ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 431 สามนักล่ากับละครหนึ่งฉาก
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 431 สามนักล่ากับละครหนึ่งฉาก
ตอนที่ 431 สามนักล่ากับละครหนึ่งฉาก
……….
เอโลอีสยื่นมือขวาออกไป ยิงลูกไฟสีแดงสองลูก
ลูกไฟพุ่งไปดักหน้าสองนาคาเพลิงแล้วกระแทกกับพื้นห้อง
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ลูกไฟดูดกลืนงูไฟสองตัวด้วยแรงระเบิด ป้องกันมิให้พวกมันมุ่งหน้าเข้าหาโลงศพทองสัมฤทธิ์
อัลบัสไม่ได้ออกแรงเพิ่ม เพียงหยิบโคมไฟคาร์ไบด์แล้วลุกขึ้นยืน
เขามองเอโลอีสแล้วพูดยิ้มๆ
“คุณรู้อะไรบางอย่างจริงๆ สินะ”
จากนั้น อัลบัสหันมาเย้ยหยันลูเมี่ยน
“ส่วนคุณไม่รู้อะไรเลย”
บัดซบ! ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์กำลังหมิ่นเหม่ ฉันจะขอ ‘คำชี้แนะ’ จากนายแน่นอน…ลูเมี่ยนเพิ่งกระจ่างว่าพฤติกรรมสุดห่ามของอัลบัสก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นเพียงการทดสอบ เป็นเพียงกับดัก
“ที่นี่คือปราสาทหงส์แดงของตระกูลเซารอน” เอโลอีสมิได้ตอบอัลบัสโดยตรง แต่ระบุข้อเท็จจริงแทน
เธอกำลังสื่อว่า ฉันมีสายเลือดของเซารอน อาศัยอยู่ในปราสาทหงส์แดงมาเกือบหกปี จะรู้อะไรบ้างก็ไม่แปลกมิใช่หรือ?
อัลบัสหันไปมองเทียนไขสีขาวหนึ่งในสามที่ดับอยู่ แล้วกล่าวต่อไปราวกับไม่ได้ยินคำอธิบายของเอโลอีส
“แล้วคุณมาทำอะไรในส่วนลึกของคูหาใต้ดิน? ถ้าคุณไม่พูด พวกเราจะร่วมมือกับคุณได้อย่างไร จะช่วยคุณได้อย่างไร?”
เอโลอีสจ้องโลงศพทองสัมฤทธิ์ แล้วกล่าวในสิ่งที่ลูเมี่ยนไม่คาดคิด
“ฉันอยากเห็นที่นี่ ซึ่งถูกเรียกว่าเขตหวงห้ามของตระกูล ที่มีเพียงน้อยคนนักจะเข้ามาได้ แล้วสืบว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำสาปของสายเลือดตระกูลเราหรือไม่”
“คุณคือไอน์ฮอร์นนะ หรือว่ามองตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเซารอนจริงๆ?” อัลบัส·เมดีซีจิกกัดสตรีผู้นี้
นี่มิใช่เพียงคำเสียดสีที่เอโลอีสไม่ยอมเล่าความจริงทั้งหมดแต่แรก แต่ยังเป็นการสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับตระกูลเซารอน ช่วยให้หญิงสาวตระหนักถึงสถานะที่แท้จริงของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องช่วยตระกูลเซารอนปกปิดความลับอีกต่อไป? ลูเมี่ยนอ่านนัยแฝงได้สองประเด็นจากคำพูดของอัลบัส
สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กหนุ่มเชื่อว่า อีกฝ่ายเป็น ‘นักวางแผน’ แน่นอนแล้ว โดยภาษากายที่ยียวนชวนหมั่นไส้คือกับดักชั้นนอกเอาไว้ตบตาคน
เอโลอีสไม่ถูกยั่วยุ เพียงถอนหายใจขณะพูด
“ฉันมีสายเลือดเซารอนอยู่ครึ่งหนึ่ง และตัวเองก็เป็นนักล่า ย่อมเดือดร้อนจากคำสาปนั่นด้วย”
พูดถึงตรงนี้ เธอหันไปมองอัลบัส·เมดีซี
“แล้วคุณมาทำอะไรในส่วนลึกของคูหาใต้ดิน? คงไม่ได้มาเพื่อเล่นเกมเด็กน้อยของลูกพี่ลูกน้องฉันกระมัง”
อัลบัสกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งเสียใจถึงจริงใจ
“คำสาปของตระกูลเซารอนควรจบลงได้แล้ว”
“เพื่อทำลายคำสาปนี้ ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจแก่นสารและแหล่งกำเนิดของคำสาปให้ได้”
“ใจดีขนาดนั้นเชียว?” เอโลอีสมิได้ทำตัวว่านอนสอนง่ายอีกต่อไป
อัลบัสหัวเราะ
“คุณไม่เข้าใจหรอก นี่คือระดับสูงสุดของความรัก ความเมตตา และความกรุณาอันไร้ขอบเขต ผมก็เป็นคนแบบนั้นแหละ”
ถ้าฉันเชื่อนายก็คงจะโง่เต็มที…แต่นักวางแผนตัวจริงจะไม่โกหกล้วน ต้องเล่าครึ่งจริงครึ่งเท็จเสมอ หรืออาจจริงทั้งหมด แต่ขาดส่วนสำคัญไป…อะไรที่จริงในคำตอบของอัลบัส·เมดีซีเมื่อครู่? เขาคงไม่ได้อยากช่วยตระกูลเซารอนทำลายคำสาปจริงๆ หรอก ก็ตามที่เอโลอีสพูด เราเองก็ไม่เชื่อว่าคนนอกที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับตระกูลเซารอน จะใจกว้างดุจดังมหาสมุทรขนาดนั้น…หรือว่าหากเขาต้องการจะบรรลุเป้าหมายที่แท้จริงของตน ผลลัพธ์ดังกล่าวคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้? ลูเมี่ยนเงียบฟังพลางวิเคราะห์คำตอบของ ‘พวกพ้อง’ ทั้งสอง
เด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้ปักใจเชื่อเอโลอีส มองว่าเธอเองก็เล่าความจริงแค่บางส่วน
สตรีผู้นี้เปลี่ยนท่าทีกะทันหัน แถมยังออกคำสั่งไล่แมงมุมยักษ์สีดำให้ถอยไปได้ ย่อมไม่มีทางเป็นแค่เด็กสาวที่อาศัยอยู่กับปู่อย่างเจียมตัวแน่!
เอโลอีสตอบสนอง ‘คำอธิบาย’ ของอัลบัสด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน แล้วทันใดนั้น ทั้งสองก็หันมามองลูเมี่ยนพร้อมกัน เอ่ยถามพร้อมกัน
“แล้วคุณลงมาทำอะไรที่ส่วนลึกของคูหาใต้ดิน?”
“ผมนะหรือ?” ลูเมี่ยนชี้ตัวเองด้วยมือซ้ายที่ยังว่าง แล้วตอบอย่างซื่อตรง “ผมถูกส่งมาสืบหาเหตุผลที่ตระกูลเซารอนเสื่อมถอย แถมยังมอบบางสิ่งมาให้ด้วย”
ผู้มอบหมายคือการ์ดเนอร์·มาร์ติน ส่วน ‘บางสิ่ง’ สื่อถึงมลทินอันตรายในบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด แต่ลูเมี่ยนไม่ได้บอกว่าตนรับไว้หรือไม่
อัลบัสยิ้มมุมปาก เนื่องจากทราบ ‘ตัวจริง’ ของลูเมี่ยนดี จึงทำเพียงแค่ยอมรับคำโกหก
ดวงตาเอโลอีสขยับเล็กน้อย ราวกับกำลังเร่งวิเคราะห์ว่าส่วนใดในคำพูดลูเมี่ยนเป็นจริง และส่วนใดเป็นเท็จหรือไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ลูเมี่ยนถอนหายใจแล้วชิงตำหนิอัลบัสกับเอโลอีส
“นักล่าอย่างพวกคุณนี่นะ คุยกันมาตั้งนาน แต่ไม่มีเลยสักคนที่ก้าวเท้าเข้าไป!”
ทั้งสามยังคงปักหลักยืนอยู่หน้าประตู ไม่มีใครบุ่มบ่ามเข้าไปในห้องโถง ต่างก็รอคอยให้พวกพ้องลุยเข้าไปในดงกับระเบิดก่อนตน
“คุยกับพวกคุณนี่เสียเวลาเปล่าจริงๆ” อัลบัสช่วยเสริมหนึ่งประโยค
เขายังไม่ได้ก้าวเข้าไป แต่พูดพลางเดาะลิ้น
“ในเวลาแบบนี้ ถ้ามีผู้วิเศษเส้นทาง ‘ลูกเรือ’ อยู่ด้วยก็คงจะดี”
“อย่าด่วนสรุปว่าผู้วิเศษเส้นทาง ‘ลูกเรือ’ จะต้องหุนหันพลันแล่น ประมาท และใจร้อนเสมอไป โอสถอาจสร้างอิทธิพลได้บางส่วน แต่ปัจจัยสำคัญที่กำหนดพฤติกรรมคนยังคงเป็นอุปนิสัยและประสบการณ์ ถ้าคุณเผชิญหน้ากับเส้นทาง ‘ลูกเรือ’ ด้วยมายาคติแบบนั้น รับประกันได้เลยว่าฝ่ายที่กลายเป็นตะกอนพลังคือคุณ” เอโลอีสถากถางอัลบัส
ลูเมี่ยนไม่เข้าไปร่วมวงทะเลาะเบาะแว้งกับทั้งสอง เพียงถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ต่อให้เราไม่ได้เลือกทางเดินตรงกลางและ ‘ประตูบ้าคลั่ง’ แต่สุดท้ายก็จะมาถึงห้องนี้อยู่ดีสินะ?”
“ใช่ แต่บางห้องกลางทางอาจอันตรายกว่านี้” เอโลอีสกวาดตามองเข้าไปในห้องโถง แต่ยังคงไม่ขยับเขยื้อน
ลูเมี่ยนพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ
“จะได้เจอกับสัตว์ประหลาดครึ่งเทพไหม?”
“ตะกอนพลังครึ่งเทพถูกเก็บกลับไปเกือบหมดแล้ว ในคูหาใต้ดินส่วนใหญ่เป็นพวกที่ต่ำกว่าครึ่งเทพ จึงถูกใช้เป็นเขตหวงห้ามสำหรับการล่า เพื่อฝึกฝนและพัฒนาสมาชิกตระกูลเซารอน” เอโลอีสดูจะไม่ปิดบังความลับเกี่ยวกับตระกูลเซารอนเลย
เก็บกลับไปเกือบหมด…อีกนัยหนึ่งคือ บางส่วนยังคงอยู่ในส่วนลึกของคูหาใต้ดิน? ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีสมาชิกหลักบางคนหายตัวไปโดยสิ้นเชิง? ตระกูลเซารอนไม่อยากเก็บกลับไป หรือไม่มีปัญญาจะเก็บกลับไป?
อา…คำอธิบายของเอโลอีสสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลเซารอน พวกเขาอาจมีครึ่งเทพในระดับนักบุญไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน สมาชิกหลักบางคนกระจายอยู่ในกองทัพ แวดวงการเมือง และธุรกิจ โดยที่ทุกคนล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา…สิ่งที่พวกเขาขาดแคลนคือ ขุมพลังในลำดับที่สูงกว่านั้น? ไม่มีเทวทูตเลยสักตน มีเพียงสมบัติปิดผนึกระดับ 0 หรือว่ายังพอมีเทวทูตสักหนึ่งตน? ลูเมี่ยนกวาดสายตา แล้วพบว่าเอโลอีสกับอัลบัสช่างมีน้ำอดน้ำทน ราวกับตรึงตัวเองไว้ในตำแหน่ง
ว่ากันตามตรง ลูเมี่ยนอยาก ‘อ่านชะตา’ ของอัลบัสกับเอโลอีสแทบแย่ เพื่อดูว่าชะตาของพวกเขามีแนวโน้มอย่างไร จะได้ประเมินระดับอันตรายภายในห้องโถงถูก แต่พอคำนึงถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเอโลอีสเมื่อครู่ กับเรื่องที่เทอร์มีโพลอสทำตัวเงียบผิดปกติในพักหลัง เด็กหนุ่มจึงพับแผนเก็บไป
ไม่เพียงมีความเสี่ยงสูง แต่ยังอาจทำให้เขาไขว้เขว!
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนพลันเกิดลางสังหรณ์อันตราย
เด็กหนุ่มหันหลังขวับ ส่องสายตากับโคมไฟคาร์ไบด์ไปยังความมืดมิดบนทางเดินด้านหลัง
อัลบัสกับเอโลอีสก็เคลื่อนไหวแบบเดียวกัน
บนทางเดินลาดขึ้น มือข้างหนึ่งยื่นออกจากความมืด บนผิวหนังปูดโปนไปด้วยเส้นเลือดสีแดงเข้มเกือบดำหลายเส้น ฝ่ามือของมันทาบลงบนผนังที่ฉาบด้วยแสงสีเหลืองอมส้ม
หนังตาลูเมี่ยนกระตุกทันที เนื่องจากยังไม่ลืมฉากที่ฝังใจที่สุดในฝันร้ายอันเกิดจากเกมเค้กพระราชานั่น
ในโลงศพทองสัมฤทธิ์ที่รายล้อมด้วยเทียนสีขาว มือข้างหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนสีแดงเข้มจนเกือบดำโผล่พรวดออกมา ในอุ้งมือกำหัวใจที่แห้งเหี่ยวสีดำคล้ำ แต่ยังมีเลือดไหลซึมเล็กน้อย!
ตัวอันตรายในโลงศพทองสัมฤทธิ์โผล่ออกมาแล้ว? ลูเมี่ยนพลันบังเกิดความหวาดกลัวอย่างแรงกล้าก่อนจะได้ใช้ ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ หลบหนี ร่างกายต้องการยอมจำนนพร้อมกับก้มหัวลงอย่างมิอาจควบคุม
ด้วยแรงต่อต้านและแรงขัดขืนตามสัญชาตญาณ เด็กหนุ่มกับอัลบัส รวมถึงเอโลอีส ต่างก็ผงะก้าวถอยหลังจากจิตใต้สำนึก ย่างเข้าสู่เขตห้องโถงเต็มตัว
เพียงพริบตาเดียว วิสัยทัศน์ของทั้งสามพลันท่วมท้นไปด้วยภาพหลอนพร้อมกัน
ลูเมี่ยน ‘เห็น’ ห้องโถงถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟลวงตาสีม่วง ดูคล้ายกับนรกโลกันตร์ในเทพนิยายหรือตำนาน
แกนกลางของเปลวไฟสีม่วงคือโลงศพทองสัมฤทธิ์นั่น ซึ่งบัดนี้กำลังโปร่งแสงดุจดังไร้ตัวตน เผยให้เห็นวงแหวนสีเหล็กดำที่ถูกโลงศพกดทับอยู่
วงแหวนดังกล่าวฝังอยู่บนพื้น กึ่งกลางเป็นน้ำพุโลหิตสีเลือดข้น ในบ่อน้ำพุเต็มไปด้วยหัวใจแห้งเหี่ยวสีดำ ซึ่งบ้างก็จมบ้างก็ลอย
รอบวงแหวนสีเหล็กดำมีเส้นเลือดฝอยแผ่ขยายออกไป บ้างล้อมรอบโลงศพทองสัมฤทธิ์ บ้างก็เชื่อมต่อกับเทียนไขสีขาว
วินาทีถัดมา ลูเมี่ยนได้ยินเสียงคำรามอันบ้าคลั่งดุร้าย ราวกับมาจากส่วนลึกของโลก
ห้วงความคิดเต็มไปด้วยเสียงหึ่ง ร่างทั้งร่างหมดสติฉับพลัน
…………
ท่ามกลางความมืดอันไร้สิ้นสุด ไร้ขอบเขต ลูเมี่ยนที่กำลังสับสนงุนงงได้ยินเสียงอันยิ่งใหญ่ซ้อนทับกันอย่างเลือนราง แต่ฟังเนื้อหาไม่ได้ศัพท์
เด็กหนุ่มพยายามเค้นโสตประสาทฟัง แล้วก็ได้ยินท่วงทำนองอันไพเราะของโอลัวร์ผสมปนเปกับเสียงขลุ่ยจากคนเลี้ยงแกะ
“ฉันคือเอลฟ์ใบไม้ผลิ…”
เสียงเหล่านั้นค่อยๆ ดังอื้ออึง ลูเมี่ยนเริ่มอุ่นที่ฝ่ามือขวา
ความร้อนลุกลามรวดเร็วคมชัด ความอุ่นเริ่มกลายเป็นความแสบร้อนเหมือนถูกเผา
เจ็บ…เจ็บชะมัด! ลูเมี่ยนพลันเบิกตาโพลงพร้อมกับได้สติตื่น
เบื้องหน้าคือลูกไฟสีแดง ร่างกายรู้สึกเหมือนถูกตรึงอยู่กับโครงค้ำโลหะที่บีบบังคับให้ต้องยืนตรง
บัดนี้ ชายในชุดคลุมสีดำเจ้าของเคราสีแดงเพลิง รูปลักษณ์คล้ายครึ่งคนครึ่งสิงโตกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าโครงค้ำโลหะ ถือก้อนขี้ผึ้งสีขาวพลางกดลงบนร่างกายเด็กหนุ่มทีละก้อนสองก้อน
ลูเมี่ยนไม่ลังเลอีกต่อไป ไม่พินิจพิเคราะห์เพิ่มเติมหรือวางแผนต่อสู้ รีบกระตุ้นรอยประทับสีดำบนไหล่ขวาทันที
ท่ามกลางแสงแวบวาบ เด็กหนุ่มหายลับไปจากโครงค้ำโลหะพร้อมกับก้อนขี้ผึ้งสีขาวตามร่างกาย
ณ ทางเข้าคูหาใต้ดินของปราสาทหงส์แดง ร่างของลูเมี่ยนปรากฏขึ้นในพริบตา
เด็กหนุ่มรีบสำรวจรอบตัว เมื่อไม่พบความผิดปกติก็ถอนหายใจโล่งอก
ถัดมา ลูเมี่ยนปัดก้อนขี้ผึ้งขาวบนตัวออก แล้วตรวจสอบสัมภาระ
เด็กหนุ่มประหลาดใจเล็กๆ เมื่อพบว่า ไม่เพียงสมบัติวิเศษ เหรียญทองหรือธนบัตร แต่ยาต่างๆ ก็ยังไม่หายไปไหน หรือแม้กระทั่งตะกอนพลังของ ‘ช่างทำหุ่น’ และหัวใจเหี่ยวแห้งที่ได้จากคูหาใต้ดินก็ล้วนยังอยู่ครบถ้วน
ไม่ถูกค้นตัว? ลูเมี่ยนประหลาดใจ ห้วงความคิดปะติดปะต่อภาพที่ไม่ต่อเนื่องหลายฉาก
เป็นภาพของตัวเองกำลังเดินอยู่ท่ามกลางความมืดอย่างเงียบงันโดยปราศจากโคมไฟคาร์ไบด์
ในภาพเหล่านั้น สีหน้าแววตาของเขาล้วนแข็งทื่อ ประหนึ่งหุ่นขี้ผึ้งก็มิปาน
ท้ายที่สุด เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในห้องหนึ่งด้วยตัวเอง มุดเข้าไปในโครงค้ำยันโลหะด้วยตัวเอง แล้วรอให้ ‘ช่างทำหุ่น’ เปลี่ยนเขาเป็นหุ่นขี้ผึ้งอย่างอดทน
ยังกับไม่ใช่ตัวเราเลย…ลูเมี่ยนลูบศีรษะที่กำลังปวดแปลบ แล้วตัดสินใจเดินขึ้นบันไดเพื่อออกจากคูหาใต้ดิน
ไม่นานเด็กหนุ่มก็กลับมาถึงห้องรับแขกบนชั้นหนึ่ง เห็นกวีอีแลตกำลังจิบอัปแซ็งต์อย่างร่าเริง
“คุณก็กลับมาด้วยหรือ” อีแลตถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“ใช่” ลูเมี่ยนที่สงบใจได้แล้ว นั่งลงบนโซฟาพลางตอบยิ้มๆ “ผมแยกกับพวกเขาน่ะ”
เพิ่งจะพูดจบ อัลบัสเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิง ก็ปรากฏตัวจากประตูห้องรับแขกใหญ่
……………………………………………………..