ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 473 มลทินอ่อนแรง
ตอนที่ 473 มลทินอ่อนแรง
……….
“คุณกลับเป็นปกติแล้ว” จินนาเตือนลูเมี่ยนเบาๆ
เธอไม่กล้าพูดเสียงดัง เพราะกลัวจะไปกระตุ้นเพื่อน จนเขากลับไปมีอาการผิดปกติเหมือนเมื่อครู่อีก นอกจากนี้เธอยังกังวลว่า มันอาจดึงดูดสายตาของยักษ์ตนนั้น ที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกควันและสายฝน จนมองเห็นรูปร่างได้ไม่ชัดเจน แต่สัมผัสได้ถึงความอันตราย
ลูเมี่ยนหันขวับทันที มองเข้าไปในดวงตาจินนา เห็นภาพสะท้อนของตัวเองที่กลับเป็นปกติ
เด็กหนุ่มตอบกลับตามสัญชาตญาณ
“แสดงว่าพิธีกรรม ‘หอพัก’ ที่สาวกเทพมารแอบใช้ผมเป็นต้นแบบอย่างลับๆ ได้ยุติลงแล้ว…”
เอ่ยถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนก็พลันตื่นตัว รีบมองสำรวจรอบๆ ทันที
ในเมื่อพิธีกรรม ‘หอพัก’ ยุติลงแล้ว อ้างอิงจากประสบการณ์เมื่อครู่ สาวกเทพมารในอีกสิบสอง ‘ห้อง’ ก็ควรเข้ามาในนี้ด้วยกัน!
ลูเมี่ยนพบว่ารอบๆ ตัวเป็นพื้นที่แปลกประหลาดที่ปูด้วยกระเบื้องหินสีดำอ่อน
แม้จะไม่ทอดยาวไปถึงมหานครสุดตระการตา ไม่ทอดยาวไปถึงยักษาที่อยู่ท่ามกลางสภาพอากาศแปรปรวน แต่มันปกคลุมพื้นดินในการมองเห็นเกือบทั้งหมดของลูเมี่ยน
และในทุกยี่สิบสามสิบเมตรจะมีเสาหินสีเทาตั้งตระหง่าน หนาราวๆ สามสี่คนโอบ บางต้นพังทลายไปแล้ว บางต้นสูงเสียดท้องฟ้า บดบังทัศนียภาพไกลๆ ในสายตาลูเมี่ยนกับจินนา
ท้องฟ้าที่ดูคล้ายกับถูกเสาหินเหล่านี้ค้ำจุน ดูโปร่งแสงผิดวิสัย ราวกับมีบางสิ่งกำลังลุกไหม้อยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน แต่กลับมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
มันช่วยมอบแสงสว่างในระดับหนึ่ง ความสว่างใกล้เคียงกับยามอาทิตย์อัสดงท่ามกลางสมรภูมินรก ช่วยให้ลูเมี่ยนที่ไม่มี ‘เนตรมองกลางคืน’ แม้จะไม่เสกลูกไฟสีแดง ก็ยังมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ชัดเจน
เด็กหนุ่มไม่พบคุณนายปัวริสหรือสาวกเทพมารคนอื่นๆ เลย
“แขกในหอพักไม่ได้เข้ามาด้วย? หรือกระจายตัวกันไป สุ่มจุดหมายในการลงจอด?” ลูเมี่ยนตั้งคำถาม แต่เหมือนพึมพำคนเดียวมากกว่า
เขาไม่ได้รำพันเงียบเหมือนทุกที แต่หวังให้จินนาเข้าใจและได้รับข้อมูลที่ถูกต้องด้วย
แม้จินนาจะไม่ค่อยเข้าใจคำว่า ‘สุ่ม’ แต่ก็พอจะจับประเด็นสำคัญในคำพูดลูเมี่ยนได้
เธอไม่ย้อนถาม แต่ชวนคุยเรื่องสำคัญที่สุด
“เราจะทำยังไงกันต่อ?”
ขณะเดียวกัน ในใจของจินนาก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว
‘หอพัก’ ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ชาร์ลเป็นต้นแบบ…หากอิงจากความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับที่เกี่ยวกับคำสาปนางมาร ก็แสดงว่าในร่างของชาร์ลต้องมีผู้รับ ‘พร’ จากเทพมารอาศัยอยู่เช่นกัน? อา…เหมือนเขาจะเคยเปรยๆ ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ในตัวมีผนึกของมิสเตอร์ฟูลอยู่…สิ่งที่ถูกผนึกไว้คือผู้รับพรจากเทพมาร? การกลายพันธุ์เมื่อครู่ คล้ายคลึงกับอิทธิพลของคำสาปมากทีเดียว เพียงแต่เพราะการมีอยู่ของผนึก มันจึงไม่กลายเป็นปัญหาร้ายแรง?
ทำอะไรต่อ? ลูเมี่ยนเหลือบมองยักษ์ร่อนเร่ที่ถูกห้อมล้อมด้วยหมอกควัน พายุฝน สายฟ้า และเปลวไฟ ร่างกายเลือนรางผิดวิสัยจนเห็นเพียงเค้าโครง ก่อนจะหัวเราะในลำคอ
“สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือการออกห่างจากไอ้ยักษ์นั่น”
“เราจะวิ่งไปทางอีกฝั่งของเมือง หาที่ลับตาคนเพื่อซ่อนตัว คอยดูความเปลี่ยนแปลงไปก่อน ระหว่างนั้นก็รีบมองหาทางออก”
แม้ลูเมี่ยนจะสัมผัสได้ว่า ยักษ์ตนนั้น รวมถึงเมืองอลังการนั่น ต่างก็พยายามดึงดูดเขาเข้าไป ราวกับมีเสียงเพรียกเรียกหาอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากตอนนี้ลูเมี่ยนปราศจาก ‘ศักดิ์’ ของเทวทูตแล้ว จึงไม่ต้องยอมจำนนต่อแรงดึงดูดประหนึ่งแม่เหล็กนั่น ไม่ถึงกับควบคุมตัวเองไม่ได้ จนต้องมุ่งหน้าเข้าสู่ทิศทางดังกล่าว ยังสามารถไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย แล้วประเมินสถานการณ์ได้ตามปกติ
แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว ยักษ์ตนนั้นอันตรายมาก ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือครองเทวบารมีแน่นอน แถมยังเสียสติอยู่ด้วย ตนที่เป็นเพียง ‘นักวางแผน’ ลำดับ 6 จะเข้าไปใกล้ได้อย่างไร แค่จ้องมองสักนิดก็อาจคลุ้มคลั่งคาที่ด้วยซ้ำ!
อีกอย่าง ถ้าเมืองนั้นเป็นทรีอาร์ยุคที่สี่จริง ก็คงมีครึ่งเทพตายอยู่ด้านในไม่น้อย บางศพคงกลายเป็นอันเดดเหมือนพวกกระดูกเก่า ซ้ำยังแพร่กระจายมลทินนานับชนิด แม้ลูเมี่ยนจะมีผนึกของมิสเตอร์ฟูล มีออร่าของจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์ ก็ยังไม่กล้าทำตัวย่ามใจ ผ่อนคลาย ไร้ความกังวล เฉกเช่นสมัยอยู่ที่หมู่บ้านกอร์ตูก่อนถูกปนเปื้อน
หากเด็กหนุ่มยังอวดดี บุ่มบ่ามบุกเข้าไปในทรีอาร์ยุคที่สี่ เพียงพริบตาเดียวก็คงไม่แคล้วกลายเป็นสัตว์ประหลาดไร้สติ เตร็ดเตร่เร่ร่อนไปชั่วกาลนาน เป็นสัตว์ประหลาดที่มีเทวทูตผนึกอยู่ภายใน
พูดจบ ลูเมี่ยนหันหลังกลับทันที วิ่งเต็มฝีเท้าไปยังทิศทางตรงข้ามกับยักษ์ที่ถูกสภาพอากาศปั่นป่วนล้อมไว้ มุ่งหน้าสู่สถานที่ห่างไกลจากมหานครสุดอลังการนั่น
ต้องรีบออกห่างโดยเร็ว เพราะไม่รู้ว่ายักษ์นั่นจะแหกปากเมื่อไร!
หากผู้วิเศษลำดับสูงแหกปากโดยไม่ได้สงวนพลัง เกรงว่าผู้วิเศษลำดับกลางและต่ำคงยากจะต้านทาน
จินนาเชื่อใจชาร์ลผู้เจนสนามจริง จึงสับเท้าตามหลังสหายคนนี้ไป เลี้ยวอ้อมเสาหินสีเทาที่ตั้งตระหง่านหรือล้มระเนระนาด มุ่งหน้าลึกเข้าไปในดินแดนที่ปูด้วยกระเบื้องหินสีดำอ่อน
ระหว่างวิ่ง ลูเมี่ยนขมวดคิ้ว
เด็กหนุ่มเพิ่งตระหนักว่า หลังผ่านศึกในโลกภาพวาด รวมถึงใช้ ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ ไปหลายหน พลังวิญญาณของตนใกล้เหือดแห้งเต็มที หากพบเจออันตรายเข้าอีก ไม่แน่ใจเลยว่าจะต้านทานได้นานแค่ไหน
ต้องหาวิธีฟื้นฟูพลังวิญญาณสักหน่อย…ตอนนี้โลกความจริงตรงกับช่วงกลางดึก ซ่อนตัวไปเรื่อยๆ จนถึงหกโมงเช้าดีไหม? ลูเมี่ยนไตร่ตรองไปพลาง วิ่งหนีไปพลาง
…………
ภายในเขตตลาดปลอมที่หงายขึ้นพื้นดิน สายฝนกำลังกระหน่ำโปรยปรายใส่ซาฟารีกับ ‘ห้อง’ คนอื่นๆ
พวกเธอกำลังยืนอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามคาบาเร่ต์ลมเอื่อย บนหน้าอกแต่ละคนส่องแสงวาบสีสันต่างๆ
ทีละร่างสองร่างทยอยแหวกออกมา เจาะเข้าไปในความว่างเปล่า ร่วงหล่นลงสู่ความมืดลึกล้ำ ตกใส่ประตูสีดำเหล็กบานใหญ่ที่เปื้อนเลือดเปื้อนสนิมแดง
ซาฟารีมองดูฉากตรงหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย แววตาว่างเปล่า บนใบหน้าเรียบเฉยกลับเจือความเศร้าไว้หลายส่วน เรือนผมสีน้ำตาลยาวเปียกโชกด้วยสายฝน
กาเบรียลข้างเธอออกอาการยินดีปรีดาชัดเจน พลางถามด้วยน้ำเสียงล่องลอย
“จบแล้วใช่ไหม?”
“เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปแล้วใช่ไหม?”
ใบหน้าชุ่มฝนของซาฟารีเกิดบิดเบี้ยวขึ้นมา พลางหันไปพูดกับกาเบรียล
“รีบไปจากที่นี่เถอะ อยู่ห่างจากฉันไว้!”
“ทำไมล่ะ?” กาเบรียลไม่อาจเข้าใจ
พันธกิจของซาฟารีในฐานะ ‘ห้องพักในหอพัก’ ควรสำเร็จลุล่วงแล้ว ก็น่าจะจบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?
สัตว์ประหลาดก็ควรกลับไปใช้ชีวิตประจำวันของสัตว์ประหลาด
ซาฟารีกล่าวอย่างเจ็บปวด
“เมื่อแขกไปแล้ว ‘ห้อง’ ก็ไม่หลงเหลือคุณค่าในการดำรงอยู่”
ยังไม่ทันขาดคำ ปีกใสคล้ายแมลงปอคู่หนึ่งก็งอกจากแผ่นหลังเธอ ลวดลายบนปีกคือดวงตาที่เบิกกว้างอย่างเย็นชา นับร้อยนับพันคู่
ในความเงียบงัน ร่างกายซาฟารีเริ่มแตกสลาย ชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินทะเลสาบที่เปียกโชกไหลลงพื้นทันทีที่ขาดสิ่งค้ำจุน บนชุดเต็มไปด้วยก้อนเนื้อเยิ้มๆ กำลังยุบพอง แต่ละก้อนมีปีกลวงตาสีใสคล้ายแมลงปอ รวมถึงลวดลายดวงตานับไม่ถ้วน
ชิ้นส่วนเดียวของซาฟารีที่ยังมีสภาพสมบูรณ์คือศีรษะ แต่ถูกห้อมล้อมโดยแมลงปอสีเลือด บนใบหน้างอกรวงข้าวสาลีกับเห็ดสองสามต้น หยาดฝนตกกระทบลงบนนั้นแล้วไหลลงมาเป็นสาย
เธออ้าปากที่ราวกับจะนำไปสู่อีกโลกหนึ่ง น้ำเสียงแหลมยิ่งขึ้น
“เราไม่ใช่ผู้รับพร แต่เป็นผลงานของพวกภูตต่างหาก!”
“รีบหนีไปซะ!”
ด้วยแววตาเหม่อลอย กาเบรียลเอาแต่จ้องซาฟารีที่เหลือเพียงกลุ่มแมลงปอเลือดกับศีรษะ ความโศกเศร้าที่ไม่อาจบรรยายผุดขึ้นบนใบหน้าอันว่างเปล่าและเย็นชาของเขา
ในสภาพแวดล้อมที่มีสายฝนโหมกระหน่ำท่ามกลางแสงแดดอย่างขัดแย้ง เขาวิ่งออกไปสองสามก้าวตามสัญชาตญาณ แล้วก็ต้องหยุด
นักเขียนบทละครผู้นี้หันหลังกลับ เดินมาหยุดลงตรงหน้าซาฟารี
มุมปากของเขาหยักขึ้น พลางยิ้มอย่างห่างเหินแต่อ่อนโยน
“ลืมไปเลย ตอนนี้ผมก็เป็นสัตว์ประหลาดเหมือนกัน จะไปที่ไหนได้อีกล่ะ?”
“ผมดีใจนะ ที่ในวาระสุดท้าย คุณยังอยากให้ผมมีชีวิตรอดต่อไป”
กาเบรียลพูดไปพลางก้มตัวลง เข่าสองข้างสัมผัสกับแอ่งน้ำบนพื้น
เขาโกยแมลงปอเลือดนับไม่ถ้วนกับศีรษะที่กำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของซาฟารีขึ้นมา แล้วประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากที่งอกรวงข้าวสาลีกับเห็ดอย่างดูดดื่ม
ปึด! ปึด! ปึด! เหล่าแมลงปอเลือดใช้ปีกกรีดเนื้อหนังของเขา มุดเข้าไปในร่างกายแล้วสูบชีวิตเขา
แต่กาเบรียลยังคงจุมพิตต่อไป
ซ่า—! สายฝนที่โหมกระหน่ำยังคงโปรยปรายลงบนร่างของทั้งสอง
ผ่านไปไม่นาน คู่ปีกสีใสคู่แล้วคู่เล่าก็ทยอยแหวกออกจากแผ่นหลังกาเบรียล ทุกตัวชุ่มโชกไปด้วยเลือดสด
ท่ามกลางเสียงกัดแทะอันน่าขนลุก ในที่สุดร่างของกาเบรียลก็ทรุดลง มลายหายไปเฉกเช่นศีรษะของซาฟารี
ในตอนจบของฉากนองเลือด ‘แมลงปอ’ รูปร่างประหลาดคล้ายก้อนเนื้อ ต่างก็พากันกระพือปีกสีใส โบยบินไปบนท้องนภา ประหนึ่งดอกไม้ไฟอันเจิดจ้าท่ามกลางสายฝน
ทันใดนั้นเอง แสงอาทิตย์อันร้อนแรงก็สาดส่องลงมา ปกคลุมทั่วทั้งบริเวณเอาไว้ ท่วมท้นกองศพที่เกิดการกลายพันธุ์อันพิสดาร
ไม่ไกลออกไปนัก อ็องกูแลม วาเลนไทน์ และอิมเร ต่างก็กำลังยกแขนขึ้นเล็กน้อย
เมื่อกลับไปยังวิหารนักบุญโรแบร์ ทั้งสามที่อยู่นอกขอบเขตของโลกในภาพวาด ย่อมไม่ได้รับผลจากพิธีกรรมเมื่อสักครู่ ไม่ถูกสับเปลี่ยนระหว่างของจริงกับของปลอม ยังคงดำรงอยู่บนพื้นดิน และรีบมุ่งหน้ามายังคาบาเร่ต์ลมเอื่อยหลังจากเหตุการณ์เริ่มซาลง
…………
เขตเอราโต อารามพระหฤทัย
ลมพายุกับกองทัพอสนีบาตยังคงรายล้อมดวงอาทิตย์สีทองไว้ แต่ยังคงมิอาจกีดขวางแสงแดดที่ลอดผ่านได้หมด
ส่งผลให้ ‘ทางเข้า’ ที่ตรงกับคาบาเร่ต์ลมเอื่อยเริ่มสั่นไหวพร่ามัว แต่ยังไม่ถึงกับอันตรธานไป ส่วนโลกภาพวาดที่พลิกกลับบนดินเริ่มสูญเสียเสถียรภาพ เลือนรางลงทุกขณะ ใกล้จะหวนคืนผนังหินเข้าไปทุกที
พอหลุดพ้นจากการกัดกร่อนของแสงอาทิตย์ ‘เมจิกเชี่ยน’ กับ ‘จัสติส’ ก็พบว่าพวกตนสูญเสียร่องรอยของ ‘มาดามจันทรา’ ไปแล้ว
ฝ่ายแรกเสกหมู่ดาวสุกสกาวพราวพรายรอบกาย เช่นเดียวกันในดวงตา
เพียงครู่เดียวเธอก็ ‘เห็น’ ร่างของ ‘มาดามจันทรา’
คนโปรดของเทพมารผู้นี้ไม่มีความคิดที่จะอำพรางกาย ฝืนบุกเข้าไปในความมืดที่ไม่ค่อยมั่นคง ตรงไปทางประตูเหล็กลึกลับบานดังกล่าว
แสงดาวสุกสว่างวาบหนึ่ง ทั้งเมจิกเชี่ยนกับจัสติส สองผู้ถือไพ่อาร์คาน่าใหญ่ ต่างก็ย้ายตำแหน่งมาอยู่ด้านนอกคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ทั้งคู่ออกอาการลังเล ไม่แน่ใจว่าควรตามเข้าไปดีหรือไม่
“จากที่สัมผัสได้ แรงดึงดูดและเสียงเพรียกหาจากใต้ดิน ดูจะอ่อนแรงลงไปมากทีเดียว…”
เหตุผลที่ทั้งสองยังคงประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในที ก็เพราะหากลงไปยังส่วนลึกของใต้ดิน เข้าไปในทรีอาร์ยุคที่สี่ เหล่าครึ่งเทพจะต้องเผชิญกับมลทินอันหนักหน่วงและน่าสยดสยอง
สำหรับพวกสาวกเทพมารคงไม่มีอะไรต้องกังวล อย่างไรเสีย คนพวกนี้ล้วนผุพังเข้าไปถึงแก่นแล้ว เต็มที่ก็แค่เสียสติกว่าเดิม แต่ฝั่งพวกเธอไม่อาจมองข้ามปัญหานี้ได้
“มลทินอ่อนแรงลง?” เมจิกเชี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง
ตามความรู้ของเธอ ปัจจุบันมีเพียงสองสิ่งที่สร้างผลลัพธ์นี้ได้
หนึ่งคือมิสเตอร์ฟูล หรือไม่ก็ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค ทั้งสองพระองค์สามารถตรึงมลทินสารพัดชนิดในทรีอาร์ยุคที่สี่ไว้ได้ชั่วคราว หรือทำให้อ่อนแรงลง โดยการเสริมพลังให้ตราผนึก
อึกหนึ่งคือ องค์เทพผู้เริ่มควบคุม ‘ความผิดปกติที่ใหญ่หลวงที่สุดใต้ดิน’ ได้เบื้องต้นแล้ว ซึ่งก็คือ:
“พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง ผู้ทรงปัญญาและฤทธานุภาพ ผู้ปกครองหลังม่านเงามืด ราชันแห่งโลกวิญญาณ ธาตุแท้อันเสื่อมทรามแห่งสรรพชีวิต”
……………………………………………………..