ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 456 คำแนะนำของมิจฉาชีพ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 456 คำแนะนำของมิจฉาชีพ
ตอนที่ 456 คำแนะนำของมิจฉาชีพ
……….
จินนามองดูเหรียญทองในมือเด็กชาย แลเห็นว่าใบหน้าของบุรุษบนเหรียญดูแปลกตา เหนือศีรษะมีมงกุฎสวมอยู่
“ไม่ใช่เฟลคินสินะ” เธอถามด้วยความสงสัย
เด็กชายพูดยิ้มๆ
“นี่คือทองปอนด์ มันมีค่ามากกว่าลูอิดอร์”
“คุณไม่ใช่ชาวอินทิสหรอกหรือ” จินนาตกใจเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้มองว่าผิดปกติ
ทั้งโครงหน้าและหน้าตาของเด็กชาย ค่อนข้างแตกต่างจากคนท้องถิ่น
“ผมเป็นชาวโลเอ็น” เด็กชายผมสีบลอนด์หวีเรียบ ตอบตามตรง
จินนามิได้ถามซักไซ้ เพราะไม่ว่าเหรียญทองนำโชคจะเป็นทองปอนด์หรือลูอิดอร์ ก็จะไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพจริงของมัน
จากเหตุการณ์คราวก่อน เธอเชื่อมั่นในอำนาจการมอบโชคของเด็กชายคนนี้มาก
หญิงสาวมองหน้าอีกฝ่าย รอคอยสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
เด็กชายใส่เหรียญทองนำโชคกลับเข้ากระเป๋าเสื้อ ไม่มีทีท่าว่าจะจ่ายล่วงหน้า
เขาชี้ไปบนพื้นแล้วพูด
“คืนนี้ตอนสี่ทุ่ม ให้คุณเดินลงทรีอาร์ใต้ดินจากทางเข้าแถวนี้ ตราบใดที่ยังมีทางให้เดิน ก็จงเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอแม่น้ำใต้ดิน”
“จากนั้น ให้หาที่ซ่อนตัวแถวแม่น้ำ รอจนกว่าจะมีคนเดินผ่านมา แล้วเอาทุกอย่างที่อยู่บนตัวเขาไป”
“จนกว่าเรื่องนี้จะเสร็จ ห้ามบอกใครเด็ดขาดว่าคุณจะทำอะไร หรือจะไปที่ใด”
เดินลงใต้ดินตามสัญชาตญาณ พึ่งพาโชคชะตาในการหาเหยื่อ? จินนารู้สึกว่าคำพูดของเด็กชาย มีกลิ่นอายคล้ายมิจฉาชีพตามที่ชาร์ลเคยบอกไว้
ส่วนวิธีนำเอาทุกสิ่งจากตัวเป้าหมายมา เธอนึกออกอยู่ทางเดียว
ด้วยการต่อสู้ เพื่อกำราบอีกฝ่ายให้อยู่หมัด!
จินนายังไม่ลืมว่าฝ่ายเธอก็มีเด็กชายคนนี้ ซึ่งน่าจะเป็นผู้วิเศษทรงพลัง จึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล
“ได้ค่ะ”
เด็กชายยิ้ม
“ไว้คุณได้สิ่งของพวกนั้นเมื่อไร แล้วนำมาให้ผม เหรียญทองนำโชคก็จะเป็นของคุณทันที”
“ฉันต้องเรียกคุณว่าอะไร พอถึงเวลาส่งของ จะตามหาคุณได้ที่ไหน?” จินนาพูดด้วยน้ำเสียงให้เกียรติโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เด็กธรรมดา
เด็กชายพึมพำตอบ
“เรียกผมว่าวิลก็ได้ คุณพูดกับผมแบบนี้ มันฟังดูเหมือนผมเป็นผู้ใหญ่เกินไป ทางนี้เพิ่งอยู่ชั้นประถมเองนะ!”
“ถึงเวลานั้น คุณจะได้เจอผมเองแหละ”
เป็นพวกผู้วิเศษโดยกำเนิดที่พวกชุมนุมศาสตร์เร้นลับชอบพูดกัน? ตัวจริงอายุไม่มาก แต่มีพลังมหาศาล?
จินนาเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา เธอปฏิบัติตามความต้องการของอีกฝ่ายและตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“ได้ค่ะ วิล”
วิลโบกมือแล้วพูด
“คุณไปได้แล้ว”
แต่ฉันกำลังจะไปกินมื้อกลางวันที่ร้านกาแฟด้านหลังคุณ… จินนารำพันพลางเปลี่ยนทิศทาง คิดจะกลับไปหาอะไรกินที่ถนนเสื้อนอกขาว
เดินไปสักสิบกว่าเมตร เธอทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว จึงหันกลับไปมองโคมไฟถนนสีดำเหล็กเมื่อสักครู่
เด็กชายประหลาดนามว่าวิลไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
จินนาตั้งใจมองอีกครั้ง ก็พบว่าอีกฝ่ายเข้าไปในร้านกาแฟข้างเคียง เลือกนั่งบูธริมหน้าต่าง ตาเป็นประกายมองบริกรที่ยกไอศกรีมสามลูกมาเสิร์ฟ
ก็ยังเด็กจริงๆ นั่นแหละ…จินนาถอนสายตากลับ พลางแอบถอนหายใจ
…………
เขตการเงิน ภายในศูนย์ศิลปะทรีอาร์
เด็กหนุ่มไม่ลังเลแม้แต่น้อย ไม่กลัวการสวมสมบัติวิเศษชิ้นนี้กลับไปใหม่
จนถึงเมื่อครู่ ภาพส่วนใหญ่ที่เขาเห็นคือห้องจัดแสดง ห้องสุขา กับทางเดินยาวเหยียดที่ขวางกั้นอีกด้าน
ท่ามกลางอาการเวียนหัวที่คุ้นเคย ภาพวาดสีน้ำมันตรงหน้าลูเมี่ยนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพิสดาร
ใบหน้ามากมายบนเรือนร่างเปลือยเปล่าของสตรี พากันกลอกตาขึ้นพร้อมกัน ดวงตาแต่ละคู่ส่องประกายต่างกัน จ้องมองลูเมี่ยน
ลูเมี่ยนตระหนักได้ทันทีว่า ณ จุดใดจุดหนึ่งบนหลังคาที่ทับซ้อนกับท้องฟ้า สิ่งมีชีวิตบางประเภทกำลังจับจ้องตนจากระยะไกล โดยพยายามฝ่าฟันอุปสรรค เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ใบหน้าเลือนรางของสตรีในภาพวาดเริ่มชัดเจนขึ้นทีละน้อย กลับคืนสู่โฉมงามตามปกติ
ดวงตาสีน้ำตาลพราวระยับ เรือนผมสีน้ำตาลปลิวสยาย ใบหน้าอวบอิ่ม สีหน้าแววตาเหม่อลอย…
ลูเมี่ยนจำเธอได้ อีกฝ่ายคืออดีตผู้เช่าของโรงแรมระกาทอง นางแบบวาดภาพนามว่าซาฟารี!
เธอยังเป็นคนรักที่นักเขียนบทละครกาเบรียลตามหาอย่างทุลักทุเล!
พร้อมกับที่ใบหน้าของซาฟารีชัดเจนขึ้น รอบตัวลูเมี่ยนก็เริ่มพร่ามัวเลือนราง ราวกับมีใบหน้าจำนวนมาก เตรียมจะโผล่ออกจากภาพวาดหรือความว่างเปล่า
เด็กหนุ่มรีบปลด ‘แว่นส่องความลับ’ ออกจากสันจมูก ความผิดปกติทุกอย่างก็สลายหายวับไปกับตา มีเพียงเม็ดตุ่มละเอียดกับขนอันตั้งชันทั่วผิวกายเท่านั้น บ่งบอกว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้า
“สรุปว่า นางแบบในภาพสีน้ำมันคือซาฟารีเองสินะ…”
“กาเบรียลถึงจะเป็นคนธรรมดา แถมไม่มี ‘แว่นส่องความลับ’ แต่เขาเคยหลับนอนกับซาฟารีมาก่อน คุ้นเคยเรือนร่างเธอดี พอเข้าออกห้องสุขาเลยเห็นร่องรอยคนรักของตน…”
“อย่าบอกนะว่าบนเรือนร่างของซาฟารี ก็มีใบหน้าจำนวนมากที่ดูเหมือนมีชีวิต แบบเดียวกับในภาพสีน้ำมันนี้?”
“กาเบรียลเห็นแล้วไม่กลัวบ้างหรือไง?”
“หลังจากเขาพบภาพวาดที่มีซาฟารีเป็นนางแบบที่นิทรรศการ พอกลับบ้านไปก็เจอสิ่งมีชีวิตที่คนทั่วไปมองไม่เห็นทันที?”
“เวลาก็น่าจะพอสอดคล้องกัน น้ำในแก้วบนโต๊ะทำงานถูกทิ้งไว้นานกว่าหนึ่งวัน เขามาดูงานแสดงภาพเมื่อวานซืนนี่เอง…เรื่องราวเกิดขึ้นในยามดึก?”
“หลังจากเขาถูกโจมตีและปนเปื้อน ทำไมถึงยังพักอยู่ในอพาร์ตเมนต์ต่อ รอจนกระทั่งเราไปถึง?”
ขณะที่ความคิดของลูเมี่ยนกำลังผันผวน สายตาก็เหลือบไปเห็นลายเซ็นในภาพสีน้ำมัน
กลูด์·ปิแยร์·โอกุสต์
ลูเมี่ยนรู้ดีว่าจิตรกรผู้นี้คงไม่โด่งดัง ไม่อย่างนั้นผลงานของเขาคงไม่ถูกแขวนไว้ตรงทางเดินนอกห้องสุขา โดยน่าจะเป็นเพียงภาพที่ถูกนำมาตกแต่งนิทรรศการ ‘ภาพจำแห่งอนาคต’
ในทำนองเดียวกัน เด็กหนุ่มมองว่าในเมื่อกาเบรียลมีอันเป็นไป ปิแยร์ผู้นี้ก็น่าจะไม่รอดพ้นเช่นกัน อาจไปอยู่ ‘หอพัก’ ตั้งแต่ตอนที่ซาฟารีย้ายออกจากโรงแรมระกาทองแล้ว
“ยังไงก็เถอะ ต้องแจ้งให้มาดามเมจิกเชี่ยนทราบก่อน เผื่อว่าอาจมีเบาะแสหลงเหลืออยู่ ยังไงการสืบกาเบรียลที่เป็นคนธรรมดาต่อไปก็คงไม่เกิดผลลัพธ์เพิ่มเติมแล้ว” ลูเมี่ยนไม่ได้คิดจะตามหากลูด์·ปิแยร์·โอกุสต์ด้วยตัวเอง เพราะมันต้องเสียเวลามากในการเก็บข้อมูลจากหลายช่องทาง ในเมื่อรู้ชื่อกับฐานะของเป้าหมายแล้ว ‘โหราจารย์’ อย่างมาดามเมจิกเชี่ยนก็คงระบุตำแหน่งของจิตรกรผู้นั้นได้แม่นยำ
ยิ่งไปกว่านั้น กาเบรียลถูกโจมตียามดึกในคืนเดียวกับที่ทราบว่ากลูด์คือจิตรกรผู้วาดภาพ อีกฝ่ายจึงไม่น่าจะมีข้อมูลของกลูด์มากไปกว่าลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มจ้องภาพสีน้ำมันดังกล่าว มุมปากบรรจงยกโค้ง
“จะมาโจมตีฉันหรือ?”
“รออยู่นะ”
…………
หลังสี่ทุ่ม อพาร์ตเมนต์ 601 บ้านเลขที่ 3 ถนนเสื้อนอกขาว
นึกถึงภารกิจของนิกายนางมาร ฟรังก้าสงสัยว่า ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ อาจใกล้เคลื่อนไหวครั้งใหญ่แล้ว จึงตัดสินใจไปหาการ์ดเนอร์·มาร์ติน แง่หนึ่งก็เพื่อย่อยโอสถ ‘สุขสม’
ก่อนออกจากบ้าน เธอนึกทบทวนพฤติกรรมเก่าๆ ของตัวเอง ที่จะเคาะประตูทุกครั้งก่อนเข้าไปในบ้าน แต่ในเมื่อคราวนี้จำเป็นต้องรวบรวมข้อมูล ฟรังก้าจึงคิดจะเปลี่ยนรูปแบบ
อันดับแรก แอบซ่อนอยู่รอบๆ บ้านเลขที่ 11 ถนนน้ำพุ หรือในสวน หรือบนสนามหญ้า แอบเฝ้ามองสักพักก่อนเข้าไปหาการ์ดเนอร์·มาร์ติน
ฟรังก้าคำนึงถึงลำดับและพลังของการ์ดเนอร์ จึงเดินกลับเข้าห้องนอน ค้นหาเทวรูป ‘นางมารต้นกำเนิด’ ขนาดเท่าฝ่ามือ แล้วใส่มันลงในถุงสีเข้ม
นี่จะช่วยให้เธอซ่อนตัวได้ดีขึ้น ยากที่จะถูกตรวจพบโดยพลังเหนือธรรมชาติ
“ฉันไปหาการ์ดเนอร์ก่อนนะ” ฟรังก้าโบกมือให้จินนา แล้วเปิดประตูออกจากอพาร์ตเมนต์ 601
จินนาขานรับเสียงเบา พลางถอนหายใจเงียบงัน
เธอก็ใกล้จะออกจากบ้านเช่นกัน รู้สึกเครียดเล็กน้อย
ฟรังก้านั่งรถม้าเช่ามาถึงถนนน้ำพุ แต่มิได้ให้คนขับจอดหน้าบ้านเลขที่ 11 เหมือนทุกครั้ง โดยลงจากรถก่อนถึงจุดหมายค่อนข้างไกล
ร่างของเธอเลือนหายไปในพริบตา แอบย่องเข้าใกล้บ้านการ์ดเนอร์·มาร์ติน
หญิงสาวคุ้นเคยสภาพแวดล้อมแถวนี้ดี จึงหาจุดอับสายตาของพวกเวรยามได้ไม่ยาก กระโดดข้ามกำแพงด้านข้าง ร่อนลงสวนอย่างไร้สุ้มเสียง
ฟรังก้าไม่รีบร้อนย่องเข้าไปในตัวอาคาร เพียงลัดเลาะเงามืดไปตามขอบสนามหญ้าด้านหน้า จนกระทั่งเอนตัวแนบชิดกับเสาโคมไฟแก๊สต้นหนึ่ง พลางมองดูบ้านพักสามชั้นสีเทาขาว ซึ่งยังสว่างไสวด้วยแสงไฟ
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป ฟรังก้าไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ยังคอยสังเกตร่างคนที่ปรากฏตามหน้าต่างแต่ละบาน รวมถึงพฤติกรรมของพวกเขาอย่างตั้งใจ
ทันใดนั้น ประตูหน้าของตัวอาคารเปิดออก พ่อบ้านฟอสติโนเดินออกมาพร้อมกับชายในชุดคลุมยาวสีดำ
รูปร่างปานกลาง สูงไม่ถึง 1.75 เมตร ทั้งตัวถูกคลุมด้วยเสื้อผ้า มองไม่เห็นหน้าตาหรือจุดเด่นทางกายภาพ
เป็นใครกันนะ? หุ้นส่วนของการ์ดเนอร์·มาร์ติน หรือสมาชิกแกนนำของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กที่รับผิดชอบเขตอื่น? ฟรังก้าสงสัยอยู่ในใจ
เมื่อเห็นชายชุดคลุมดำเดินออกจากประตูลูกกรงเหล็ก โดยที่พ่อบ้านฟอสติโนเดินกลับเข้าตัวอาคารไปแล้ว ฟรังก้าลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ
ภายในบ้านของการ์ดเนอร์·มาร์ติน เว้นแต่เธอจะแอบย่องเข้าไปรื้อค้นทุกตารางนิ้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่พบข้อมูลที่มีค่า เพราะทุกครั้งเธอก็เดินสำรวจนั่นนี่อย่างเปิดเผยอยู่แล้ว แต่ในทางกลับกัน ชายสวมเสื้อคลุมคนนั้นอาจให้เบาะแสใหม่ ช่วยให้เธอได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไป!
ฟรังก้าในสภาวะล่องหนลูบเทวรูป ‘นางมารต้นกำเนิด’ ในถุงสีเข้ม จนเริ่มมั่นใจขึ้นมาหลายส่วน
หญิงสาวเลาะรอบขอบสนามหญ้า กระโดดข้ามกำแพงลูกกรงเหล็กอย่างไร้สุ้มเสียง ตามรอยชายลึกลับในเสื้อคลุมสีดำไป
…………
ท่ามกลางเสียงระฆังตีบอกเวลาสี่ทุ่ม จินนาเดินเข้าทางลงทรีอาร์ใต้ดินที่ไม่ไกลจากโรงละครกรงพิราบเก่า ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป
เธอไม่ได้พกโคมไฟคาร์ไบด์มาด้วย เลือกจะพึ่งพาวิสัยทัศน์กลางคืนของนักลอบสังหาร ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันดำมืด จินนาคอยจดจำเส้นทางที่ผ่านมา พลางเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ตามสัญชาตญาณ
ทีละเล็กละน้อย เสียงรอบตัวเธอเบาลงทุกขณะ อาจถึงขั้นเป็นสุญญากาศแห่งเสียง
จินนาผ่อนลมหายใจออก บรรเทาความตึงเครียดและความกลัว
หญิงสาวออกห่างจากตรงกลางอุโมงค์ เดินเลียบผนังหิน ก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวัง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เธอได้ยินเสียงน้ำไหลซู่ซ่า
เดินต่ออีกเจ็ดแปดเมตร เลี้ยวผ่านผนังหินไป ตรงหน้าเธอก็ปรากฏลำธารเล็กๆ ไหลเอื่อยใต้พื้นดินอันมืดมิด
จินนาตั้งสติ จนกระทั่งพบเสาหินกระดำกระด่าง จึงซ่อนตัวอยู่ด้านหลังมัน กลืนเป็นเนื้อเดียวไปกับเงามืดหนาทึบ
เธอไม่ได้ใช้พลัง ‘ล่องหน’ เพราะยังเป็นแค่ ‘แม่มด’ ไม่สามารถรักษาสภาวะดังกล่าวได้นาน ซึ่งไม่รู้ว่าเป้าหมายจะมาถึงเมื่อไร
ใต้ดินอันเงียบสงัด กระทั่งการเคลื่อนผ่านของกาลเวลาดูเหมือนจะเชื่องช้าลง ความกดดันในใจจินนาเริ่มสั่งสมบ่มเพาะ
จนในที่สุด เธอได้ยินเสียงก้าวเท้าก้องกังวานมาแต่ไกล
……………………………………………………..