ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 480 ‘นักพรต’
ตอนที่ 480 ‘นักพรต’
ท่ามกลางเสียงคำรามอันบ้าคลั่งและน่าพรั่นพรึง ในบริเวณที่สภาพอากาศแปรปรวนผิดวิสัย พายุลมกระโชกก่อตัวขึ้น หอบเอาควัน เปลวไฟ ฟ้าแลบ และลูกเห็บ หมุนวนลอยขึ้นฟ้า เชื่อมต่อกับเปลวไฟล่องหนที่ลุกไหม้อย่างเงียบงันอยู่ตรงนั้น
ไม่ไกลจากพายุลมกระโชกที่ดูเหมือนทูตแห่งวันโลกาวินาศ คนสองคนได้รับผลกระทบจากเสียงคำรามเมื่อครู่พร้อมกัน คนหนึ่งเงยหน้าเอียงศีรษะเล็กน้อย ประหนึ่งถูกต่อยหน้าหนึ่งหมัด ส่วนอีกคน รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าเพียงสั่นระริกแผ่วเบา สายตายิ่งเฉียบคมกว่าเดิม
คนแรกคือชายที่เคยยืนอยู่ด้านหลังโอลเซ่น รองประธานชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก โทนี่·ทเวน ส่วนอีกคนอายุมากแล้ว สวมเครื่องแบบทหารสีน้ำเงิน ประดับด้วยเข็มขัดและเหรียญตรา ผมสีแดงเข้มหวีไปด้านหลังเรียบร้อย เขาคือประธานลึกลับของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก ผู้เรียกตัวเองว่าดีสต์
ดีสต์ละสายตาจากพายุลมกระโชก หันไปทางโทนี่·ทเวนแล้วกล่าว
“โอกาสที่จะเป็น ‘ผู้พิชิต’ อยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าผมคว้ามันมาได้ จะลองหาวิธีแยกตะกอนพลังของ ‘จอมอาคมลมฟ้าอากาศ’ แล้วมอบให้คุณ”
โทนี่·ทเวนจ้องมองพายุลมกระโชก ฟ้าผ่า และพายุฝนอันบ้าคลั่งเบื้องหน้า ในดวงตาสีฟ้าอ่อนเผยร่องรอยยิ้มเยาะ
“เราจะทำสำเร็จได้จริงหรือ? ดูเหมือนในนั้นจะมี ‘จอมอาคมลมฟ้าอากาศ’ ร่วมอยู่ด้วย และฟอม็องดา·เซารอนแม้จะเสียสติ กลายเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว แต่ก็ยังเป็นสัตว์ประหลาดลำดับ 1 อยู่ดี”
ท่าทีของโทนี่·ทเวนปราศจากความเคารพยำเกรงต่อลำดับ 2 ‘จอมอาคมลมฟ้าอากาศ’ และลำดับ 1 ‘ผู้พิชิต’ ทั้งที่ตนยังไม่ใช่เทวทูตด้วยซ้ำ
สีหน้าของดีสต์ไม่แปรเปลี่ยน แต่บรรยากาศรอบตัวกลับถูกยกระดับ
เมื่อนำไปรวมกับชุดทหารที่สวม บุคลิกของเขาก็ยิ่งดูเหมือนผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพ
“หากเป็นโลกภายนอก เราคงล้มเหลวแน่นอน ต่อให้ไม่ถูกรบกวนหรือแทรกแซง ก็ต้องผ่านการล่าอันยาวนาน จึงจะมีความหวังริบหรี่ที่จะพิชิตฟอม็องดา·เซารอน แต่ถ้าเป็นที่นี่…” ดีสต์พูดด้วยน้ำเสียงต่ำลึก “พวกเราสามารถยืมพลังนั้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ”
เพิ่งพูดจบ หว่างคิ้วของเขาก็แดงเรื่อทันที ราวกับมีบางสิ่งพยายามทะลวงออกมา
ขณะเดียวกัน ดีสต์หยิบถุงเหรียญออกจากเอวที่ถูกชุดทหารบดบัง
ข้างในเต็มไปด้วยถั่วเหลือง กับทหารดีบุกขนาดเท่าฝ่ามือสองสามตัว
ดีสต์คว้าสิ่งเหล่านี้ แล้วโปรยพวกมันไปด้านหน้า
ท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิว ทหารดีบุกเริ่มมีชีวิตขึ้นมา กลายร่างเป็นยักษา ส่วนถั่วเหลืองกำใหญ่ ประหนึ่งถูกนำไปแช่น้ำ พวกมันพองตัวใหญ่โตในพริบตา จนกระทั่งกลายเป็นคนยักษ์ผิวเหลืองซีด ใบหน้าคลุมเครือ ทีละตัวสองตัว
ดีสต์ ผู้ไม่มีเวลาพาทีมของตนเข้ามาในนี้ แปลงกายเปลวไฟสีแดงเข้มจนเกือบม่วง ลุกโชนโชติช่วง พัดพาทหารที่เพิ่งสร้างเข้าไปในกองเพลิงด้วยกัน
แสงรุ้งสายหนึ่งลอยขึ้นท่ามกลางเปลวไฟ ลัดผ่านท้องฟ้า พุ่งตรงเข้าหาร่างยักษ์ในพายุลมกระโชก
…………
ณ ชายขอบมหานครสุดอลังการ ซึ่งปกคลุมด้วยหมอกบางๆ
การ์ดเนอร์·มาร์ตินถอดหมวกเกราะออก บนแผ่นเกราะหน้าอกมีรอยแตกร้าวคล้ายใยแมงมุม เห็นเครื่องแต่งกายชั้นในเปื้อนเลือดรางๆ
มืออีกข้างของเขากุมศีรษะ ก้าวเดินโซเซไปข้างหน้า มีเปลวไฟสีแดงฉานจนเกือบขาวพวยพุ่งออกจากรูขุมขนเป็นระยะ
เห็นได้ชัดว่า เขาเองได้รับผลกระทบจากเสียงคำรามอันน่าพรั่นพรึงเมื่อสักครู่
การ์ดเนอร์·มาร์ตินเดินผ่านซากปรักหักพัง ไม่นานก็เข้าใกล้กลุ่มหมอกบางเบา ภายในหมอกตระหง่านด้วยตึกรามที่ทรุดตัวลงครึ่งหนึ่ง รูปร่างไม่สมมาตร แต่กลับปราศจากร่องรอยการผุกร่อนตามกาลเวลา ประหนึ่งถูกแช่แข็งไว้ในวินาทีที่ถูกทำลายจนจมลงใต้ดิน
ทันใดนั้น การ์ดเนอร์·มาร์ตินชะงักฝีเท้า มองไปทางด้านข้าง ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ใครน่ะ?”
ท่ามกลางเสียงหินกรวดร่วงกราว โอลเซ่นที่ดุจหมีหิวโซ ถือกระเป๋าหนังใบเล็กสีออกน้ำตาล โผล่มาจากด้านหลังซากตึกสีดำ
‘จเร’ ผู้นี้สวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง เสื้อกั๊กสีเหลือง เสื้อนอกสีดำ มองการ์ดเนอร์·มาร์ตินแล้วเอ่ย
“ผมไม่รู้ว่าใครกำลังมา เลยซ่อนตัวก่อน”
“แล้วฟิลิปล่ะ?”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินถอนหายใจโล่งอก
“พวกเราเจอลูเมี่ยน·ลีกับทีมของเขา ฟิลิปถูกพวกนั้นจัดการไป ส่วนผมบาดเจ็บเล็กน้อย ฝืนหนีออกมาได้”
“สภาพคุณดูไม่ดีเท่าไรเลยนะ” โอลเซ่นผู้มีเครายาวรุงรัง จ้องมองการ์ดเนอร์·มาร์ตินหัวจรดเท้า โดยไม่ได้ถามถึงรายละเอียดการต่อสู้
การ์ดเนอร์·มาร์ตินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าว
“ผมไม่เป็นอะไร ‘ชุดเกราะอหังการ’ ช่วยรับความเสียหายไว้เกือบทั้งหมด อา…ที่เห็นอยู่ในสภาพนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากเสียงคำรามของเทวทูตเมื่อครู่น่ะ ผมไม่เป็นอะไร โชคดีที่อยู่ห่างพอควร ปัญหาเลยไม่ร้ายแรงมากนัก คุณก็ลองดูสิ ‘ชุดเกราะอหังการ’ ไม่ได้ลงมือโจมตีผม สื่อว่าผมยังไม่ได้อ่อนแอลง”
“งั้นก็ดี พวกเรารีบไปที่ทรีอาร์ยุคที่สี่กันเถอะ” จเรโอลเซ่นพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
การ์ดเนอร์·มาร์ตินหมุนตัว สอดแขนข้างหนึ่งกอดหมวกเกราะสีเงินวาว แล้วเดินมุ่งหน้าสู่หมอกจางๆ ที่ไม่ไกลนัก
โอลเซ่นหิ้วกระเป๋าหนังสีออกน้ำตาล เดินตามหลัง ‘ผู้การ’ แห่งชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กไปด้านข้าง
ระหว่างเดินไปก้าวแล้วก้าวเล่า แววตาของโอลเซ่นก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายระคนโหดเหี้ยมกะทันหัน
“คุณพูดว่า ‘ผมไม่เป็นอะไร’ ถึงสองครั้ง…”
“คุณถอดหมวกของ ‘ชุดเกราะอหังการ’ ออกแล้ว…” ขณะโอลเซ่นพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสีน้ำตาลแดงของเขาสะท้อนภาพแผ่นหลังของการ์ดเนอร์·มาร์ติน ผู้สวมชุดเกราะสีเงินขาวพลางเดินซวนเซเบาๆ
…………
ณ ริมทุ่งร้างซึ่งเต็มไปด้วยเศษกระจกกระจัดกระจาย แม้ฟรังก้ากับจินนาจะไม่ได้ยินว่าด้านในกำแพงวิญญาณกำลังสวดอะไร แต่ก็เห็นเสาหินกับเทียนไขสีเดียวกันสองเล่ม อ่อนนุ่มลงอย่างน่าอัศจรรย์ เห็นเปลวเทียนใหญ่เท่ากำปั้น สีเงินอมดำ เห็นของเหลวสีดำเงินอันเลือนรางไหลออกมาจากอกของลูเมี่ยน ห่อหุ้มตัวเขาไว้มิดร่าง
จนเมื่อลูเมี่ยนขดตัวลงบนพื้น บิดกายไปมา ใบหน้าที่ถูกปกคลุมด้วย ‘หน้ากาก’ ซึ่งเกิดจากของเหลวสีดำเงิน เริ่มบิดเบี้ยวอย่างชัดเจน
ฟรังก้าเห็นแล้วก็พึมพำเสียงขรึม
“คงจะทรมานมาก…”
คงเป็นหนที่สี่แล้ว ที่ชาร์ลต้องทนทุกข์เช่นนี้
“นั่นสินะ” จินนายืนอยู่นอกกำแพงวิญญาณก็จริง แต่กลับรู้สึกหวาดหวั่นอย่างไม่มีเหตุผล เส้นขนบนผิวหนังลุกตั้งชันเหมือนหนังไก่
เธอเคยเห็นความทุกข์ระทม ความหลงผิดในจิตใจของชาร์ล แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเขาทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสทางร่างกาย
ฟรังก้าพูดจากก้นบึ้ง
“ถ้าตอนนี้ ชาร์ลดื่มโอสถ ‘ทุกข์ระทม’ เข้าไป ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไปไม่ถึงลำดับ 4 พริบตาเดียวก็คงย่อยเสร็จ!”
ลำดับ 5 ของเส้นทาง ‘นักลอบสังหาร’ เรียกว่า ‘ทุกข์ระทม’ หรือ ‘นางมารทุกข์ระทม’
หลังจากเสียงคำรามน่าสยดสยองดังก้องอีกครั้ง หยดของเหลวสีดำเงินบนตัวลูเมี่ยนก็เริ่มซึมเข้าสู่ร่างกาย สีหน้าคลายจากความเจ็บปวด ร่างกายไม่ขดงอเหมือนที่ผ่านมา
เด็กหนุ่มนอนแผ่แขนขาอยู่ข้างเสาหินสีเทาขาวที่ทรุดตัวลง ไม่กระดุกกระดิกอยู่หลายวินาที
ไม่เพียงพลังวิญญาณของเขาจะกลับคืนมา มันยังเพิ่มพูนจากของเก่า แต่กายใจกลับเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสุดขีด ประหนึ่งเพิ่งทำเรื่องยากๆ ด้วยสมาธิจดจ่อ พอเสร็จแล้วจึงอยากทิ้งตัว นั่นคือสภาพในปัจจุบันของเขา
ลูเมี่ยนทราบดี ตนเวลามีจำกัด จึงฝืนลุกขึ้นยืน
เด็กหนุ่มพบว่าเปลวเทียนสีเงินปนดำกลับสู่สภาพเดิมแล้ว หมอกสีเทารอบตัวก็เริ่มจางหาย
เดิมที เขามีแผนจะกบดานอยู่ด้านในกำแพงวิญญาณสักพัก อาศัยอำนาจของหมอกช่วยป้องกันเสียงคำรามอันน่าพรั่นพรึง แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวโดยยังไม่ทันได้เริ่ม
การตอบสนองจากมิสเตอร์ฟูลมีเวลาจำกัด!
อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงการแทรกแซงจากราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคด้วย
ลูเมี่ยนรีบเก็บแท่นบูชา พลางไตร่ตรองการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
พรของ ‘นักพรต’ ช่วยยกระดับพลังวิญญาณได้ชัดเจนมาก ลูเมี่ยนรู้สึกว่าถึงแม้จะใช้ ‘วิชาฮึ่มฮ่า’ ไปสองสามครั้ง ตนก็ยัง ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ ได้ถึงแปดครั้งโดยประมาณ
‘นักพรต’ ยังช่วยยกระดับความอดทน ช่วยให้เด็กหนุ่มปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศสุดขั้วได้มากขึ้น ต่อให้ถูกแช่แข็ง ร่างกายก็จะไม่แข็งทื่อ ในทำนองเดียวกัน ความอดกลั้นทางอารมณ์ก็เพิ่มขึ้น สามารถข่มแรงกระหายได้ดีขึ้น หลายๆ เรื่องไม่ใช่ว่าจะตายด้าน เพียงแต่อดทนไหว
สิ่งนี้นำไปสู่อีกหนึ่งพลังหลักของ ‘นักพรต’ นั่นคือ ‘สั่งสม’ ซึ่งนอกจากการนำมาใช้ทางจิตใจ ยังสามารถนำมาใช้ทางวัตถุและศาสตร์เร้นลับได้อีกด้วย
ในกรณีแรก สอดคล้องกับอารมณ์และแรงกระหาย ในแทบทุกครั้งที่อารมณ์และความอยากถูกข่มกลั้น มันมิได้หายไปโดยสิ้นเชิง แต่จะถูกกักเก็บไว้ภายใน เมื่อสะสมจนถึงจุดวิกฤติ ก็จำเป็นต้องปลดปล่อยออกมาบ้าง หรือทำให้บรรเทาลงบ้าง ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาทางจิต ความสามารถ ‘สั่งสม’ จะกักเก็บอารมณ์และแรงกระหายเหล่านั้นไว้ แล้วระเบิดออกมาในช่วงเวลาสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ในกรณีของลูเมี่ยน ทั้งผลข้างเคียงเชิงลบจากพลังพันธสัญญาทั้งสาม และผลข้างเคียงเชิงลบจากสมบัติวิเศษบนตัว บัดนี้สามารถกดข่มได้ง่ายขึ้นแล้ว เพียงแต่ต้องหาโอกาสปลดปล่อยเป็นระยะ เช่นการบีบคอศัตรูให้หักคามือ
สำหรับกรณีหลัง หมายถึงพลังวิญญาณ กำลังวังชา หรือขั้นตอนพิธีกรรม ในยามที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ หาก ‘สั่งสม’ พลังวิญญาณหรือกำลังวังชาเหนือมนุษย์เก็บไว้ล่วงหน้า ลูเมี่ยนสามารถปลดปล่อยพวกมันเมื่อถึงคราวจำเป็น ในกรณีของพลังวิญญาณ สิ่งนี้จะเหมือนกับการมีถังพลังวิญญาณสำรอง ในกรณีของกำลังวังชา เขาสามารถขยายร่างกายให้ใหญ่โตชั่วคราว โดยมีพละกำลัง ความเร็ว และความคล่องแคล่ว เพียงพอที่จะต่อกรกับ ‘อัศวินรุ่งอรุณ’ ลำดับ 6 แห่งเส้นทาง ‘นักรบ’ ได้หนึ่งถึงสองนาที นอกจากนี้ การ ‘สั่งสม’ ขั้นตอนพิธีกรรม ยังช่วยให้ลูเมี่ยนสามารถนำพลังอย่าง ‘ศาสตร์สร้างปศุสัตว์’ ‘ศาสตร์ไล่ผี’ และอื่นๆ มาใช้ในการต่อสู้จริงได้
นอกจากนั้น หลังจากเป็น ‘นักพรต’ พรที่ลูเมี่ยนได้รับก่อนหน้าก็ล้วนถูกยกระดับทั้งหมด ตัวอย่างเช่น พลังจากพันธสัญญาที่รับไหว บัดนี้เพิ่มเพดานจากเดิมอีกสามสัญญา แต่เด็กหนุ่มไม่ค่อยอยากทำพันธสัญญาจนเต็มเพดานสักเท่าไร กะว่าจะเลือกสักหนึ่งหรือสองชนิดที่เหมาะสมก็พอ การผูกพันธสัญญามากเกินไป อาจสร้างผลข้างเคียงด้านลบมากเกินไป แถมยังหลากหลายรูปแบบ ถึงจะเป็น ‘นักพรต’ ก็ได้แค่บรรเทาลงบางส่วน มิใช่ขจัดออกทั้งหมด ดูอย่างในกรณีของหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์หรือบูวาร์
แน่นอน ปัญหาดังกล่าวยังไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาปวดหัวขบคิด เพราะที่นี่ไม่สามารถอัญเชิญสัตว์โลกวิญญาณได้อยู่แล้ว
ลูเมี่ยนเก็บกวาดแท่นบูชา ยกเลิกกำแพงวิญญาณ พลางคืนเหรียญทองนำโชคให้จินนา พร้อมกับพูดเสียงทุ้ม
“เอาละ เราเข้าไปในทรีอาร์ยุคที่สี่กันเถอะ”
“หา?” จินนาทำหน้างุนงง
ก่อนหน้านี้ ชาร์ลยังบอกให้อยู่ห่างๆ จากร่างยักษ์นั่นกับมหานครสุดอลังการไม่ใช่หรือไง!
ฟรังก้าหันกลับไปมองอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเปรยขึ้นมา
“คุณสงสัยว่าหมอกที่ปกคลุมเมืองอยู่ คือพลังของมิสเตอร์ฟูล และถ้าเราเข้าไปข้างใน ก็จะได้รับการปกป้องในระดับหนึ่ง ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเสียงคำรามอย่างเสียสตินั่นทำให้ตายทั้งเป็น หรือคลุ้มคลั่งกลายเป็นสัตว์ประหลาดสินะ?”
“ใช่ ที่นั่นอันตรายก็จริง แต่ก็มีความหวังในการเอาตัวรอดอยู่ เพื่อเฝ้ารอสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป” อ้างอิงจากสายหมอกรอบ ‘บ่อน้ำสตรีซามาเรีย’ กอปรกับข้อเท็จจริงที่ว่า มีภาพฉายของบุคคลสำคัญหลายท่านจากยุคที่สี่ ลอยวนเวียนอยู่แถวบ่อน้ำ ลูเมี่ยนจึงอนุมานว่าหมอกที่ปกคลุมทรีอาร์ยุคที่สี่เอาไว้ ก็อาจเป็นหมอกแบบเดียวกัน
เป็นพลังจากมิสเตอร์ฟูล!
ฟรังก้าไม่บ้าน้ำลาย เพียงพยักหน้ารับ
จินนาเลือกเชื่อใจพวกพ้องทั้งสอง ไม่เสียเวลาตั้งคำถาม
ขณะเดียวกัน อ็องโตนี·รีดเก็บกวาดสนามรบเสร็จพอดี จึงเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับสิ่งที่รวบรวมได้
……………………………………………………..