ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 387 ชั่วร้าย
ตอนที่ 387 ชั่วร้าย
ในห้องที่มีม่านหนา
ลูเมี่ยนพบว่า ‘กระจกตัวแทน’ ที่ซ่อนในเสื้อ เย็นเฉียบผิดปกติ แม้อยู่ใต้เสื้อเชิ้ตลินินก็ยังสั่นสะท้าน
เด็กหนุ่มใจหายวาบ ลุกขึ้นนั่งทันที หยิบกระจกออกมา
ภายใต้แสงจันทร์สีแดงเรื่อ กระจกขุ่นมัว จับแล้วเหมือนก้อนน้ำแข็ง
ลูเมี่ยนทราบทันทีว่าเกิดเรื่องกับฟรังก้า จึงปล่อยให้รอยประทับสีดำบนไหล่ขวาเปล่งแสง โดยอาศัยการเชื่อมโยงทางศาสตร์เร้นลับระหว่างกระจกกับร่างต้นช่วยนำทาง
ร่างของเขาหายวับไปจากเตียง ไปโผล่ที่ห้องนั่งเล่นของอพาร์ตเมนต์ในตึกเลขที่ 6 ถนนเสื้อนอกขาว
แทบจะในเวลาเดียวกัน ลูเมี่ยนเห็นรอบตัวขุ่นมัว เหมือนคลุมด้วยหมอกที่ปิดกั้นแสงจันทร์สีแดงเรื่อ ส่วนฟรังก้านอนแข็งทื่ออยู่บนเก้าอี้เอนหลัง ร่างกายบิดเบี้ยวเหมือนกำลังดิ้นรนให้รอดพ้นจากความตาย
นัยน์ตาสีทะเลสาบของเธอแฝงไว้ด้วยความโกรธ กลัว ร้อนรน และหวั่นวิตก ภายนอกเหมือนถูกอีกร่างคลุมทับอยู่ ศีรษะของเธอฝืนขยับอย่างเชื่องช้า แต่ถูกเชือกมองไม่เห็นดึงกระตุก
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนกับฟรังก้าได้ยินเสียงเหมือนเล็บขูดกระดานดำพร้อมกัน
เป็นคำที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ทิ่มแทงกายวิญญาณของพวกเขา พาจิตใจของทั้งสองล่องลอยไปยังความว่างเปล่าอันมืดมิด ซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ
บนจุดสูงสุดของความว่างเปล่า สัญลักษณ์ลึกลับนับไม่ถ้วนที่ยากจะอธิบายรูปร่าง กำลังลอยไปลอยมา
พวกมันล้อมรอบความมืดที่แม้แต่แสงยังส่องไม่ผ่าน กลายเป็นประตูพิสดารบานใหญ่ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
กายวิญญาณของลูเมี่ยนกับฟรังก้า ลอยไปทางประตูดังกล่าวอย่างมิอาจหยุดยั้ง ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมา
มันเหมือนบรรจุความลับของจักรวาลเอาไว้ทั้งหมด รวมถึงความบ้าคลั่ง การทำลายตัวเอง และความมืดมนในใจทุกคน
ยิ่งเข้าใกล้ประตู เสียงเพรียกยิ่งแจ่มชัด ทำให้ลูเมี่ยนกับฟรังก้าปวดหัวจนแทบระเบิด แต่ขณะเดียวกัน มันก็สร้างอิทธิพลดึงดูดบางอย่าง คอยเรียกพวกเขาเข้าไปในประตู ให้เชื่อมต่อกับสิ่งมองไม่เห็นด้านหลังประตู สร้างพันธลับ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้เกี่ยวกับแก่นแท้ ต้นกำเนิด ความวิเศษ และพลังอำนาจ
ขณะที่สัญลักษณ์ลึกลับนับไม่ถ้วนยังคงลอยไปมา บานประตูเริ่มเปิดแง้ม สิ่งที่มองไม่เห็นจำนวนมาก ซึ่งสัมผัสถึงตัวตนได้ แต่มองไม่เห็นรูปร่างของมัน กรูกันออกจากช่องว่างประตู
ท่ามกลางเสียงหึ่ง ความคิดของลูเมี่ยนกับฟรังก้ากลายเป็นว่างเปล่า เหมือนถูกค้อนยักษ์ฟาดเข้าอย่างจัง
เสียงเพรียกที่พวกเขาได้ยินในตอนแรก เริ่มมีชีวิตภายในความคิดของทั้งสอง ทุกคำกลายเป็นตัวประหลาดคล้ายเงา กัดกินกายวิญญาณและเนื้อหนังทุกซอกทุกมุม
ดวงตาของฟรังก้าเบิกกว้างทันใด ผมสีเชือกป่านลอยสยายขึ้นกลางอากาศโดยไร้ลม ดูหนาขึ้นเล็กน้อย
มีเลือดซึมออกจากหางตา จมูก หู ปาก และรูขุมขนนับไม่ถ้วนบนร่างกายเธอ ประหนึ่งมีปีศาจสักตน พยายามแยกเนื้อหนัง แยกผิวของเธอออกจากกัน
ความคิดของฟรังก้าสับสนว้าวุ่น เหมือนถูกโยนเข้าไปในเครื่องผสมของโรงงาน
ถือโอกาสนี้ วิญญาณอาฆาตที่สิงอยู่ในร่างเธอ แยกตัวออกจากนางมารสุขสมทันที
วิญญาณอาฆาตในชุดสูทสั้นสีดำ ดวงตาวาววับเขียวอมมืด เปิดปากส่งเสียงร้องแหลมแสบแก้วหู
ท่ามกลางเสียงแตกสลายคล้ายมายาคล้ายจริง ร่างของฟรังก้าหายไปจากเก้าอี้เอนหลัง โผล่อีกครั้งในห้องนอนเดียวของอพาร์ตเมนต์
แม้ ‘กระจกตัวแทน’ จะทำงานตามกลไกปกติ แต่เธอเพียงหลุดพ้นจากภาวะคลุ้มคลั่ง ยังคงสลบไสลและไม่ได้สติ
ภายใต้แสงสะท้อนจากเศษกระจกที่ร่วงกราวบนเก้าอี้เอนหลัง ลูเมี่ยนซึ่งถูกโจมตีด้วยเสียงเพรียกกับเสียงกรีดร้องเช่นกัน อยู่ในสภาพที่ดีกว่าฟรังก้าพอสมควร
ทุกครั้งที่เขาเลื่อนลำดับหรือขอ ‘พร’ ก็มักต้องทุกข์ทรมานเพราะเสียงเพรียกที่น่าพรั่นพรึงยิ่งกว่า แต่ก็อาศัยการปกป้องจากผนึก อาศัยพลังใจของตัวเอง ฝ่าฟันมาได้ทุกครั้ง จนมีความภูมิคุ้มกันที่สูงพอควร
ยามนี้ แม้เด็กหนุ่มจะปวดหัวรุนแรง ความคิดขาดหาย เส้นเลือดฝอยแตกหลายจุด แต่ก็ยังไม่ถึงกับสูญเสียสัญชาตญาณหรือความคิดพื้นฐานไปทั้งหมด เพียงโค้งหลังลงตามจิตใต้สำนึก ใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด ท่ามกลางเลือดที่กระเซ็นไปทั่ว
วินาทีถัดมา วิญญาณอาฆาตหายไปจากหน้าเก้าอี้ สะท้อนอยู่บนกระจกตาสีน้ำเงินของลูเมี่ยน
ความคิดของเด็กหนุ่มพร่ามัวกะทันหัน ร่างกายหนาวเหน็บ เหมือนเลือดทุกส่วนถูกแช่แข็ง
ระหว่างที่ยังหลงเหลือความคิด ลูเมี่ยนเตรียมใช้พลัง ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ เพื่อหนีออกจากห้อง ไปโผล่อีกจุดหนึ่ง ซึ่งห่างออกไปหลายร้อยเมตร
เขารู้ดีว่า ‘นักเชิดหุ่น’ ไม่สามารถแปลงร่างเป็น ‘วิญญาณอาฆาต’ หรือต่อให้มีสมบัติวิเศษประเภทดังกล่าว แต่ด้วยรูปแบบการต่อสู้ นักเชิดหุ่นไม่นิยมลงสังเวียนเอง ดังนั้น วิญญาณอาฆาตที่สิงอยู่ในตัวตอนนี้ คงต้องเป็นหุ่นเชิดสักตัว และด้วยธรรมชาติของหุ่นเชิด เมื่อออกจากระยะควบคุมของ ‘นักเชิดหุ่น’ ก็ย่อมต้องสูญเสียการควบคุม จนไม่สามารถแผลงฤทธิ์ได้อีก
เมื่อถึงตอนนั้น ลูเมี่ยนจะ ‘เทเลพอร์ต’ กลับมา พยายามพาฟรังก้าหนี
แม้นี่จะทำให้เขาแทบไม่เหลือพลังสำหรับต่อสู้ แต่ก็ทำลายหุ่นเชิดของโลกิได้หนึ่งตัว อีกฝ่ายต้องชั่งใจว่าจะยอมเสี่ยง หรือจะถอยด้วยความรัดกุม เพราะโลกิไม่มีทางทราบว่า ถังพลังวิญญาณของลูเมี่ยนเพียงพอให้ใช้เทเลพอร์ตได้กี่ครั้ง — นี่มิใช่พลังดังเดิมของนักวางเพลิง โลกิจึงไม่ควรคำนวณได้อย่างแม่นยำ!
ลูเมี่ยนเพิ่งจะเริ่มกระตุ้นรอยประทับ ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ เสียงทุ้มอันน่าหลงใหลก็ดังขึ้นข้างหู
“ยอมแพ้เสียเถิด”
เสียงดังกล่าวทะลวงเข้าไปในกายวิญญาณของลูเมี่ยน นำความสับสนวุ่นวายมาให้ ขัดจังหวะการกระทำของเขา
ต่อมา ความคิดของเด็กหนุ่มเริ่มหนืดหน่วง ร่างกายแข็งทื่องุ่มง่ามมากขึ้นทุกที
เสียงทุ้มอันน่าหลงใหลหัวเราะอย่างไม่สงวนท่าที
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ ว่านายวางกับดักอะไรไว้ในห้องตัวเอง ถ้าให้เดาก็คงเกี่ยวข้องกับเฮล่า เพราะถ้าเธอไม่ช่วย นายก็ปลอมตัวเป็นมักเกิ้ล แทรกซึมเข้าไปในงานชุมนุมของสมาคมไม่ได้… ใช่ไหมล่ะ ลูเมี่ยน·ลี น้องชายของโอลัวร์·ลี? ฉันเห็นหมายจับของนายแล้ว”
“ในทรีอาร์ ข้อมูลของผู้วิเศษที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด คือเส้นทางนักล่า จนถึงกับมีคำพูดติดปากว่า”
“อย่าสู้ในถิ่นของนักล่า”
“ไม่มีใครรู้ว่า นักล่าจะฝังกับดักประหลาดแบบใดไว้ใน ‘ถิ่น’ ของตัวเอง”
“ฉันไม่อยากเสี่ยง และไม่คิดจะเผชิญหน้ากับเฮล่า แม้ใจจริงจะไม่ได้กลัวเธอสักเท่าไร เว้นแต่เธอจะค้นพบวิธีเปิดประตูสู่ครึ่งเทพแล้ว แต่มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องสู้ในถิ่นของนักล่าด้วยล่ะ? ที่เลือกจู่โจม ‘ดาบซ่อนแขน’ ก่อน ก็เพื่อล่อให้นายมาช่วย ดึงนายออกจากถิ่นของตัวเอง มาสู้ในสังเวียนที่ฉันกำหนด”
“ในการหยั่งเชิงตอนบ่าย ฉันก็แน่ใจแล้วว่า พวกนายมีวิธีตรวจสอบสถานะของกันและกัน หรือไม่ก็มีการเชื่อมโยงทางศาสตร์เร้นลับบางอย่าง… อา คงเป็นการแลกเปลี่ยน ‘กระจกตัวแทน’ นั่นแหละ… หึๆ นายคิดว่าตอนนั้น หุ่นเชิดอีกตัวของฉันกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ?”
“ในความเป็นจริง ฉันไม่ได้อยากฆ่า ‘ดาบซ่อนแขน’ และไม่คิดจะเปลี่ยนเธอเป็น ‘หุ่นเชิด’ ด้วย… นางมารเป็นๆ รสชาติดีกว่าเยอะ อีกทั้ง ฉันสามารถใช้ประสบการณ์ในคราวนี้ มอบความเจ็บปวดสิ้นหวังให้เธอ รอให้เธอใช้มันเลื่อนเป็นผู้วิเศษลำดับ 4 ฉันก็จะได้หุ่นเชิดครึ่งเทพ…”
เสียงเหล่านี้มิได้แฝงพลัง ‘ยั่วยุ’ แต่ทุกคำสามารถทำให้ลูเมี่ยนโกรธจนหน้ามืด
ทุกคำพูดส่งผลต่อจิตใจ ส่งผลต่อวิญญาณอย่างเห็นได้ชัด คอยรบกวนการใช้พลังของลูเมี่ยนอยู่ตลอด ยิ่งเมื่อถูกตรึงไว้โดย ‘วิญญาณอาฆาตสิงร่าง’ กับ ‘นักเชิดหุ่น’ ลูเมี่ยนก็แทบจะกลายเป็นรูปปั้นแข็งทื่อ พูดไม่ได้ขยับไม่ได้ ยืนแน่นิ่งอยู่กับที่ รอให้การพิพากษาสุดท้ายมาถึง
หมอกสีเทาจางกำลังปกคลุมห้อง ทำให้การเคลื่อนไหวภายใน ยากที่จะส่งไปถึงโลกด้านนอก
เสียงทุ้มอันน่าหลงใหลพูดไปพลางยิ้ม
“ทีแรกมันไม่ควรยุ่งยากขนาดนี้ แต่นายดันมีผนึกลำดับสูงอยู่ในตัว เสียเวลาฉันต้องเปลี่ยนเป็นหุ่นเชิดก่อน จึงจะรับประกันความปลอดภัยของตัวเองได้… ทางนี้ไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้วิเศษลำดับสูงหลังจากนายตายหรอกนะ ใครจะรู้ว่าพระองค์จะขอบคุณฉัน หรือฆ่าไปด้วยกันเลย”
“คงอยากรู้สินะ ว่าทำไมฉันถึงจำนายได้? ผนึกบนตัวนายน่ะ คนอื่นอาจมองไม่เห็น แต่มันเด่นชัดเหลือเกินในสายตาฉัน ดุจดังหิ่งห้อยในคืนมืด ตอนที่นายเพิ่งไปถึงห้องพิมพ์ดีด ฉันก็มั่นใจทันทีว่า นี่คือคนที่ปลอมตัวเป็นมักเกิ้ล… ดังนั้น ถ้านายทิ้งระยะห่างจากฉันไม่ได้ เหมือนตอนที่หลบหนีสำเร็จครั้งแรก ฉันก็หาตัวนายได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องพึ่งหุ่นเชิด”
“ใช่แล้วล่ะ… ตอนที่นายโผล่มาในงานชุมนุม เข้าร่วมกลุ่มวันเอพริลฟูลของเรา ฉันก็ค้นพบปัญหาได้ทันที เพียงแต่ตอนนั้นสงสัยว่า มักเกิ้ลรอดพ้นจากภาวะวิญญาณแตกสลายได้ด้วยผนึก ใครจะไปคิดว่า เธอตายไปแล้วจริงๆ ส่วนนายเป็นน้องชาย”
“หึๆ … ฉันยังจำได้ดี ในช่วงครึ่งปีหลังของปีก่อน ทุกครั้งที่เธอเข้าร่วมชุมนุม ก็จะให้ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ช่วยรักษาอาการทางจิตที่เกิดจากการใช้ ‘มนตร์เรียกวิญญาณ’ แบบผิดๆ … ส่วน ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ก็คอยนำความเจ็บปวด ความปรารถนา การต่อสู้ดิ้นรน ความอ่อนไหว และการเปลี่ยนแปลงของเธอ มาเล่าให้เราฟังเรื่อยๆ”
“นี่มันชั่วร้ายมากเลยล่ะ ขัดกับจรรยาบรรณแพทย์โดยสิ้นเชิง แต่ก็สนุกมากเช่นกัน ฟังแล้วก็ตื่นเต้นตาม ช่วยให้พวกเรารู้สึกประสบความสำเร็จอย่างล้นเหลือ ต่างคนต่างหัวเราะร่า”
ได้ยินถึงตรงนี้ สติของลูเมี่ยนก็ขาดผึ่ง
ตอนที่โลกิชี้ให้เห็นจุดบกพร่องของตน เขาแค่รู้สึกหงุดหงิด แต่พอโลกิเริ่มพูดถึงโอลัวร์ เด็กหนุ่มพลันโกรธจนปรอทแตก
โอลัวร์ป่วย จึงหาหมอมารักษาด้วยความเชื่อใจ แต่หมอไม่เพียงแค่ทำแบบขอไปที แต่ยังถือเอาความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานของเธอมาเป็นแหล่งความสุข ทรยศความลับของเธอไม่รู้จบ เล่าอาการป่วย เล่าการดิ้นรนของคนไข้ให้คนนอกฟังโดยไม่ปกปิด ปล่อยให้ทุกคนหัวเราะเยาะลับหลัง
และ ‘มนตร์เรียกวิญญาณ’ ที่ทำร้ายโอลัวร์ ก็มาจากคนพวกนี้เช่นกัน
ไอ้พวกเวรตะไล!
ทุกคนในกลุ่ม ไม่มีข้อยกเว้น สมควรตาย!
ด้วยวิธีตายที่น่าสังเวชที่สุด!
แม้ความคิดจะหน่วงหนืด แต่ในท้ายที่สุด ไฟโทสะในใจลูเมี่ยนก็ถึงคราวปะทุ แผดเผาวิญญาณของเขา แผ่ซ่านไปทั่วร่าง
เขาไม่ควบคุมมัน ถึงจะควบคุมก็ทำไม่ได้ เพราะถูกแทรกแซงอยู่ตลอด
เปลวไฟแดงฉานเริ่มล้นทะลักจากร่างลูเมี่ยน เส้นเลือดฝอยสีแดงนับไม่ถ้วนปูดโปนในดวงตา แต่งแต้มด้วยสีเลือดอันน่าขนลุก
นี่คือสัญญาณก่อนการคลุ้มคลั่ง หากปล่อยเอาไว้ ไม่นานก็จะคลุ้มคลั่งอย่างแท้จริง
แต่ลูเมี่ยนไม่กลัว ซ้ำยังให้ความร่วมมือเสียอีก
ต่อให้เรา… คลุ้มคลั่งไป… กลายเป็นสัตว์ประหลาด… เป็นคนบ้า… ก็จะลากพวกแก… ไปด้วยกัน… ตกนรกไปพร้อมกัน!
อาศัย ‘ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณ’ ของร่างกาย สายเปลวเพลิงสีแดงฉานเริ่มแผ่ซ่านไปรอบทิศทาง เผาไหม้ ‘วิญญาณอาฆาต’ จุดไฟเครื่องเรือน ก่อให้เกิดอัคคีภัย
แต่น่าเสียดาย มันแทบไม่ส่งผลกับโลกิที่ไม่รู้ว่าซ่อนอยู่ตรงไหน ไม่ส่งผลกับหุ่นเชิดในร่างวิญญาณอาฆาต เนื่องจากเวลายังน้อยเกินไป เปลวไฟยังไม่สามารถลุกลามไปถึงขั้นนั้น
ผลเดียวของมันคือ ทำให้เสียงทุ้มอันน่าหลงใหล เว้นวรรคไปสองวินาที ก่อนจะกลับมาหัวเราะใหม่
“เปล่าประโยชน์น่า… ฉันรู้นะ เป้าหมายหลักของนาย คือการใช้เปลวไฟขอความช่วยเหลือจากภายนอก ไม่ได้คิดถึงการโจมตี แต่ก่อนหน้านี้ฉันโกหก ‘ดาบซ่อนแขน’ ไป ว่าจะรีบทำให้จบ แต่ความจริงแล้ว ฉันอาศัยพลังของสายหมอกสีเทา สร้างสภาพแวดล้อมพิเศษ ปิดกั้นข้อมูลภายในนี้”
“ถ้านายทุ่มพลังทั้งหมด ก็คงพอทะลวงบาเรียหมอกจางๆ นี้ได้บ้าง เนื่องจากพลังที่ฉันวิงวอนขอมา มีขีดจำกัดของมันอยู่ แต่ถ้าเป็นนายในตอนนี้ จะทำอะไรก็เสียแรงเปล่า”
เสียงโลกิเพิ่งจะเงียบลง ออร่าความบ้าคลั่ง หวาดกลัว โหดเหี้ยม และเกินจริง ก็พลันแผ่ออกจากตัวลูเมี่ยน ทะลุหมอกบางเบาออกไป ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันใด
……………………………………………………..