ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 490 เสียง
ตอนที่ 490 เสียง
เสียงประหลาดในโสตประสาทของลูเมี่ยน ราวกับมาจากสถานที่ไกลอนันต์ ไกลจนไม่มีวันไปถึง
เด็กหนุ่มพลันใจหายวาบ รีบถอด ‘เนตรสัตย์จริง’ ออกทันที แต่เสียงนั้นก็ไม่ได้หายไป
ปึก ปึก ปึก! ราวกับมีก้อนหินสองก้อนกระทบกัน ลูเมี่ยนถึงกับ ‘เห็น’ ประกายไฟพวยพุ่ง เห็นใบไม้แห้งและกิ่งไม้ลุกไหม้ รอบกองไฟมีกระดูกขาวกองพะเนิน เป็นทิวทัศน์ของถ้ำมืดมิดสักแห่ง ไม่รู้ลึกตื้น ด้านนอกถ้ำมีเสียงหอนโหยหวนคล้ายหมาป่า
ตึง ตึง ตึง! กลองหนังใบใหญ่ถูกตีระรัว เสียงเครื่องดนตรีโบราณสารพัดชนิดดังก้องอยู่ข้างหูลูเมี่ยน ทั้งสง่างาม ศักดิ์สิทธิ์ และยิ่งใหญ่ ภาพในสมองของเด็กหนุ่มเริ่มเปลี่ยนไป — บนแท่นบูชาขนาดมหึมากลางทุ่งร้าง ร่างหนึ่งสวมมงกุฎสง่างาม เสื้อคลุมสีดำกว้าง ใบหน้าปกคลุมด้วยสร้อยลูกปัด กำลังเยื้องย่างขึ้นบันไดทีละขั้น ไปสู่จุดสูงสุดของแท่นบูชา รอบตัวเขา ผู้คนแต่งหน้าราวกับปีศาจ ล้วนเต้นรำอย่างบ้าคลั่งตามจังหวะกลอง ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็พลันมืดมิด ประหนึ่งมีใบหน้าโผล่ออกจากเมฆดำลอยต่ำ นักบวชผู้สวมมงกุฎสง่างามเงยหน้าขึ้น จนสร้อยลูกปัดเลื่อนไปด้านข้าง เผยให้เห็นใบหน้าที่ฉาบล้นด้วยความหวาดหวั่น
เสียงแหลมสูง ไกลแสนไกล และเศร้าโศกดังทะลุเมฆลงมา ก้องกังวานไปทั่วผืนแผ่นดิน จิตใจและร่างกายลูเมี่ยนเหมือนถูกสั่นสะเทือนตามไป เบื้องหน้าปรากฏภาพที่ราบสูงอันกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต บนที่ราบสูงดังกล่าว ต้นไม้เหี่ยวเฉา หญ้าเขียวแทบไม่มี เกือบทั้งหมดเป็นดินเหลืองและหินกรวด บนผืนธรณีมีร่องลึกนับไม่ถ้วน ตัดกันไปมาราวกับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าคนชรา แบ่งแยกเมืองร้างอันเงียบสงัดออกจากกัน ในทิวทัศน์ยังมีแม่น้ำสายมหึมาไหลผ่าน ดูยิ่งใหญ่และทรงพลัง แต่ถูกย้อมให้เป็นสีเหลืองขุ่น
เสียงใสนุ่มประหนึ่งไข่มุกตกลงบนจานกระเบื้อง ดังแว่วมาจากตำหนักไม้รูปทรงแปลกตา อาคารรอบข้างกำลังลุกไหม้อย่างโกลาหล มีเสียงตะโกนฆ่าฟันดังเป็นระลอกจากแม่น้ำด้านหน้า ตำหนักเริ่มถูกไฟลามติด เริ่มพังถล่ม แต่นักดนตรีกลับยังไม่หยุดบรรเลง
ท่ามกลางเสียงเพลงอันไพเราะเสนาะหู หญิงสาวในชุดยาวแปลกตายืนอยู่บนเวที ร้องเพลงด้วยสีหน้าสะกดใจ เบื้องล่างเป็นผู้คนนั่งล้อมวง ทุกโต๊ะดื่มเหล้ากันเมามาย ชื่นชมการแสดงใต้แสงไฟสลัว แต่ภายนอกสถานที่ที่ดูเหมือนคาบาเร่ต์นี้ เสียงปืนดังระงมราวพลุ พลเมืองล้มตายเกลื่อนถนน ทหารโหดเหี้ยมวิ่งผ่านไป ใช้ดาบปลายปืนแทงใส่เหล่าผู้ดิ้นรนต่อต้าน อาคารลุกไหม้อยู่ไกลลิบ เปลวเพลิงปะทุสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า…
เสียงเหล่านี้ ภาพเหล่านี้ หลั่งไหลเข้าสู่สมองของลูเมี่ยนดุจดังกระแสน้ำหลาก ดวงตาเริ่มแดงก่ำด้วยเส้นเลือด ศีรษะบวมผิดปกติ ราวกับใกล้ระเบิดเต็มทน ความคิดถูกปั่นป่วนจนยุ่งเหยิงไปหมด
ฟรังก้ากับจินนาไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของลูเมี่ยน เนื่องจากพวกเธอกำลังทุ่มเทสรรพกำลัง เพื่อจัดการกับการ์ดเนอร์·มาร์ตินในกระจก
เริ่มจากฟรังก้า เธอกดเพลิงทมิฬลงบนกระจกที่ทาด้วยเลือดของเป้าหมาย จนมองเห็นศัตรูที่อ่อนแอลงเพราะแรงกระหายถูกจุดระเบิด ถูกเพลิงทมิฬแผดเผาดวงวิญญาณจนเสียหาย
เพล้ง!
การ์ดเนอร์ในกระจกแตกกระจาย ร่างถูกวาดใหม่ไม่ไกลออกไป สายตาไม่เลื่อนลอยอีกต่อไป
ขณะเดียวกัน จินนา ผู้เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงตลอดเวลา หาโอกาสหมุนตัวเพื่อจับภาพเป้าหมาย เมื่อประสบความสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก เธอก็วางกระจกแต่งหน้าที่ทาด้วยเลือดของการ์ดเนอร์ในกระจก ให้นอนราบอยู่บนฝ่ามือ พร้อมกับกดเพลิงทมิฬที่เตรียมไว้ในมืออีกข้างลงไป
การ์ดเนอร์ในกระจกถูกเพลิงทมิฬของนางมารแผดเผาอีกครั้ง ต้องเผชิญคำสาปร้ายแรงอีกหน
เขาแตกกระจายเหมือนเศษกระจกอีกครั้ง ร่างถูกวาดใหม่ข้างเสาสีดำต้นใหญ่
มือขวาของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ท่าทางเหมือนจะหยิบกระจกเงาออกมา โดยหวังใช้มันร่วมกับเล็บ ผม เลือด และสื่อกลางชนิดอื่น เพื่อตัดการเชื่อมโยงระหว่างต้นกำเนิดคำสาปกับตัวเอง
แต่ในเวลาเดียวกัน ฟรังก้า ผู้กำลังเคลื่อนกายไวว่องไม่แพ้กัน เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ยกกระจกในมือขึ้น นำมาสัมผัสกับมืออีกข้างที่ถือถุงมือสนับ ‘ทุบตี’ ซึ่งลุกไหม้ด้วยเพลิงทมิฬ
การ์ดเนอร์ในกระจก ถูกเปลวไฟสีดำกัดกินจากภายในสู่ภายนอก ไม่มีโอกาสใช้กระจกวิเศษเพื่อหลบหนีคำสาป
ด้วยวิธีนี้ ฟรังก้ากับจินนาหมุนเวียนกันลงมือ คนหนึ่งบุก อีกคนถอย คนหนึ่งสาป อีกคนรอ ประหนึ่งกำลังเต้นรำเพลงคู่ประกอบการแสดง
หลังจากสาปสำเร็จอีกห้าหกครั้ง การ์ดเนอร์ในกระจกก็ยืนแน่นิ่งอยู่หน้าเสาหินสีเทา ไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนกระจกอีก
ท่ามกลางเปลวไฟสีดำไร้เสียง เขาอ่อนแอลงตามลำดับ แทบจะไม่หลงเหลือสติสัมปชัญญะแล้ว
ฟรังก้าเห็นดังนั้น ก็รีบทิ้งถุงมือสนับ ‘ทุบตี’ ชัก ‘ปืนกระหน่ำยิง’ ออกมาเล็งเป้าหมายแล้วเหนี่ยวไก
ปัง!
กระสุนสีดำเหล็กพุ่งทะลุศีรษะของการ์ดเนอร์ในกระจก เจาะผ่านกะโหลกเข้าไป ระเบิดหัวสมองกระจัดกระจาย
ร่างของการ์ดเนอร์ในกระจก บัดนี้แทบจะไร้ศีรษะ โงนเงนสองสามทีแล้วล้มลงกับพื้น
ซากศพมลายหายในพริบตา เหลือเพียงเศษกระจกหนึ่งชิ้น ผิวแทบไม่สะท้อนแสง ประหนึ่งถูกทาด้วยสีดำ ดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
อีกด้านหนึ่ง อ็องโตนี·รีดผู้ช่างสังเกต ค้นพบความผิดปกติของลูเมี่ยน จึงวิ่งเข้าไปใกล้ พยายาม ‘ปลอบโยน’ เด็กหนุ่ม แต่ไม่ว่า ‘นักจิตบำบัด’ รายนี้จะพยายามอย่างไร ใบหน้าของลูเมี่ยนก็ยิ่งบิดเบี้ยว เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน ราวกับพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ
“มาดูทางนี้หน่อย!” เหลือบมองด้วยหางตา อ็องโตนีเห็นการ์ดเนอร์ในกระจกถูกกำจัดแล้ว จึงรีบแจ้งฟรังก้ากับจินนา หวังว่านางมารทั้งสองจะมีวิธีแก้ไขความผิดปกติของลูเมี่ยน
แต่ทันใดนั้น เศษกระจกสีดำทึบแผ่นดังกล่าว ก็เปล่งแสงริบหรี่
บรรยากาศรอบๆ พลันมืดสลัวระคนโปร่งใส ราวกับมิติแห่งนี้ถูกบรรจุลงในภาชนะประเภทกระจก
ในส่วนลึกของ ‘ภาชนะกระจก’ อันมืดมิดคลุมเครือ บางสิ่งบางอย่างกำลังโกรธแค้นสุดขีด ถึงกับทำให้อากาศกลายเป็นเหมือนของแข็ง สร้างแรงกดดันจากทุกสารทิศ
แม้จะไม่เห็นสิ่งใด ไม่ได้ยินอะไร แต่ฟรังก้า จินนา และอ็องโตนีต่างก็หวาดผวาจากก้นบึ้งหัวใจ ร่างกายคล้ายกับถูกโยนเข้าถ้ำน้ำแข็ง เย็นยะเยือกไปทุกอณู
ทันใดนั้น พวกเขาได้ยินเสียงถอนหายใจดังแว่วแผ่วเบา เป็นเสียงถอนหายใจของสตรี
เสาสีดำต้นเขื่องใกล้ๆ สว่างขึ้นด้วยแสงสลัว ผมสีดำเส้นเล็กคล้ายงูที่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า ต่างพากันหดกลับ ก่อตัวเป็นกำแพงล้อมรอบลานกว้าง ถักสานกันเป็นก้อนผมทรงกลมสีดำขนาดมหึมา
พวกฟรังก้ารู้สึกสงบลงทันที ไม่ถูกความกลัวครอบงำจิตใจอีกต่อไป ไม่ถูกแช่แข็งจนยกไม่ได้แม้กระทั่งมือตัวเอง
ขณะเดียวกัน ในสมองของลูเมี่ยนยังคงเต็มไปด้วยสารพัดเสียงสารพัดภาพ สติสัมปชัญญะเริ่มถูกความบ้าคลั่งกัดกิน
ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงหนึ่ง
เป็นเสียงถอนหายใจของผู้ชาย
จากนั้น เขาเห็นใบหน้า เห็นร่าง
อีกฝ่ายนั่งขัดสมาธิในห้องเงียบ สวมมงกุฎสูง สวมเสื้อคลุมสีฟ้า
ชายผู้นั้นมีใบหน้างดงามดั่งหยก แต่ในดวงตากลับซ่อนความเศร้าปนความทุกข์อันเหลือล้ำ รูปกายภายนอกดูซูบผอมยิ่ง
เขามองลูเมี่ยน มองภาพเหล่านั้น แล้วหยิบไม้สั้นสีน้ำตาล ฝังด้วยเส้นสายสีขาวนับไม่ถ้วน ซึ่งวางอยู่ข้างกายขึ้นมา
ท่ามกลางเสียงถอนหายใจ เสียงอื่นๆ ในโสตประสาท ภาพอื่นๆ ในทัศนประสาท ล้วนหายไปจนหมดสิ้น
พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องแหลมลึกชวนสยอง ซ้อนทับกัน ราวกับกำลังสาปแช่ง
แม้ลูเมี่ยนจะไม่เข้าใจความหมายของเสียงตะโกน แต่ถ้อยคำเหล่านั้นยังคงก้องกังวานอยู่ในสมอง ในรูปแบบความรู้อันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ช่วยให้เด็กหนุ่มเข้าใจโดยไม่จำเป็นต้องรู้ภาษา
กระแสเสียงซ้อนทับเหล่านั้น กำลังกรีดร้องอย่างแค้นเคืองระคนเกลียดชังด้วยใจความว่า
“ปรมาจารย์สวรรค์!”
…………
ณ ก้นเหวของเหมืองหิน ห้องโถงที่เครื่องจักรเคยทำงานบ้าคลั่ง บัดนี้พังถล่มไปกว่าครึ่ง สมาชิก ‘จิตแห่งจักรกล’ หลายคนได้รับบาดเจ็บมากน้อยแตกต่างกันไป จึงทยอยถอนตัวโดยไม่รอคำสั่ง เพื่อมิให้กระทบกับการต่อสู้ของเพื่อนร่วมทีม
ยักษ์จักรกล โกลด หยุดเคลื่อนไหวกะทันหัน เนื่องจากได้ยินเสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนดังกังวานซ้อนทับกันข้างหู
ท่ามกลางเสียงนั้น มีเสียงถอนหายใจดังลงมาจากเบื้องบน พร้อมกับเสกสรรทุ่งร้างอันคลุมเครือ
บนทุ่งร้าง มีหลายร่างกำลังเดินเตร็ดเตร่ บางคราวก็แหงนมองท้องฟ้าแล้วกรีดร้องออกมา
เห็นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อาร์ชบิชอปฮารามิค มิได้ฉวยโอกาสโจมตียักษ์จักรกลโกลด แต่รีบนำสมาชิก ‘จิตแห่งจักรกล’ ซึ่งเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ถอยออกจากซากห้องโถงใกล้พังทลายนี้ทันที ถอยออกจากทุ่งร้างอันคลุมเครือนั่น
ดวงตาเทียมของยักษ์จักรกลโกลด ข้างหนึ่งคล้ายทับทิม อีกข้างเหมือนมรกต พลันหม่นลง
คล้ายกับสูญสิ้นสติปัญญาไปแล้ว เขาหมุนตัวอย่างเชื่องช้า ย่างกรายเข้าสู่ทุ่งร้างทีละก้าว ประหนึ่งไปรวมกลุ่มกับร่างต่างๆ ที่เดินเตร็ดเตร่ไปมาชั่วนิรันดร์
เดินไปครึ่งทาง ยักษ์จักรกลโกลด หันศีรษะกลับมาท่ามกลางเสียงฟันเฟืองหมุน จ้องมองอาร์ชบิชอปฮารามิคกับพรรคพวก
ใบหน้าอันประกอบจากชิ้นส่วนโลหะ เผยรอยยิ้มที่ยากอธิบาย
วินาทีถัดมา ยักษ์จักรกลโกลดถอนสายตากลับ เดินต่อไปข้างหน้า
ร่างของเขาจางลงตามลำดับ จนกระทั่งเข้าไปในทุ่งร้าง แล้วเลือนหายไปพร้อมกับมัน
…………
ในส่วนลึกของทรีอาร์ยุคที่สี่ ข้างหมอกสีเทาหนาทึบราวกับกำแพง
ร่างของ ‘เมจิกเชี่ยน’ กับ ‘จัสติส’ ปรากฏขึ้น สายตาจับจ้องไปยัง ‘มาดามจันทรา’ ผู้สูญเสียผ้าคลุมหน้าและมีแววตางุนงง
สุภาพสตรีผู้ฟูมฟักเทพ ผู้รับพรจาก ‘องค์มารดาผู้ยิ่งใหญ่’ ยืนอยู่หน้าหมอกสีเทา เงาของเธอมีสีดำเกรียม
เมื่อเห็นภาพนี้ ‘เมจิกเชี่ยน’ กับ ‘จัสติส’ ต่างประหลาดใจ
เกือบจะพร้อมกัน หมอกสีเทาหนาทึบราวกับกำแพงพองตัวขึ้น ประหนึ่งหัวใจกำลังสูบฉีด
ตามมาด้วยบรรยากาศอันสูงส่ง มองลงมาจากเหนือสรรพสิ่ง ทำให้ผู้คนอยากยอมจำนน กดทับเสียงถอนหายใจอันก้องกังวานก่อนหน้านี้ให้เบาลง
หมอกสีเทารอบๆ เริ่มบ้าคลั่งตาม แผ่ขยายออกไปทุกทิศทุกทางอีกครั้ง เพิ่มความหนาแน่นให้หมอกสีเทาทั่วทั้งทรีอาร์ยุคที่สี่
“พระองค์?”
“ที่แท้ก็เป็นพระองค์?”
‘จัสติส’ กับ ‘เมจิกเชี่ยน’ พึมพำเสียงค่อย เนื่องจากไม่ใช่เป้าหมายที่ถูกเพ่งเล็ง พวกเธอจึงยังทนต่อผลข้างเคียงเชิงลบไหว ลงมือต่อไปได้
‘มาดามจันทรา’ ในสภาพงุนงง ถูกห่อหุ้มด้วยแสงดาวเจิดจ้าทันที
…………
บนทุ่งร้าง สนาร์เนอร์·ไอน์ฮอร์น กับดีสต์ ประธานชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก รวมถึงยอดฝีมือรายอื่น สามารถสะกดเทวทูตฟอม็องดา·เซารอน ผู้คลุ้มคลั่งกลายเป็นยักษ์แห่งหายนะได้อีกครั้ง แต่ฝ่ายพวกเขาเองก็ถูกโต้กลับจนต้องถอยร่น ไม่สามารถฉวยโอกาส
ทันใดนั้น หมอกสีเทาที่ปกคลุมซากทรีอาร์ยุคที่สี่ พลันปั่นป่วนผันผวนอย่างบ้าคลั่ง ราวกับทั่วทั้งเมืองมีชีวิตชีวาขึ้นมา
หมอกสีเทาที่ปั่นป่วนยุ่งเหยิง ยืดยาวปลายแหลม ดุจดังหอกคมกริบที่สามารถป่นภูเขาให้เป็นจุณ พุ่งไปทางฟอม็องดา·เซารอนที่ถูกสะกดอยู่
เพียงพริบตา หอกยาวอันเกิดจากหมอกสีเทาพลันลุกไหม้อย่างบ้าคลั่ง แปรเปลี่ยนเป็นสีม่วง แผ่บรรยากาศอันสูงส่ง ราวกับจะพิชิตทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะสนาร์เนอร์·ไอน์ฮอร์น ดีสต์ หรือคนอื่นๆ หรือแม้แต่ฟอม็องดา·เซารอนเอง ขณะนี้ต่างก็เหมือนได้เห็นนครในสายหมอก ทั้งกายใจถูกข่มขวัญจนสั่นสะท้าน ไม่กล้าต่อต้านชั่วขณะ
หอกเพลิงสีม่วงอันเจิดจ้าแหวกอากาศผ่านทางไกล เสียบร่างของฟอม็องดา·เซารอน ยักษ์แห่งหายนะ ผู้ถูกสะกดจนไม่อาจขยับเขยื้อน ตอกลิ่มเข้าไปบนแผ่นอก ตรึงร่างพระองค์ไว้บนทุ่งร้าง
เปลวไฟสีม่วงกระจายออก ร่างหนึ่งลุกขึ้นจากท่าคุกเข่าข้างเดียว
เขาสวมชุดเกราะสีดำเปื้อนเลือด เรือนผมสีแดงยาว หล่อเหลาเยาว์วัย แต่บนแก้มสองข้างมีบาดแผลเน่าเปื่อยจนเห็นกระดูก หว่างคิ้วมีรอยประทับสีแดงคล้ายธงโบกสะบัด สีแดงสดราวกับจะหยดออกมา
……………………………………………………..