ้น
มันคือสายสะดือเปื้อนเลือด
สายสะดือเพิ่งถูกโยนออกไป ก็พลันลุกไหม้ตัวเอง แผ่รัศมีสีทองอร่าม ประหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นดวงตะวันย่อส่วน
บนท้องฟ้าของทรีอาร์บนพื้นดิน ‘ดวงอาทิตย์’ ในวงล้อมของพายุ สายฟ้า และสายฝนโหมกระหน่ำ พลันเปล่งแสงเจิดจ้า จนเกิดช่องว่างท่ามกลางทิวทัศน์ที่ไม่ต่างจากภัยธรรมชาติ
ทารกอวบอ้วน ร่างกายคล้ายกับประกอบจากแสงอาทิตย์บริสุทธิ์ บินออกจากช่องว่างดังกล่าวดุจดังดวงอาทิตย์สีทองอร่าม พุ่งตรงลงสู่ปราสาทหงส์แดงในเขตเอราโต
ดวงอาทิตย์อันเจิดจ้าลัดผ่านท้องฟ้า หลอมละลายยอดแหลม กำแพง และพื้นของปราสาทโบราณ ดิ่งลงสู่ส่วนลึกของคูหาใต้ดิน ลงไปในโลงศพทองสัมฤทธิ์
ไม่ว่าจะลอยผ่านแห่งหนใด ความมืดทุกซอกทุกมุมพลันมลายหาย หัวใจเหี่ยวแห้งกลายเป็นเถ้าถ่าน เอโลอีส·ไอน์ฮอร์น ผู้รออยู่นอกคูหาใต้ดิน หลับตาลงโดยสัญชาตญาณ ร่างกายสั่นสะท้านอย่างมิอาจหักห้าม
‘แฮงแมน’ บนท้องฟ้ามิได้ไล่ตามพระอาทิตย์ที่เริ่มทำลายตัวเองดวงนี้ เพียงลอยอยู่เหนือพายุ เพ่งมองปราสาทหงส์แดงที่ได้รับแผลฉกรรจ์ ไม่มีใครทราบว่ากำลังคิดสิ่งใด
เดนิส ผู้กำลังนำทีมเข้าทำสงครามกับทหารกลายพันธุ์และกองทัพพรรคเผาถ่านที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดในเขตเอราโต พลันลืมตาไม่ขึ้นเพราะแสงจ้า ถึงกับสบถออกมาอย่างเหลืออด
ผู้คนและพวกนอกรีตรอบตัวเขา ต่างก็ตอบสนองคล้ายๆ กัน
ภายในตราผนึกชั้นนอกของทรีอาร์ยุคที่สี่ เปลวไฟล่องหนที่คอยลุกไหม้เงียบงันบนท้องฟ้า พลันเกิดวังวนมหึมา แล้วแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม
ดวงอาทิตย์ตกลงมาจากวังวน มอบความสว่างไสวไปทั่วทุ่งร้างและทรีอาร์ยุคที่สี่ จนดูไม่ต่างจากยามกลางวัน
มันไล่ตามสายสะดือลุกไหม้ ห่อหุ้มฟอม็องดา·เซารอน เทวทูตใหญ่ผู้กำลังบาดเจ็บสาหัส
แสงอาทิตย์ระเบิดออก ไม่หลงเหลือความมืดแม้เพียงเศษเสี้ยว ยักษ์แห่งหายนะอันเกิดจาก ‘ผู้พิชิต’ คลุ้มคลั่ง ส่งเสียงร้องโหยหวนทันที กายเนื้อละลายในพริบตา ถูกชำระล้างเข้าไปถึงแก่น
ทารกผู้กลายเป็นดวงอาทิตย์สลายไป เหลือเพียงพลังตกค้างกำลังเผาไหม้อย่างเจิดจ้า แผ่ความสว่างพร้อมความอบอุ่น
สนาร์เนอร์กับดีสต์ รวมถึงเหล่ายอดฝีมือ ต่างก็เอียงตัวหลบ เปลี่ยนกายเนื้อให้แข็งดั่งเหล็กกล้า ต้านทานแรงปะทะจากแสงอาทิตย์
…………
ภายในทรีอาร์ยุคที่สี่ ซึ่งบัดนี้กำลังสว่างไสว
อัวซอง·ซ็องซง กับคุณนายปัวริส ที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ต่างหลับตาลงพร้อมกัน ประหนึ่งไม่คุ้นชินกับแสงแดดที่ส่องตรงมา
เมื่อการมองเห็นของทั้งสองกลับเป็นปกติ ก็ไม่พบร่างของกันและกันอีกต่อไป ต่างคนต่างอยู่ในมิติแตกต่างจากเดิม คนหนึ่งอยู่บนลานกว้าง มีเสาหินตั้งตระหง่าน อีกคนยืนอยู่บนอาคารสีดำพังทลาย
“นี่มัน…” ผู้ได้รับพรทั้งสอง ที่ต่างก็เข้าถึงเทวบารมีแล้ว ล้วนตกตะลึงเพียงชั่วขณะ ก่อนจะเข้าใจทันทีว่า ต้นเหตุเกิดจากทรีอาร์ยุคที่สี่ถูกกระตุ้นด้วยแสงอาทิตย์สีทอง จนเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดการสลับทิศทาง สลับความวุ่นวายภายในดินแดน
…………
เมื่อการ์ดเนอร์·มาร์ติน ผู้สวมเกราะเต็มตัวสีเงิน มองเห็นหมอกสีเทาที่หนาทึบราวกับกำแพง ในใจพลันยินดีปรีดา
สิ่งที่เขาปรารถนา สิ่งที่เขาต้องการ ล้วนอยู่ที่นั่น
ทันใดนั้น แสงอาทิตย์พลันสาดส่อง เปลี่ยนสภาพแวดล้อมใกล้เข้ายามราตรีให้สว่างไสวไปถ้วนทั่ว
การ์ดเนอร์·มาร์ตินหลับตาลงโดยสัญชาตญาณ พลางชะลอฝีเท้า
จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังกรอบแกรบ
มันมาจากคอของเขา
ท่ามกลางความตกใจ การ์ดเนอร์·มาร์ตินก้มหน้าลง จ้องมองพื้นดินราวกับพยายามปรับสายตาให้ชินกับแสงแดด
พร้อมกันนั้น ความเจ็บปวดรวดร้าว ความเจ็บปวดอันพิลึกพิลั่นพลันแล่นพล่านอย่างน่าฉงนใจ เขาพบว่าระยะห่างจากศีรษะกับหน้าอกของตนเริ่มไกลขึ้น พลางเห็นเลือดพุ่งออกจากรอยขาดตรงคอ ฉาบย้อมทุกสิ่งให้แดงฉาน
เขาเห็นกระดูกสันหลังสีขาวโชกเลือดของตน
ได้ยังไง…การ์ดเนอร์·มาร์ตินขบคิดด้วยความตะลึงเจือหวาดกลัว
เขาเชื่อมาตลอดว่าตนคือคนโปรด เป็นคนพิเศษ ดังนั้น ภายใต้สายตาของเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ในห้วงลึกของทรีอาร์ยุคที่สี่ ต่อให้เข้าไปในบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด ก็เพียงได้รับมลทินเล็กน้อยเท่านั้น และสามารถใช้พลังบางชนิดในทรีอาร์ยุคที่สี่ โดยไม่กลายเป็นสัตว์ประหลาดน่าเกลียดน่ากลัว ที่หัวแยกจากตัวเหมือนโอลเซ่น
แต่ตอนนี้ ศีรษะของเขากลับหลุดออกจากร่างพร้อมกระดูกสันหลัง ทั้งที่อีกนิดเดียวก็จะเข้าใกล้เจตจำนงอันแสนยิ่งใหญ่นั่นแล้ว!
…………
‘มาดามจันทรา’ เจ้าของปีกสีน้ำตาล กรงเล็บเหมือนนก ล้มลงพร้อมกับสายฟ้าสีเงินแวบวาบ
เธอเสียสติอย่างสิ้นเชิงไปก่อน กลายเป็นสัตว์ประหลาดนิ่งงัน ด้วยผลจาก ‘พายุโรคระบาด’ ของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ จากนั้นก็เผชิญกับการโจมตีเก้าครั้งจากเก้าทิศทางของ ‘เมจิกเชี่ยน’
แสงอาทิตย์ส่องลงมา ‘เมจิกเชี่ยน’ หลับตาลงโดยสัญชาตญาณ พร้อมกับใช้มือขวาลากผ่านอากาศ จนความว่างเปล่าเริ่มบิดเบี้ยว กลายเป็นทรงกลมมืดทึบปกคลุมมิดชิด ช่วยปกป้องตัวเอง ‘จัสติส’ และ ‘มาดามจันทรา’ ผู้ชีวิตกำลังไหลทะลักเอาไว้ภายใน เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดกับภาพรวม
…………
ภายในทรงกลม ถักทอจากเส้นผมสีดำหนา จินนา ฟรังก้า และอ็องโตนีต่างก็สัมผัสได้ว่า ด้านนอกมีพายุบุแคม เต็มไปด้วยภัยพิบัติสารพัดชนิด ทำเอาพื้นดินถึงกับสั่นสะเทือน โดมทรงกลมส่ายไปส่ายมา
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไปอย่างเชื่องช้า เส้นผมสีดำขลับคล้ายงูที่ประกอบเข้าด้วยกันเป็นทรงกลมมืดทึบ พลันแยกตัวกะทันหัน จนแสงอาทิตย์สายหนึ่งส่องผ่านด้านบนลงมา
ท่ามกลางแสงแดด จินนากับฟรังก้าได้ยินเสียงลวงตาของสตรีผู้หนึ่งดังแว่วข้างหู
“ปรองดองกับตัวเองในกระจก…”
พร้อมกับเสียงดังกล่าว ผมสีดำเส้นเล็กคล้ายงูก็แตกสลายอย่างสิ้นเชิง เลิกรวมตัวเป็นทรงกลม กลืนหายกลับเข้าไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง
ม่านกระจกสีเข้มรอบๆ ลานกว้างที่พวกฟรังก้ามองเห็นด้วยตาเปล่า แตกออกอย่างไร้เสียงภายใต้แสงแดด ทยอยร่วงกราวแผ่นแล้วแผ่นเล่า
ภายในอาคารข้างเคียงแต่ละหลัง แสงไฟหลายดวงที่เคยถูกจุด บัดนี้อันตรธานไปพร้อมกับเงาคน กลับคืนสู่ความเงียบสงบเฉกเช่นเมื่อครั้งพวกจินนาเพิ่งเข้ามาในซากปรักหักพังครั้งแรก
เมื่ออ็องโตนีปรับสายตาให้ชินกับแสงแดด ก็รีบหันไปมองลูเมี่ยนทันที พบว่าเส้นเลือดที่เคยปูดโปนบนใบหน้าเพื่อนคนนี้ ทุเลาลงไปมากแล้ว สีหน้าแววตาเริ่มไม่บิดเบี้ยวเหมือนเก่า
“อาการคุณเป็นยังไงบ้าง?” อ็องโตนีถามพลางใช้ ‘ปลอบโยน’
หลังจากได้ยินเสียงคำรามไปหลายระลอก สมองของลูเมี่ยนก็ถูกครอบงำด้วยเสียงถอนหายใจของชายในห้องมืด ไม่รู้สึกอีกต่อไปว่ามีกระแสความรู้กับมลทินหลั่งไหลเข้ามา ไม่รู้สึกว่าหัวกำลังจะระเบิด หรือใกล้จะสูญเสียสติสัมปชัญญะ
เด็กหนุ่มกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ยินเสียงถอนหายใจอีกแล้ว ไม่เห็นชายร่างผอมแห้งในชุดประหลาดนั่นอีก
“ดีขึ้นแล้ว” ลูเมี่ยนตอบคำถามอ็องโตนี
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มพึมพำในใจ
“นั่นคือ ‘ปรมาจารย์สวรรค์’ ที่เกราะซ่อนเงาพูดถึงหรือ?”
“การใช้ ‘เนตรสัตย์จริง’ ในนี้อันตรายยิ่งกว่าโลกภายนอกเสียอีก”
ฟรังก้าเก็บถุงมือสนับ ‘ทุบตี’ กับสิ่งของอื่นๆ แล้วเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะโยน ‘ลูกศรผู้กระหายเลือด’ มาให้
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”
“ผลข้างเคียงจากการใช้ ‘เนตรสัตย์จริง’ น่ะ” ลูเมี่ยนรับ ‘ลูกศรผู้กระหายเลือด’ มา ปักใส่หน้าอกตัวเอง แล้วพูดพลางมองกวาดไปรอบตัว “พวกเรารีบเก็บของแล้วรีบย้ายสถานที่กันเถอะ”
ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มใช้ถุงมือสนับ ‘ทุบตี’ โดยหวังดึงดูดความสนใจจากตัวอันตรายเข้ามา สร้างความสับสนอลหม่าน แล้วมองหาโอกาสลงมือ แต่ตอนนี้ การ์ดเนอร์ในกระจกถูกจัดการไปแล้ว ถ้าไม่ย้ายสถานที่ เกรงว่าพวกตนอาจต้องเผชิญกับอันตรายครั้งใหม่!
จินนาไม่มีเวลามัวไตร่ตรองว่า ‘ปรองดองกับตัวเองในกระจก’ คืออะไร มีความหมายอย่างไร เพียงรีบใช้ผ้าคลุมเปื้อนเลือดครึ่งผืนห่อ ‘ขลุ่ยกระดูก’ กับ ‘กล่องไม้’ และของอื่นๆ แล้วตามลูเมี่ยน ฟรังก้า กับอ็องโตนี อ้อมเสาหินสีดำต้นใหญ่ วิ่งอย่างบ้าคลั่งไปในทิศทางสุ่ม
…………
ท่ามกลางแสงอาทิตย์เจิดจรัส เปลวไฟสีม่วงที่เปรียบดังเลือดเนื้อของฟอม็องดา·เซารอน ทยอยดับลงทีละส่วน ใบหน้าบิดเบี้ยวที่สื่อถึงสมาชิกตระกูลเซารอนแต่ละคน ก็ทยอยหายไปทีละหนึ่ง
พระองค์ถือดาบยักษ์ ประกอบจากเปลวไฟสีม่วงบริสุทธิ์ ย่างสามขุมหนึ่งก้าวแล้วฟันใส่ฟอม็องดา·เซารอน ผู้ใกล้ตายอยู่รอมร่อแล้ว
สนาร์เนอร์กับดีสต์ รวมถึงเหล่ายอดฝีมือที่ฟื้นตัวกลับมาบ้างแล้ว แน่นอนว่ายังไม่ยอมยกธงขาว ต่างพากันปรี่เข้าไปขัดขวาง
……………………………………………………..