ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 476 ยักษ์แห่งหายนะ
ตอนที่ 476 ยักษ์แห่งหายนะ
…………….
เคานต์ปุยฟ์กระโจนเข้าไปในสภาพอากาศอันแปรปรวน ฝ่าฟันพายุ สายฝน และสายฟ้าอย่างยากลำบาก โดยขณะเดียวกัน ‘ภูต’ สวมหมวกเบเร่ต์สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นผู้จัดการของ ‘หอพัก’ ก็อยู่ใกล้กับความมืดในตำแหน่งของคาบาเร่ต์ลมเอื่อยมากพอที่จะค้นพบโอกาส จึงลักลอบผ่านประตูสีดำเหล็กที่ลึกลับและเลือนรางเข้ามา
เธอทราบดีว่าด้านในอันตรายมาก แต่เจตจำนงขององค์เทพก็ถือเป็นเจตจำนงของเธอเช่นกัน แม้แต่การตายด้วยเหตุผลนั้นก็ไม่มีอะไรน่ากลัว กลับยิ่งจะได้รับคำสรรเสริญจากองค์เทพ ได้เข้าสู่อาณาจักรชั่วนิรันดร์ในจินตนาการ
แต่ช่างโชคร้าย เธอปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ตรงใจกลางพายุ หมอกควัน และเปลวไฟ
ดวงตาของเธอสะท้อนร่างขนาดมหึมาไว้อย่างชัดเจน
มันดูเหมือนยักษ์ที่ถูกเผาจนเละเทะ เนื้อหนังไม่หลงเหลืออยู่แล้ว โครงกระดูกโลหะสีดำเกรียมมีเปลวไฟสีม่วงห่อหุ้มอยู่ทุกส่วน มองผิวเผินจะดูเหมือนร่างกายที่สมบูรณ์ แต่กลับเต็มไปด้วยรอยแตก ตามรอยแตกมีสายฟ้า ลูกเห็บ และหมอกควันพวยพุ่งออกมาตลอดเวลา พวกมันดูเหมือนจะเกิดจากสัญลักษณ์อันเลือนราง
เปลวไฟสีม่วงอันเจิดจ้าและโครงกระดูกโลหะสีดำขลับเหล่านี้ ราวกับด้านในซุกซ่อนองค์ความรู้ที่อธิบายไม่ได้ เป็นตัวแทนของปรากฏการณ์จริงอันหลากหลาย ไม่อาจพรรณนา ไม่อาจบรรยาย
ติ๊กๆ ของเหลวสีเหลืองอ่อน คล้ายหนองปนสีเลือด ไหลทะลักออกจากรอยแตกบนร่างยักษ์ไม่ขาดสาย ดุจดังลาวาร้อนแรง สาดกระจายเป็นเปลวไฟสีม่วงเข้ม สาดกระจายเป็นปรากฏการณ์เชิงสภาพอากาศต่างๆ ทั้งบนท้องฟ้าและพื้นดิน
เพียงแค่ได้เห็นฉากนี้ ‘ภูต’ ในหมวกเบเร่ต์สีน้ำเงินก็ลุกไหม้ทั้งภายในและภายนอก
ดวงตาเธอเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวจากก้นบึ้ง พลางยื่นมือออกไป ‘กด’ ความว่างเปล่าตรงหน้า เข้าสู่สภาวะที่ไม่อาจถูกสัมผัส
แต่ร่างกายของเธอกลับไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเลย
เมื่อเสียง ‘พรึบ’ ดังขึ้น เนื้อหนังและเซลล์ทุกอณูของ ‘ภูต’ รายนี้ก็ถูกเปลวไฟแผดเผาอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ปีกใสคู่ยักษ์คล้ายปีกแมลงปอด้านหลัง
เธอดิ้นเร่าด้วยความทรมานอยู่ครู่หนึ่ง กลายเป็น ‘ภูต’ ที่ประกอบขึ้นจากเปลวเพลิงสีแดงฉาน สายตาว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ไร้ซึ่งพลังวิญญาณหลงเหลือ
ปีกแมลงปอที่ตอนนี้ดูเหมือนก้อนลูกไฟมากกว่า ยังคงพัดกระพืออย่างต่อเนื่อง พาร่างของภูตกลายพันธุ์บินวนไปรอบๆ ยักษ์ตนนั้น ประหนึ่งผึ้งดอมดมดอกไม้
ครืนนน!
พายุสายฟ้ากระหน่ำผ่าลงมารอบๆ เคานต์ปุยฟ์ ผุดเปลวไฟสีม่วงเบ่งบานในละแวกใกล้เคียง
เขาวิ่งฝ่าสายฝนที่ถาโถม กัดฟันทนลูกเห็บที่ตกกระทบศีรษะกับร่างกายจนเลือดไหล ในที่สุดก็วิ่งทะลุม่านหมอกหนาทึบออกมาได้
อาจเป็นเพราะมีสายเลือดตระกูลเซารอนอยู่ในตัว เขาจึงรอดพ้นจากอิทธิพลด้านอื่นมาอย่างโชคช่วย
เมื่อหมอกควันตรงหน้าเริ่มจางลง เมื่อสายฝนเริ่มไม่บดบังทัศนวิสัย ปุยฟ์ก็แหงนหน้าขึ้น มองยักษ์ที่สูงหลายสิบเมตรด้วยความตื่นเต้น
ภายในเปลวเพลิงสีม่วงที่ห่อหุ้มกะโหลกศีรษะสีดำขลับ เขาเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวสุดขีดเพราะความเจ็บปวด ปรากฏขึ้นมาสลับกับหายไป เป็นเช่นนี้อยู่หลายรอบ
ใบหน้าดังกล่าวคล้ายคลึงกับปุยฟ์ถึงหกเจ็ดส่วน จุดต่างที่เด่นชัดที่สุดคือดวงตามิใช่สีน้ำตาลแดง แต่ดำราวกับเลือดผุกร่อน ว่างเปล่าและเงียบงันอย่างไร้สิ้นสุด
เมื่อเห็นร่างยักษ์ เคานต์ปุยฟ์ก็ลุกไหม้เช่นกัน
สิ่งนี้นำพาความทุกข์ทรมานอันลึกล้ำเหนือจินตนาการมาให้ แต่ศีรษะของเขายังคงเชิดขึ้น สายตายังคงตรึงอยู่กับร่างยักษ์นั่น
ภายในเปลวไฟสีม่วงที่ลุกโชนรอบกะโหลกศีรษะสีดำขลับ หัวใจเหี่ยวแห้งจำนวนหนึ่งกำลังลอยขึ้นลงเป็นจังหวะ บนผิวหัวใจแต่ละดวงมีใบหน้าแห่งความขมขื่น เกลียดชัง หรือสาปแช่งต่อทุกชีวิตบนโลกอย่างบ้าคลั่ง มีทั้งชายทั้งหญิง ล้วนคล้ายคลึงปุยฟ์กับคนยักษ์ในระดับหนึ่ง
เมื่อปุยฟ์เห็นใบหน้าบรรพชนหลายท่านที่เคยเห็นจากภาพวาดสีน้ำมันประจำตระกูล มุมปากที่กำลังบิดเบี้ยวเพราะถูกเผาก็เริ่มเผยรอยยิ้มบางๆ
หลังจากเสียง ‘พรึบ’ ดังขึ้น เขาก็ต้องมีชะตากรรมแบบเดียว ‘ภูต’ กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบจากเปลวเพลิง เพียงแต่มิได้บินวนรอบยักษ์ที่คลุ้มคลั่ง หากแต่ถูกสายเลือดตระกูลดึงดูด เลือกกระโจนเข้าหาเปลวไฟสีม่วงที่ห่อหุ้มศีรษะสีดำขลับ กระโจนเข้าหาใบหน้าของฟอม็องดาที่ผลุบๆ โผล่ๆ เป็นระยะ
เพียงพริบตา ทั้งสองก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
มุมปากบนใบหน้าอันเหม่อลอยระคนเจ็บปวดของฟอม็องดายกขึ้นเล็กน้อย ในแววตาปรากฏร่องรอยพลังวิญญาณมากขึ้น
เขาอ้าปากตะโกนเสียงแหลมลึก สะท้อนถึงแรงกระหายในการทำลายล้างและอารมณ์อันบ้าคลั่ง
ท่ามกลางกรีดร้อง พื้นดินที่ถูกเปลวไฟสีม่วงแผดเผาจนว่างเปล่าเริ่มสั่นสะเทือนหนักหน่วง หุ่นดินเผาตัวแล้วตัวเล่าคลานขึ้นจากใต้ดิน
พวกมันล้วนสูงใหญ่ไม่ต่างกัน ขั้นต่ำคือสามเมตร ผิวนอกส่วนใหญ่เป็นสีดำเหมือนเหล็กถูกเผา ฉาบทับด้วยเลือดสีแดงเข้มปริมาณมาก
หุ่นดินเผาเหล่านี้เริ่มเคลื่อนไหว เริ่มแปรเปลี่ยน ประหนึ่งมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง กลายเป็นนักรบผู้พิทักษ์อาณาเขตนี้
แทบจะในเวลาเดียวกัน อุกกาบาตที่ลุกไหม้อย่างโชติช่วงลูกหนึ่งก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้า
อุกกาบาตลูกดังกล่าวแหวกผ่านท้องนภา ดิ่งลงมายังริมขอบม่านหมอก
บึ้ม!
ท่ามกลางเสียงกระแทกที่ดังสนั่นหวั่นไหว ท่ามกลางแรงสะเทือนอันหนักหน่วงที่เกิดจากอุกกาบาตปะทะพื้นดิน ใครบางคนปรากฏตัวภายในลูกไฟด้วยท่ายืนตัวตรง
สนาร์เนอร์·ไอน์ฮอร์น หุ้มกายด้วยชุดเกราะเหล็กดำเปื้อนคราบเลือด
เทวทูตตนนี้ เจ้าของความสูงหนึ่งเมตรแปด เรือนผมสีแดง สวมต่างหูอลังการ ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ปล่อยให้ร่างกายขยายใหญ่ เผยร่างสัตว์ในตำนานที่คล้ายคลึงกับสภาพปัจจุบันของฟอม็องดา·เซารอน
นี่คือยักษ์แห่งหายนะ ประกอบขึ้นจากสัญลักษณ์ต่างๆ เช่นเปลวไฟ
……….
ใต้เปลวไฟล่องหนที่ลุกไหม้บนท้องฟ้า อีกฟากหนึ่งของทุ่งร้าง ปัวริส·เดอ·โร้คฟอร์ในชุดราตรีหรูหราสีดำยาว กับหมวกผ้าคลุมหน้าเข้าชุดกัน กำลังทอดสายตาไปยังมหานครสุดอลังการไม่ไกลออกไป
เธอมิได้พาสามี พ่อบ้าน ลูกๆ และคนที่เหลือเข้ามาใน ‘หอพัก’ ด้วยกัน แต่จัดแจงให้พวกเขาย้ายออกจากทรีอาร์ชั่วคราว ไปพักในเมืองเล็กๆ แถวชานเมืองด้านนอกกำแพงเมืองหลวง
มองค้างอยู่ครู่หนึ่ง คุณนายปัวริสถอนสายตากลับ แล้วหันไปมองบุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ห่างจากเธอราวๆ ยี่สิบสามสิบเมตร
แม้รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายจะดูเหมือนอยู่ในวัยห้าสิบ แต่ร่องรอยกาลเวลากลับมีเพียงเส้นขาวประปรายบนเรือนผมสีบลอนด์หนานุ่ม นัยน์ตาสีน้ำเงินทะเลสาบไม่ปรากฏความขุ่นมัวแม้แต่น้อย
หนวดเคราถูกตัดแต่งเรียบร้อย ใบหน้าคมลึกเหนือธรรมดา แค่เห็นก็รู้ทันทีว่าเคยเป็นหนุ่มหล่อฉกาจฉกรรจ์
นี่คืออัวซอง·ซ็องซง ‘คนในวง’ แห่งองค์กร ‘คนบาป’!
บิดาของโรช·หลุยส์·ซ็องซง
คุณนายปัวริสหันสายตากลับไปมองมหานครที่ดูเหมือนจะไร้สิ้นสุดนั่นอีกครั้ง รู้สึกประหนึ่งมีบางสิ่งภายในนั้นกำลังเรียกหาเธอ มันค่อยๆ หดกลับสลับขยายออก ดุจดังอ้อมกอดมารดาที่ลืมเลือนไปนานแล้วในส่วนลึกของความทรงจำ
เธอก้าวเท้าไปข้างหน้า
…………
ฟรังก้าไม่คิดเลยว่า ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากโลกในกระจก เธอจะได้พบกับการ์ดเนอร์·มาร์ตินที่ ‘หายตัวไป’
ในฐานะสายลับสามหน้าของทั้งชุมนุมทาโรต์และนิกายนางมาร เธอรู้สึกผิดโดยสัญชาตญาณ และอยากทักทายอีกฝ่ายตามประสาด้วยวลีติดปากทำนองว่า ‘บังเอิญจังเลยนะ’ แต่ยามนี้เธอมิใช่มือใหม่อ่อนต่อโลกเหมือนสมัยที่เพิ่งข้ามมา ประสบการณ์ที่เคยสั่งสม สนามรบที่เคยผ่าน ถือว่าจัดอยู่ในระดับแถวหน้าแม้แต่ในสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก ดังนั้น เธอสามารถดึงความเยือกเย็นกลับมาได้เร็ว รีบหันไปทางอ็องโตนี·รีดแล้วตะโกน ‘หมอบลง!’ ส่วนตัวเองก็อำพรางกาย พุ่งตัวลงไปบนพื้นข้างๆ
แทบจะในเวลาเดียวกัน ลูกไฟสีขาวโชติช่วงนับสิบหรือนับร้อยโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่ารอบตัวการ์ดเนอร์·มาร์ติน ผู้ซึ่งดวงตาเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกจนยากหยั่งถึง สวมชุดเกราะสีเงินวาวเต็มยศ ลูกไฟเหล่านั้นพุ่งแหวกอากาศมาพร้อมกับเสียงหวีด กระหน่ำใส่ตำแหน่งเดิมของฟรังก้ากับอ็องโตนี·รีดอย่างหนักหน่วง
ในดวงตาของอ็องโตนี มีเพียงนายพลฟิลิปที่หุ้มร่างกายด้วยชุดคลุมสีดำ โดยที่เสียงตะโกน ‘หมอบลง!’ ของฟรังก้ายังคงดังก้องในโสตประสาท
เขาถือว่ามีประสบการณ์พอตัว และแม้จะยังไม่เข้าใจความเป็นไป แต่ก็ยอมทำตามคำแนะนำของพวกพ้องที่บอกให้หลบ ซ้ำยังปรับปรุงให้ดีขึ้นตามความคิดของตัวเอง — เขากระทืบพื้นสองเท้าเต็มแรง โดยมิได้พุ่งหลบไปด้านข้าง แต่ตรงเข้าหานายพลฟิลิปทันที
ท่ามกลางเสียงระเบิดต่อเนื่อง นายพลฟิลิปค่อนข้างฉงนเมื่อเห็นชายวัยกลางคนในชุดพรางทหารสีเขียว เสื้อผ้าหน้าผมมันเยิ้ม กำลังจดจ้องตนด้วยแววตาเปี่ยมความอาฆาตแค้นพร้อมกับพุ่งเข้าใส่
พวกเรามีความแค้นต่อกันมาก่อนหรือ? เมื่อความคิดนี้ผุดวาบในใจฟิลิป ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นลุ่มลึกไร้การจดจ่อ
เขา ‘เห็น’ การถักทอของโชคชะตาผืนใหญ่ และเห็นรางๆ ว่า ‘ปลายสาย’ มีต้นกำเนิดจากตรงไหน
ที่แท้ก็ผู้เหลือรอดจากพิธีสังเวยคราวนั้น…อุตส่าห์โชคดีเอาชีวิตรอดมาได้แล้วแท้ๆ ยังจะกล้ากลับมาแก้แค้นอีก? นายพลฟิลิปเย้ยหยันอยู่ในใจ
ในฐานะ ‘ยมทูต’ ลำดับ 5 แห่งเส้นทาง ‘นักล่า’ เขาเลือกที่จะศรัทธาใน ‘มหาเทวีโชคชะตา’ และรับพรที่สอดคล้องกัน เนื่องจากตระหนักถึงขีดจำกัดและปัญหาของเส้นทางสามัญในศาสตร์เร้นลับ รวมถึงมองเห็นเค้าลางของวันสิ้นโลกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
เขาอยากเป็นครึ่งเทพในเวลาอันสั้น อยากอยู่ใต้ร่มเงาพระบารมีของตัวตนอันยิ่งใหญ่เพื่อข้ามผ่านวันสิ้นโลก ซึ่งเส้นทางสามัญไม่สามารถมอบให้ได้
ดังนั้น แม้ช่วงแรกของเส้นทาง ‘เทวีโชคชะตา’ จะอ่อนแอและเต็มไปด้วยข้อจำกัด แต่เขาก็ยังรับไว้โดยปราศจากความลังเล
ควรทราบไว้ว่า ลำดับ 9 ‘ผู้สิ้นฝัน’ ของเส้นทางพรดังกล่าว เพียงแค่มอบสถานะที่จะไม่ฝันอีกเลย รวมถึงพลังในการสัมผัสถึงกระแสโชคชะตา แต่จะทำให้เขาไม่ได้รับวิวรณ์ผ่านความฝันอีกต่อไป
ส่วนลำดับ 8 ‘นักดนตรี’ จะดีกว่าเล็กน้อย กล่าวกันว่าในบางโลก ‘นักดนตรีมักทำให้ตัวเองตาบอด เพื่อให้ฟังเสียงของโชคชะตาได้ชัดเจนขึ้น แล้วบรรเลงมันออกไป’ แต่ก็ต้องอาศัยการเตรียมตัวค่อนข้างมาก อีกทั้งต้องบรรเลงได้นานพอ จึงจะสามารถส่งอิทธิพลต่อโชคชะตาของเป้าหมายได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนลำดับ 7 ‘ผู้ส่องชะตา’ นั้นแทบไม่ต่างกับ ‘นักทำนาย’ แต่ดีกว่าตรงที่ไม่ต้องใช้สื่อกลาง สามารถเห็นหรือได้ยินวิวรณ์ของโชคชะตาได้โดยตรง
เมื่อถึงลำดับ 6 ในที่สุดผู้รับพรจาก ‘เทวีโชคชะตา’ ก็เริ่มได้ครอบครองพลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง — ผู้มองเห็นโชคชะตาสามารถพูดมันออกมาได้ เพื่อสร้างอิทธิพลบางอย่างต่อเป้าหมาย ทว่า หลังจากการใช้แต่ละครั้ง จะต้องปิดปากเงียบเป็นเวลานาน ถือเป็นข้อจำกัดที่ยุ่งยากพอสมควร
ลำดับนี้มีชื่อว่า ‘คนใบ้’
จนกระทั่งแกล้งตายสำเร็จ หลุดพ้นจากโชคชะตาดั้งเดิม ลำดับ 5 ‘ผู้ล่วงลับ’ จะเป็นอิสระจากข้อจำกัดในลำดับก่อนหน้า สามารถสำแดงพลังได้ตามปกติ
ในฐานะลำดับ 5 นายพลฟิลิปมองเห็นแหล่งกำเนิดความแค้นบนผืนโชคชะตาที่ถูกถักทอ จึงแสยะยิ้มพลางส่งเสียงจากในช่องอก ราวกับพวกมันถูกพันธนาการมานมนาน
“โชคชะตาคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกหนี สุดท้ายแกก็ต้องกลายเป็นเครื่องสังเวยให้ฉันอยู่ดี”
พร้อมกันกับประโยคดังกล่าว ท่ามกลางเสียงระเบิดอึกทึกครึกโครม อ็องโตนี·รีดหวนระลึกถึงฉากนองเลือดเมื่อครั้งที่ค่ายทหารถูกโจมตี จนอดไม่ได้ที่จะสั่นเทิ้มกลางอากาศ
ตุ้บ! เขาตกกระแทกพื้น กอดศีรษะตัวเองอย่างหวาดกลัว
ไม่ไกลออกไป ด้านหลังเสาหินสีเทาที่พังถล่มไปกว่าครึ่ง ลูเมี่ยนกับจินนาต่างก็ได้ยินเสียงตะโกน ‘หมอบลง!’ แล้วจำได้ทันทีว่าเป็นของฟรังก้า
ฟรังก้าก็เข้ามาด้วย? ได้ยังไง? ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะฉงนใจ
……………………………………………………..