ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 383 “บุกรุก”
ตอนที่ 383 “บุกรุก”
ท่ามกลางเสียงแว่นร่วงตกพื้น การ์ดเหลือบมองลูเมี่ยนด้วยสายตาตกตะลึงปนสงสัย
ท่าทีของเขาช่างประหลาด ไม่โกรธ ไม่ต่อต้าน หรือเรียกสหายมาช่วยรุมกระทืบ ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงละครปริศนา
ลูเมี่ยนยิ้ม ผ่านยามไปตามบันได โดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง
สายตาการ์ดกะพริบ ก่อนจะล้มเลิกความคิดที่จะเอื้อมมือห้าม
แม้ใบหน้าจะเหลือคำถาม แต่แววตากลับแปรเปลี่ยนว่องไว มุมปากยกขึ้นพอเป็นพิธี เหมือนรอคอยบางสิ่ง คาดหวังว่าจะได้เห็นเรื่องน่าสนใจ
เมื่อลูเมี่ยนมาถึงชั้นสอง การ์ดสวมแว่นตาอีกสองนายก็ไม่ขวางทาง กลับมองส่งผู้บุกรุกด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาดเจือคาดหวัง
ไม่มีผู้วิเศษลำดับต่ำบ้างเลยหรือ? ลูเมี่ยนพึมพำอย่างผิดหวัง
เด็กหนุ่มเตรียมพร้อมและคาดหวังการต่อสู้ เพื่อป่าวประกาศให้บาร์หัวเดียวกระเทียมลีบฝั่งตรงข้ามเห็น แต่กลับพบว่าคนที่เหลือในคาบาเร่ต์แกะดำ ล้วนเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีใครพยายามขัดขวางเขา
แต่พอคิดดูก็เป็นเรื่องปกติ อามุนด์มิใช่มิสเตอร์ฟูลหรือองค์มารดาผู้ยิ่งใหญ่ ที่สามารถแจก ‘พร’ แก่ผู้ศรัทธาเป็นวงกว้าง ส่วนผู้วิเศษลำดับกลางและต่ำคงถูก ‘ปรสิต’ ไปหมดแล้ว ภายหลังได้ถูกกวาดล้างไปในศึกระหว่างเทวทูต ซึ่งมนุษย์ธรรมดามองไม่เห็น
พวกที่เหลือคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คาบาเร่ต์เกิดความเปลี่ยนแปลง เพื่อนร่วมงานหายตัวไปอย่างลึกลับแล้ว คงเชื่อว่าลูเมี่ยนจะกลายเป็นพวกเดียวกัน หรือถูกการเล่นพิเรนทร์อันน่าพรั่นพรึงหลอกหลอนจนเสียสติ
เมื่อไม่มีอามุนด์ปลอมมารับบทคู่ต่อสู้ ลูเมี่ยนจึงต้องแสดงคนเดียว
เด็กหนุ่มชักปืนลูกโม่จากซองใต้รักแร้ แล้วยิงใส่ห้องทั้งสองฝั่งตลอดทางเดินอย่างไม่ยี่หระ
ปัง! ปัง! ปัง!
กระสุนทุกนัดยิงเข้ากระจกหน้าต่างอย่างแม่นยำ เสียงแตกกระจายดังก้องพร้อมเสียงปืน
การ์ดชั้นสองมองพฤติกรรมของลูเมี่ยนด้วยสายตาประหลาดใจเจือสับสน สงสัยว่าเด็กหนุ่มถูกพวกพ้องของตน หลอกหลอนจนจิตใจแตกสลาย กลายเป็นคนบ้าไปแล้วหรือไร
ไม่เช่นนั้น ไฉนเลยถึงได้ไปลงกับอากาศและหน้าต่าง?
การ์ดทุกคนยกมือขวาขึ้นโดยสัญชาตญาณ บีบแว่นตาที่วางอยู่หน้าเบ้าตาขวา ยิ่งมองก็ยิ่งเกิดความคาดหวัง อยากเห็นว่าตอนจบของละครเรื่องนี้จะลงเอยเช่นไร
จงไปเสีย ไปเผชิญภูเขาน้ำแข็งใต้ทะเล เผชิญกับความหวาดกลัวในความมืดมิดเถิด!
หลังจากยิงไปสี่นัด ลูเมี่ยนก็เดินมาถึงหน้าห้องทำงานที่ดูใหญ่กว่าใคร
เด็กหนุ่มผลักประตูที่เปิดแง้ม พบชายคนหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ใหญ่
อีกฝ่ายมีหน้าผากกว้าง ใบหน้าแคบ ผมดำหยักศกพอประมาณ ดวงตาสีฟ้าอ่อนแต่ไม่จดจ่อ
เฉกเช่นคนอื่น เขาสวมแว่นตาคริสตัลเลนส์เดียวที่ตาขวา สวมชุดคลุมสีดำหลวม ดูเบาสบาย
“ทิมมอนส์?” ลูเมี่ยนเดินเข้าไป คิ้วขมวดสักหน่อยขณะถาม
ชายคนดังกล่าวสะดุ้งเฮือก ตอบด้วยน้ำเสียงผิดหวัง เหมือนทำของสำคัญหายไป
“ผมคือทิมมอนส์”
“ยังไม่ตายอีกหรือ” ลูเมี่ยนถามด้วยความประหลาดใจเจือขบขัน
ตามความเข้าใจของเด็กหนุ่ม คนอื่นในคาบาเร่ต์แกะดำจะอยู่ในสถานะซ้อนทับระหว่าง ‘เป็นอามุนด์’ กับ ‘ไม่ใช่อามุนด์’ แต่ทิมมอนส์ที่เป็นเจ้าของคาบาเร่ต์ ย่อมต้องถูก ‘ปรสิต’ แบบฝังรากลึก ซึ่งควรถูกกวาดล้างไปก่อนหน้านี้แล้วในศึกระหว่างเทวทูต
แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างที่คิด
ทิมมอนส์มองลูเมี่ยนปราดหนึ่ง พูดอย่างหดหู่ อ้างว้างเดียวดาย ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว
“หลายคนหวังให้ผมตาย แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีพลังสาปแช่ง”
“หรือบางที ผมอาจตายไปแล้ว ตรงหน้าคุณเป็นเพียงกายเนื้อเท่านั้น”
“จะอะไรก็ช่าง สิ่งสำคัญคือคุณต้องคืนเงิน 110,000 เฟลคินให้ลูกค้าของผม ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย” ลูเมี่ยนใช้มือซ้ายหยิบสัญญาที่ได้จากฟิซ นักธุรกิจล้มละลาย ออกจากกระเป๋าสะพาย
เด็กหนุ่มรอคอยอย่างคาดหวัง ให้ทิมมอนส์ปฏิเสธคำขอ แล้วลงมือโจมตีเข้ามา
ทิมมอนส์สลัดความหดหู่ออกไปบ้าง ยกมือขึ้นหนุนหน้าผาก หัวเราะเสียงแผ่ว
“ในตู้นิรภัยมีเงินสดกับเครื่องประดับ หยิบเอาเองเลย รหัสคือ 010103”
“นึกว่าจะขัดขืนบ้างเสียอีก” ลูเมี่ยนถอนหายใจอย่างผิดหวัง
ทิมมอนส์มองปืนลูกโม่ในมือเด็กหนุ่ม
“ผมเป็นแค่นักต้มตุ๋น ไม่ใช่คนหวงเงิน เงินหมดก็หาใหม่ได้ แต่ถ้าตายไปก็ไม่เหลืออะไรเลย”
“อีกอย่าง วันนี้ผมเสียของสำคัญที่สุดไปแล้ว เทียบกับมัน 110,000 เฟลคินไม่ได้มีค่าอะไรเลย”
หมายความว่ายังไง เงินหมดก็หาใหม่ได้? ไม่เคยคิดจะร่ำรวยด้วยวิธีสุจริตบ้างหรือ? ลูเมี่ยนรำพันเงียบ เดินเฉียงไปทางตู้นิรภัยในห้องทำงาน
สาม สอง หนึ่ง… เด็กหนุ่มนับถอยหลังขณะเดินเข้าใกล้ตู้นิรภัย คาดหวังให้ทิมมอนส์จู่โจมจากด้านหลัง
แต่เจ้าของคาบาเร่ต์แกะดำกลับไม่ทำอะไรเลย แม้แต่ตะโกนขอความช่วยเหลือ หรือพยายามแจ้งตำรวจ
ลูเมี่ยนย่อตัวลงข้างตู้นิรภัยสีเทาเหล็ก หมุนตัวเลขตามรหัสที่ทิมมอนส์บอก จนได้ยินเสียงกริ๊ก
เขาเหลือบมองธนบัตรและทองคำแท่งที่สะดุดตา มูลค่าไม่ต่ำกว่า 100,000 เฟลคิน เปิดกระเป๋าสะพายแล้วกวาดมันทั้งหมดใส่ลงไป
จัดการเสร็จ ลูเมี่ยนยกปืนขึ้น ยิงกระจกห้องทำงานจนแตก แล้วปีนออกไป
รอยยิ้มเยาะกลับมาปรากฏบนใบหน้าทิมมอนส์อีกครั้ง เป็นรอยยิ้มสมเพชเวทนา แบบเดียวกับทุกคนในคาบาเร่ต์
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนหันขวับกลับมา ลั่นไกใส่เขา
ปัง!
กระสุนสีทองวาววับ พุ่งเฉียดผมทิมมอนส์ไปฝังในตู้ข้างๆ
ทิมมอนส์ผู้สวมแว่นตา พลันตัวกระตุก ยิ้มเจื่อน สายตาหวาดระแวง
เขาได้กลิ่นไหม้ลอยมาจากหัว
ลูเมี่ยนยิ้ม โบกมือให้
“ตกใจไหม”
ถามจบก็กระโดดลงหน้าต่าง ลงสู่ตรอกหลังคาบาเร่ต์แกะดำ
สีหน้าทิมมอนส์ค่อยๆ เรียบนิ่ง ทั้งสงสัยทั้งงุนงง
ในคาบาเร่ต์แกะดำ คนที่สวมแว่นตาข้างขวา ใส่เสื้อนอกสั้น ต่างก็ทำงานของตัวเองไป แต่ในใจกำลังเฝ้ารอให้ผู้บุกรุกคนเมื่อครู่ สวมแว่นตาเดินลงบันไดมา กลายเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว
ท่ามกลางเสียงปืนดังเป็นระยะ พวกเขาไม่มีโอกาสได้เห็นภาพที่ตนคาดหวัง
…………
บนถนนเพรงใกล้จัตุรัสแดนชำระ มีหอระฆังของวิหารสุริยันเจิดจรัสตั้งตระหง่านอยู่ ข้างหอระฆังเป็นตึกสมัยใหม่สูงสิบชั้น
ฟรังก้า แต่งกายเป็นทหารรับจ้างหญิงตามปกติ ถือกล้องส่องทางไกลทองเหลืองแบบยืดหดได้ ยืนอยู่ริมดาดฟ้า มองไปที่บาร์หัวเดียวกระเทียมลีบที่อยู่ไกลลิบ
เสียงปืนดังแว่วเลือนราง ลีอา บาร์เทนเดอร์ในเสื้อเชิ้ตขาว ผูกหูกระต่ายสีดำ กระโปรงยาวเลยเข่าสีเข้ม เดินออกมาจากทางเข้าร้าน มองไปยังคาบาเร่ต์แกะดำฝั่งตรงข้าม
ไม่นาน ฟรังก้าเห็นหนูสีเทาวิ่งออกจากเท้าของลีอา ข้ามถนน แล้วหายไปแถวๆ ข้างกำแพงตึกเก่า
สองสามนาทีต่อมา ชายหญิงคู่หนึ่งออกจากบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบ บุกฝ่าด่านการ์ดเข้าไปในคาบาเร่ต์แกะดำ
ฟรังก้าใช้กล้องส่องทางไกลจับจ้องคู่นั้น พบว่าตอน ‘สนทนา’ กับการ์ดหน้าคาบาเร่ต์ สีหน้าของพวกเขาดูเป็นธรรมชาติ ท่าทางกระฉับกระเฉง ไม่พบความผิดปกติใด แต่ในตอนที่ข้ามถนน หรือตอนที่เดินผ่านการ์ดไปแล้ว ใบหน้ากลับเรียบเฉย ท่าทางแข็งทื่อไปหน่อย
“หุ่นเชิด?” ฟรังก้าเดาไป
ส่วนตำแหน่งปัจจุบันของ ‘นักเชิดหุ่น’ ที่สร้างและควบคุมหุ่นเชิด เธอไม่รู้เลย คาดเดาได้เพียงเบื้องต้นว่า พลังทำนองนี้คงมีระยะแสดงผลกว้างหลายสิบเมตร หรืออาจมากกว่านั้น
ขณะเดียวกัน เธอก็อดแขวะไม่ได้
“พอมีผู้ชมก็แสดงเป็น ‘คนจริง’ พอไม่มีก็ขี้เกียจรักษาสีหน้าท่าทาง เลิกเก็บรายละเอียดหุ่น? ความเป็นมืออาชีพอยู่ตรงไหน?”
“หรือว่าทำไปเพื่อขู่คนแอบมอง หรือชาวเมืองที่บังเอิญหันมามอง?”
ฟรังก้ารอด้วยความอดทน จนกระทั่งลูเมี่ยนกลับร่างเดิม เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย สลัดการติดตามให้เรียบร้อย มาพบกับเธอที่นี่ โดยไม่เห็นเงา ‘นักเชิดหุ่น’ แม้แต่คนเดียว
ไปๆ มาๆ นอกจากลีอา ที่เหลือเป็นหุ่นเชิดทั้งสิ้น!
“พวกเขาจะรอบคอบเกินไปแล้ว! ฉันไม่พบเบาะแสสักอย่าง นอกจากรู้ว่ามีนักเชิดหุ่นอยู่จริง และน่าจะมากกว่าหนึ่งคนด้วย” ฟรังก้าบ่นกับลูเมี่ยน
แค่ฟังเธอเล่า ลูเมี่ยนก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา เหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับอามุนด์
ที่พวกเขาเป็น ‘เพื่อนบ้าน’ กันได้ เพราะต่างฝ่ายต่างเชี่ยวชาญการซ่อนร่างหลัก จนสืบหาตัวจริงได้ยากเย็นแสนเข็ญเช่นนี้?
“ทำนายกระจกวิเศษหาเบาะแสไม่ได้หรือ” ลูเมี่ยนครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม
ฟรังก้าส่ายหน้า
“นั่นมันเส้นทางนักทำนายเลยนะ เว้นแต่ฉันจะได้ตัวหุ่นเชิดมาสักตัว ไม่งั้นก็หาร่างหลักไม่เจอหรอก”
ลูเมี่ยนเงียบไป มองคาบาเร่ต์แกะดำที่กลับสู่สภาวะปกติ แล้วเอ่ยปาก
“กลับกันก่อนเถอะ คราวหน้าที่ไปชุมนุม เราค่อยหาเบาะแสจาก ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ‘ฮิโซกะ’ และ ‘กวีเร่ร่อน’ พวกเขาคงหาไม่ยากเหมือน ‘โลกิ’ หรอก และเรายังใช้มุกแกล้งถูกหลอกได้อยู่ ลองดูว่าจะล่อพวกเขาได้ไหม”
ตอนนั้นห้าม ‘ดาบซ่อนแขน’ ปรากฏตัวเด็ดขาด ต้องให้ ‘มักเกิ้ล’ ทำเองตามลำพัง เพราะฟรังก้าซื้อข้อมูลสำเนาของโลกิไปแล้ว เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ตามสืบเขาอยู่
“ก็ได้” ฟรังก้าคิดหาวิธีอื่นไม่ได้
ทั้งสองรีบออกจากอพาร์ตเมนต์สูง เรียกรถม้าสี่ล้อสี่เบาะ
เมื่อรถม้าแล่นมาถึงจุดเชื่อมระหว่างเขตหอดูดาวกับเขตหอรำลึก ฟรังก้าหันไปมองลูเมี่ยน
“สลัดการติดตามอีกสักรอบไหม?”
“มีคุณคอยต่อต้านการทำนายอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” ลูเมี่ยนตอบพร้อมรอยยิ้ม “อีกอย่าง พอออกจากคาบาเร่ต์แกะดำ ผมก็สลัดการติดตามไปหลายรอบแล้ว”
ฟรังก้าจ้องเขาอยู่สองวิ แล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“ตกลง”
…………
เขตตลาด ถนนใหญ่ตลาด
ลูเมี่ยนสะพายกระเป๋าเฉียง ซึ่งบรรจุธนบัตรกับทองคำจำนวนมาก โบกมือลาฟรังก้า เดินไปทางถนนอลเวง ส่วนฟรังก้ากลับไปยังถนนเสื้อนอกขาว
ถนนอลเวงเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกและแออัดเช่นเคย ลูเมี่ยนเดินลัดเลาะผ่านแผงลอยและผู้คน เข้าใกล้โรงแรมระกาทอง
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายเริ่มไม่ฟังคำสั่ง เหมือนมีกาวจำนวนมากถูกฉีดเข้าไปในข้อต่อ
……………………………………………………..