ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 420 ของวิเศษ
ตอนที่ 420 ของวิเศษ
……….
แม้เบียทริซ·อังกูร์จะสิ้นลมแล้ว แต่ดูเหมือนมีบางสิ่งในตัวเธอกำลังฟื้นคืนชีพ เริ่มแผ่ซ่านดุจดังไอระเหย ลอยขึ้นสู่สถานที่แสนไกลอันมืดมิด
สิ่งนี้ทำให้แสงรอบข้างริบหรี่ลง เพดานอพาร์ตเมนต์ดูเลือนรางอย่างน่าพิศวง ทั้งลูเมี่ยน ฟรังก้า และบราวส์ ต่างรู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง
มิใช่ความรู้สึกเหมือนมีสายตามองมาโดยตรง แต่คล้ายกับในอาคารหลังนี้มีเพียงพวกตนสามคน ไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง ล่อนจ้อนโล่งโจ้งท่ามกลางแสงจันทร์สีแดงที่ฉายส่อง
ตึกตัก! หัวใจลูเมี่ยนเต้นแรงฉับพลัน
สองนางมารผู้เชี่ยวชาญการทำนาย ยิ่งรู้สึกถึงอันตรายอย่างแรงกล้า
ปึด! บนใบหน้าของเบียทริซ·อังกูร์ มีตุ่มเลือดโปร่งแสงผุดขึ้นมา ภายในตุ่มนั้นยังมีติ่งนูนสีน้ำตาลเหมือนเนื้อไม้งอกออกมา
ติ่งเนื้อไม้นูนทะลุตุ่มเลือดออกมา เปรอะเปื้อนน้ำเลือดน้ำหนอง เปียกชื้นและเหนียวหนับ
นี่มัน…รูม่านตาลูเมี่ยนขยายวูบ มิได้คาดหวังพัฒนาการเช่นนี้มาก่อน
เด็กหนุ่มสังหารคนของ ‘สมาคมเสียวซ่าน’ มาไม่น้อย เคยอยู่ใกล้ศพพวกเขานานกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่กลับไม่เคยพบเจอการเปลี่ยนแปลงใดเลย เมื่อตายก็ถือเป็นอันจบสิ้น ไม่เคยเกิด ‘กระแสมืด’ อันลึกลับน่าหวาดหวั่นที่เต็มไปด้วยปริศนาเช่นนี้
แม้จะยังไม่เข้าใจความเป็นไป แต่ลูเมี่ยนก็คิดวิธีรับมือได้แล้ว
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองเพดานอันพร่ามัว สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวเบาบางจากผนัง วางแผนจะก้าวออกไป คว้าศพของเบียทริซ แล้ว ‘เทเลพอร์ต’ ไปยังโพรงเหมืองอัลแบร์ที่เคยไปมาก่อน
ยิ่งใกล้ทรีอาร์ใต้ดินยุคที่สี่มากเพียงใด อันตรายก็ยิ่งเอ่อล้น แฝงเร้นไปด้วยมลทินและปัจจัยนอกเหนือการควบคุม ดังนั้น ถึงจะเพิ่มศพที่กำลังผิดปกตินี้เข้าไป ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาร้ายแรงแต่อย่างใด
ที่นั่นเป็นศูนย์รวมของปัญหาอยู่แล้ว!
เมื่อไปถึง ลูเมี่ยนจะทิ้งร่างของเบียทริซไว้ แล้วใช้ ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ เป็นครั้งที่สาม กลับสู่พื้นดิน หนีให้ไกลจากอันตราย
เด็กหนุ่มคิดแผนเสร็จในเวลาอันสั้น ขณะเตรียมลงมือ กลับถูกฟรังก้าชิงตัดหน้าไป เธอเคลื่อนไหวด้วยสัญชาตญาณ ก้าวเท้าเข้าหาศพของเบียทริซที่เริ่มงอกติ่งนูนก้อนที่สอง
กระจกโบราณบานดังกล่าว เชื่อมต่อกับ ‘โลกในกระจก’ อันแสนอันตรายและพิสดาร เธอจะลองยัดศพเบียทริซที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสุดพิลึกใส่เข้าไป ปล่อยให้อันตรายประจันหน้ากัน!
ด้วยแผนนี้ พวกเธอสามารถยื้อเวลาเพื่อเตรียมตัวขั้นถัดไป ไม่ว่าสุดท้ายแล้วผู้ศรัทธาไร้ชีวิตของ ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ จะเป็นฝ่ายชนะ หรือโลกในกระจกสุดพิสดารจะกลืนกินมลทินพร้อมกับ ‘กวาดล้าง’ ความผิดปกติ แต่มันก็จะไม่ส่งอิทธิพลต่อฟรังก้า ต่อมนุษย์ทุกคนตรงนี้ และต่อผู้อยู่อาศัยโดยรอบ
เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว บราวส์·เซารอนยังขาดประสบการณ์อยู่มาก คิดแต่จะใช้เพลิงทมิฬแผดเผาพลังวิญญาณที่ยังหลงเหลือในซากศพ ตามด้วยการใช้น้ำแข็งแช่ปรากฏการณ์พิสดารนี้ไว้ พยายามระงับสถานการณ์อันย่ำแย่ด้วยวิธีที่สุดแสนจะ ‘นางมาร’
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนกับฟรังก้าต่างรู้สึกว่า แสงรอบตัวยิ่งหรี่ลงกว่าเก่า ประหนึ่งสูญเสียแสงจันทร์สีแดงเรื่อจากมุมสูงไป เหลือเพียงแสงจากตะเกียงแก๊สบนผนังไม่กี่ดวง
โดยไม่ตั้งใจ ลูเมี่ยนหันไปมองหน้าต่าง พบว่ากระจกตรงนั้นล้วนกลายเป็นดำมืด ไม่โปร่งใสอีกต่อไป เปลี่ยนจาก ‘ช่องทาง’ เชื่อมภายในกับภายนอก เป็น ‘กำแพง’ ปิดล้อมมิติที่แห่งนี้ไว้
แทบจะในเวลาเดียวกัน สิ่งเร้นลับที่ระเหยจากร่างของเบียทริซทีละนิด ดูเหมือนจะหลงทิศกะทันหัน มิอาจหาเส้นทางไปยังเป้าหมายอันไกลโพ้น จึงได้แต่วนเวียนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งจมลงไปทีละนิด
ความเชื่อมโยงลึกลับระหว่างพวกมัน กับปลายทางนิรนามอันห่างไกล บัดนี้ถูกตัดขาดลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูเมี่ยน ฟรังก้า หรือบราวส์ ต่างก็พลันสูญเสียความรู้สึกสั่นสะท้านเหมือนถูก ‘มอง’ จากที่ไกลโพ้น หรือถูกสายตา ‘ฉาบแสงสว่าง’
ตุบๆ หัวใจของพวกเขาเริ่มเต้นสงบ ทุกคนเห็นติ่งเนื้อไม้บนร่างเบียทริซแห้งเหี่ยวในพริบตา ไม่มีตุ่มเลือดใหม่ผุดขึ้นอีก
บรรยากาศมืดสลัวรอบศพ กลับไปเป็นปกติอีกครั้ง สิ่งเร้นลับที่จมลงเริ่มเกาะกุมผิวของสร้อยคอเพชร ตรงลำคอของเบียทริซ
…………
ใต้แสงจันทร์สีแดงเรื่อยามราตรี อาคารเลขที่ 23 บนถนนเมนิลกลับมืดสนิท หน้าต่างทุกบานไร้แสงสว่าง ปราศจากเงาคน บรรยากาศตายซากน่าหดหู่ราวกับบ้านผีสิง
ขณะเดียวกัน ภายในสักห้องหนึ่งของอพาร์ตเมนต์ฝั่งตรงข้าม มือขาวผ่องกำลังถือกระจกทรงประหลาดลายโบราณ
กระจกบานนี้รายล้อมด้วยรูปปั้นงูดำ พัวพันกันหลายเส้น โดยที่ส่วนหัวของงูแต่ละเส้น แทนที่จะเป็นปากหรือเขี้ยว กลับมีเพียงนัยน์ตาเดี่ยวดวงใหญ่ สีแดงเลือดนก
ทุกชั้นของตึกดังกล่าว มีหน้าต่างที่ส่องแสงสีเหลืองอมส้มจากตะเกียงแก๊สบนผนัง กำลังฉายละครชีวิตครอบครัวฉากแล้วฉากเล่า
ชั้นล่างสุด คนเฝ้าประตูชราสูบก้นบุหรี่ที่ยังไม่ทิ้ง เอนหลังพิงผนังโถงทางเข้า เพลิดเพลินไปกับความสงบยามค่ำคืน บนชั้นสอง คู่สามีภรรยาต่างนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น คนหนึ่งอ่านนิยาย อีกคนกางหนังสือพิมพ์ไว้ตรงหน้า บนชั้นสาม หน้าต่างเปิดทิ้งไว้ครึ่งบาน ชายกึ่งเปลือยคนหนึ่งแอบมองมาทางประตูระเบียง พร้อมจะปีนลงมาได้ทุกเมื่อ เพื่อกระโดดลงสู่ริมถนน…
บนชั้นสี่ ลูเมี่ยน ฟรังก้า และบราวส์ ต่างกวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยความฉงน คนหนึ่งเตรียมใช้พลังบางอย่าง ลองทดสอบดูว่าจะออกจาก ‘ที่เกิดเหตุ’ ได้หรือไม่ อีกคนยื่นมือขวาเข้าไปในกระเป๋าลับ ทำท่าจะหยิบฉวยบางสิ่งออกมา ส่วนอีกคนเหมือนจะคาดเดาอะไรได้ รีบเว้นระยะห่างจากอีกสองคนทันที…
เรียวมือขาวผ่องอีกข้างยื่นเข้ามา ปัดลงบนกระจกประหลาด ซึ่งถูกรายล้อมด้วย ‘งูประหลาด’ ตาเดียว
เพียงพริบตา ตึกที่ประดับประดาด้วยแสงไฟสว่างไสว ก็พลันหายลับไปจากผิวกระจก โดยที่ตึกอพาร์ตเมนต์เลขที่ 23 บนถนนเมนิล ซึ่งเคยมีบรรยากาศตายซากหม่นหมอง เริ่มทยอยมีไฟสว่างทีละดวง มีเงาคนฉายทีละหนึ่ง สารพัดเสียงเริ่มดังให้ได้ยินไกลออกไป
…………
หลังจากมองดูรอบตัวแล้ว ลูเมี่ยนพบว่า อพาร์ตเมนต์ของอเดนากลับสู่ภาวะปกติโดยสมบูรณ์ ไม่หลงเหลือความผิดปกติอย่างการถูกห่อหุ้มด้วยความมืด จนแสงจันทร์สีแดงส่องเข้ามาไม่ถึง หรือหน้าต่างกระจกกลายเป็นกำแพงสีดำสนิท
ร่างของเบียทริซ·อังกูร์นิ่งสนิทไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงอันน่าหวาดหวั่นหวาดกลัวเมื่อสักครู่ ราวกับเป็นเพียงภาพหลอนของฝันร้าย
ลูเมี่ยนที่พร้อมจะคว้าตัวฟรังก้า ‘เทเลพอร์ต’ หนีไปได้ตลอดเวลา เลิกกังวลกับการจู่โจมที่อาจเกิดขึ้น จิตใจผ่อนคลายลงหลายส่วน หันไปมองบราวส์·เซารอนด้วยหางตา
ระดับนิกายนางมาร คงไม่มีทางส่งสมาชิกอ่อนประสบการณ์แค่คนเดียวมา ‘ตัดเกรด’ ฟรังก้าแน่…
เมื่อสักครู่เป็นฝีมือของนางมารแถวหน้าสักคน ผู้คอยแอบจับตามองพลางกำกับสถานการณ์อยู่เบื้องหลัง ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยระงับเหตุร้ายให้พวกเราได้ทันเวลา?
อิทธิฤทธิ์ระดับนี้ จะมองมุมใดก็ไม่ใช่ผู้วิเศษลำดับกลาง ต้องเป็นนางมารลำดับสูง หรือไม่ก็ลำดับ 5 ‘นางมารทุกข์ระทม’ ที่ครอบครอง ‘ของวิเศษ’ แฝงเทวบารมีเสียมากกว่า
ถึงว่าบราวส์กล้าเข้ามาในห้อง โดยไม่กลัวว่าเรากับฟรังก้าจะโจมตีใส่…
ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่า นางมารที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาผู้นั้น เห็น ‘วิชาฮึ่มฮ่า’ ของเราหรือไม่…
ฟรังก้ากำลังคิดเรื่องเดียวกัน จึงละสายตาจากหน้าต่าง กวาดมองผ่านบราวส์·เซารอน
เธอเผยสีหน้ากังขาอย่างเถรตรง แต่มิได้เอ่ยปากถาม เพียงก้มมองศพของเบียทริซ แล้วพูดด้วยความฉงนใจเล็กๆ
“ดูเหมือนสร้อยเส้นนี้จะเปลี่ยนไปจากเดิมนิดหน่อยนะ”
ลูเมี่ยนก็สังเกตเห็นเช่นกัน โดยรู้สึกว่าเพชรในสร้อยเส้นดังกล่าว กำลังสะท้อนแสงจากตะเกียงแก๊สบนผนังทุกด้าน ส่องประกายจนเขาเห็นแล้วใจสั่นปากแห้ง
มันกลายเป็นอาวุธวิเศษคล้าย ‘ปรอทเสื่อมทราม’ ไปแล้ว? ที่ครั้งก่อนๆ ไม่เป็น เพราะไม่เคยเกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ ส่งผลให้ ‘พร’ ทั้งหมดหวนกลับสู่รากเหง้าได้อย่างราบรื่น? ลูเมี่ยนคาดเดาเบื้องต้น พลางเดินไปคุกเข่าลงข้างศพ
เด็กหนุ่มบรรจงยื่นมือไปหาสร้อย แต่เพียงสัมผัสพื้นผิวครู่เดียว ก็รู้สึกถึงการพลุ่งพล่านของแรงกระหายนานาชนิด คุกรุ่นจนยากจะระงับไว้
ลูเมี่ยนรีบชักมือขวากลับ จึงหลุดพ้นจากสภาวะร้อนรุ่มดุจดังเลือดลมสูบฉีดทั่วกาย
เขาผู้ถือครอง ‘ทุบตี’ กับสมบัติวิเศษชิ้นอื่น ซ้ำยังแบกรับผลค้างเคียงเชิงลบจากพันธสัญญาหลายฉบับ ไม่เหมาะจะสัมผัสสร้อยคอที่ปลุกแรงกระหายเพิ่มเติมจากก้นบึ้งจิตใจเพิ่ม
“คุณมาหยิบ” ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน ส่งสัญญาณให้ฟรังก้าจัดการ
ฟรังก้าไม่ปฏิเสธ ถอดสร้อยเพชรออกมาด้วยความคาดหวังยิ่ง
ทั้งสองไม่อยู่ต่อ กล่าวลาบราวส์ แล้วเดินทางกลับเขตตลาดทันที
…………
ถนนใหญ่ตลาด
ฟรังก้าแก้ปัญหาเบียทริซได้สำเร็จ จนมีแนวโน้มว่าจะผ่านการ ‘ตัดเกรด’ ของเหล่านางมาร แถมยังได้สมบัติวิเศษที่น่าจะเข้ากันดีกับพลังของ ‘นางมารสุขสม’ มาครอง จึงกำลังอารมณ์ดีไม่เบา แทบจะฮัมเพลงในคอเพื่อแสดงความสดใสร่าเริง
เธอมองลูเมี่ยนที่เอาแต่เดินไม่พูดไม่จา
“เป็นอะไรไป”
“ผมกำลังคิดอยู่ว่า ไมป์·ไมเออร์ซ่อนอยู่ที่ไหน…” ลูเมี่ยนหยุดเล็กน้อย แล้วเสนออย่างจริงจัง “เราลงใต้ดินกันเถอะ ตอนนี้เลย”
ฟรังก้าชะงักไปก่อน แล้วก็เข้าใจความคิดของลูเมี่ยน
“คุณคิดว่าไมป์·ไมเออร์ จะย้อนกลับไปยังห้องที่ซูซานนา·มาติสเคยใช้บูชาพฤกษาเงา?”
“ก็อาจจะ” ลูเมี่ยนไม่แน่ใจ เพียงรู้สึกว่า อาจมีเบาะแสหรือร่องรอยหลงเหลืออยู่บ้าง
ฟรังก้าที่มองว่าตนได้กำไรจากสมบัติวิเศษแล้ว จึงไม่ได้ทัดทาน ยอมลงทรีอาร์ใต้ดินกับลูเมี่ยนจากทางเข้าใกล้ๆ ถนนใหญ่ตลาด
อาศัยแสงสว่างจากลูกไฟ ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางที่ค่อนข้างคุ้นเคย ผ่านโพรงเหมืองพังทลายที่เคยฝังลุนทาสแห่งสมาคมเสียวซ่าน และยังเป็นจุดที่จินนาเคยถูกมอมยา เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณแท่นบูชา ซึ่งคราวก่อนไม่กล้าเข้าใกล้
แถวนี้เต็มไปด้วยร่องรอยไฟไหม้ ปราศจากสิ่งมีชีวิต ปราศจากกลิ่นอับชื้น ราวกับถูกแดดจัดแผดเผานานหลายวัน เหลือไว้เพียงกองโครงกระดูกแห้งขาวของสารพัดสิ่งมีชีวิต
จุดที่เคยยุบและแยกตัวตรงกลางถ้ำ ถูกอุดด้วยก้อนดินหิน ลูเมี่ยนสังเกตอย่างละเอียดสักพัก ก็พบร่องรอยใหม่ๆ รอบตำแหน่งแท่นบูชาเดิม
มันชัดเจนว่าไม่ได้มาจากคนคนเดียว แต่มาจาก ‘ผู้เยี่ยมชม’ ที่หลากหลาย
มองร่องรอยเหล่านี้ มองจุดที่เคยยุบลงใต้ดินแต่ถูกอุดกลับ ในใจเด็กหนุ่มพลันผุดคำว่า ‘พฤกษาเงา’ ‘บ่อน้ำสตรีซามาเรีย’ รวมถึงแผนการของ ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ ที่เกิดขึ้นรอบตัวกะทันหัน
สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนมาจากต่างแหล่งที่มา กระจัดกระจายหลากหลาย แต่กลับมีจุดร่วมหนึ่งอย่าง
ทั้งหมดล้วนชี้ลงใต้ดินโดยตรงหรือโดยอ้อม ชี้ไปยังประวัติศาสตร์ ชี้ไปยังอันตรายที่ซ่อนอยู่ใต้ดินของทรีอาร์!
……………………………………………………..