ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 366 นิกายนางมาร
ตอนที่ 366 นิกายนางมาร
สุนัขรอบๆ อารามเคร่งศาสนาถึงเพียงนี้เลย? ลูเมี่ยนถอนสายตากลับ คิดในใจด้วยความฉงน
แล้วก็ออกจากป่าไปทันที
สำหรับเด็กหนุ่ม ข้อมูลสำคัญคือเส้นทางจากปราสาทหงส์แดงไปยังอารามพระหฤทัย รวมถึงสิ่งแวดล้อมระหว่างทางที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ ส่วนอารามพระหฤทัยจะมีโครงสร้างเช่นไร มีความพิเศษหรือไม่ เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย
สักบ่ายสามบ่ายสี่ เด็กหนุ่มสำรวจภูมิประเทศรอบปราสาทหงส์แดงจนทั่วแล้ว พบเส้นทางหลบหนีฉุกเฉินจำนวนหนึ่ง บางเส้นเป็นถนนหลักเลียบทางรถไฟขนส่ง บางเส้นต้องผ่านป่า ทะเลสาบ หรือเนินเขา ไม่เพียงแต่ค่อนข้างเปลี่ยว แต่ยังเต็มไปด้วยกับดักทางธรรมชาติ
ลูเมี่ยนเคยพิจารณาว่าจะลองแทรกซึมปราสาทหงส์แดงด้วยร่างสุนัข แต่ภายหลังพบว่าตัวปราสาทถูกอารักขาอย่างเข้มงวด หากสุนัขจรจัดริอ่านเข้าใกล้ ก็คงไม่แคล้วถูกยิงทิ้งแน่นอน
“น่าเสียดายจริงๆ … ศาสตร์สร้างปศุสัตว์บังคับว่าต้องเปลี่ยนเป็นสัตว์ที่ใหญ่กว่าตัวเองเท่านั้น เพราะเงื่อนไขกำหนดไว้ว่า หนังสัตว์ต้องสามารถห่อหุ้มมนุษย์ที่ขดตัวอยู่ด้านในได้… ลองให้ฉันเป็นหนูสิ ไม่เชื่อหรอกว่าพวกแกจะขวางได้!” ลูเมี่ยนรำพันพลางเดินออกจากเขตปราสาท จากนั้นก็มองหาที่ปลอดคน
ถัดมา เด็กหนุ่มใช้พลังวิญญาณสั่นสะเทือนอากาศภายในหนังสุนัข พึมพำถ้อยคำเป็นภาษาเฮอร์มิสสองคำ:
“ท่านอาร์ชบิชอป!”
วิธีเปล่งเสียงแบบนี้ไม่ยากสำหรับลูเมี่ยน จุดที่ยากคือสภาวะถูกผนึกด้วย ‘ศาสตร์สร้างปศุสัตว์’ เพราะแม้แต่พลังวิญญาณก็ยังถดถอย ไม่สามารถแผ่ออกจากร่างกายหรือหนังสุนัขได้ อีกทั้งยังถูกจำกัดปริมาณจนเหลือเพียงน้อยนิด ส่งผลให้เสียงที่เกิดจากการสั่นของพลังวิญญาณจะดังแค่ภายในหนัง คนอื่นไม่ได้ยินด้วย เพียงพอให้พูดแค่สองสามคำสำหรับปลดผนึกเท่านั้น
แสงสลัวสว่างวูบหนึ่ง หนังสุนัขสีน้ำตาลอ่อนก็เริ่มแยกออกจากตรงกลาง เผยให้เห็นร่างของลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มคลานออกมา พับหนังสัตว์ผืนดังกล่าว กอดมันไว้ในอ้อมแขน
มันไม่หลงเหลือพลังเหนือธรรมชาติใดอีก ต้องอาศัยพิธีกรรมปลุกเสกจึงจะใช้งานได้ใหม่ แต่ลูเมี่ยนก็ไม่คิดจะทิ้งมันไป เพราะหนังสุนัขที่สมบูรณ์และใหญ่เพียงนี้หาได้ยากยิ่ง
“เหลือหนังสุนัขปลุกเสกอีกแค่แผ่นเดียว ต้องใช้สอยอย่างประหยัดหน่อยแล้ว” ลูเมี่ยนพึมพำขณะเดินไปตามเส้นทางที่เพิ่งทำความคุ้นเคย มุ่งหน้าไปยังเมืองใกล้ๆ
ในมหานครอย่างกรุงทรีอาร์ หนังสุนัขปลุกเสกใช้งานได้ดีกว่าหนังแกะและหนังวัวปลุกเสกมาก หากสวมสองอย่างหลังเพื่อกลายร่างเป็นสัตว์นั้นๆ ลูเมี่ยนกลับยิ่งจะเป็นจุดสนใจของผู้คน มิอาจหลบเลี่ยงสายตาตามที่หวังไว้ หากได้เห็นแกะเดินดุ่มๆ ตามลำพังบนถนน เป็นใครก็คงอยากจะจูงกลับบ้านไปเงียบๆ เพื่อเปลี่ยนให้เป็นสารพัดของอร่อย เหนือสิ่งอื่นใด ในทรีอาร์ยังมีพวกวิปริตที่ชอบก้นแกะอีก
…………
เมื่อลูเมี่ยนกลับถึงอพาร์ตเมนต์เลขที่ 3 ห้อง 601 ถนนเสื้อนอกขาว ท้องฟ้าก็มืดครึ้มแล้ว
ฟรังก้าเปลี่ยนกลับมาใส่ชุดปกติ นั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้เอนหลัง จ้องสร้อย ‘คำลวง’ ที่วางตรงมุมโต๊ะกาแฟด้วยสายตาระแวดระวัง ราวกับอีกฝ่ายจะกระโดดขึ้นมาฟาดเธอสักสองทีได้ทุกเมื่อ
“เกิดอะไรขึ้น” ลูเมี่ยนปิดประตูห้องที่เปิดแง้มไว้ พลางหยิบสร้อยคำลวงอย่างคุ้นชิน
สีหน้าของฟรังก้าเปลี่ยนไปสองสามครั้ง พลางถอนหายใจแล้วพูด
“หลังจากกลับมา ฉันอยู่ว่างๆ ก็เลยลองปรับหน้าตาตัวเองไปเรื่อย ผลก็คือ…”
พูดถึงตรงนี้ เธออุทานด้วยอาการหวาดหวั่นปนหวนคะนึง
“ฉันหลงตัวเองในกระจกเข้าแล้ว!”
“ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ตรงตามอุดมคติขนาดนี้มาก่อน… ฉันสามารถมองหน้าเธอได้ทั้งวัน ไม่สิ ทั้งชีวิตก็ยังได้!”
ลูเมี่ยนคิดสักครู่
“คำลวงใช้หลอกคนอื่นได้ แต่อย่าหลอกตัวเองเป็นอันขาด”
“ฉันเข้าใจ แต่ผลของ ‘นางมารสุขสม’ รวมกับ ‘คำลวง’ ก็รุนแรงเกินห้ามใจจริงๆ” ฟรังก้าอธิบายซื่อตรง “ฉันต้องฝืนข่มใจอย่างยากลำบาก บังคับถอดสร้อยออก โยนมันไปทางโต๊ะกาแฟ… อา… ความหมกมุ่นระดับนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอารมณ์ของฉันถูกขยายด้วย ต่อให้ถอดออกแล้วก็ยังเอาแต่คิดถึงตลอดเวลา อยากลองสวมอีกสักครั้งใจแทบขาด เฮ้อ… เป็นบททดสอบจิตใจที่หนักข้อจริงๆ”
เมื่อมองไม่เห็นสร้อยคำลวงอีกต่อไป ฟรังก้าก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด พูดพลางหัวเราะในคอ
“เมื่อสักครู่ คุณกำลังเล่นเป็น… เอ่อ… ใช้คำพูดคำจาของพี่สาวมาเตือนฉันหรือ”
“ใช่ เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมงานชุมนุมของพวกคุณ” ลูเมี่ยนไม่ปกปิดว่าตนกำลังฝึกพูดแบบโอลัวร์อยู่
ฟรังก้าพยักหน้าอ่อนโยน
โดยไม่รอให้ลูเมี่ยนตอบ นางมารสุขสมก็ยิ้มเย้าแหย่
“ปีกไก่ย่างน้ำผึ้งอร่อยไหม?”
“ก็ใช้ได้” ลูเมี่ยนวิจารณ์ตรงไปตรงมา
ฟรังก้าถามด้วยความสนใจกึ่งๆ ยั่วโมโห
“ได้รสชาติแบบไหน? แบบหมา? กลิ่นชัดขึ้นไหม?”
“ก็ส่งผลอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับกลายเป็นสุนัขไปเลย ความรู้สึกส่วนใหญ่ยังคงเป็นมนุษย์” ลูเมี่ยนตอบยังกับรายงานผลการทดลอง
“แล้วด้านอื่นล่ะ” ฟรังก้าถามจี้
ลูเมี่ยนนึกทบทวนแล้วตอบ
“ด้านอื่น? มันก็เหมือนกับวิญญาณของผมถูกยัดเข้าไปในร่างสุนัข ไม่ว่าจะทำอะไรก็ถูกตีกรอบหรือได้รับอิทธิพลจากร่างกายไปเสียหมด รวมถึง…”
เด็กหนุ่มที่นั่งห้อยขาบนโซฟายาว ยกขาขึ้นพอประมาณ ทำท่าเหมือนสุนัขกำลังฉี่
ฟรังก้าอุทาน ‘โอ้’ หนึ่งคำ
“คุณไม่สนใจภาพลักษณ์เลยหรือ… ไม่เกิดภาระทางใจเลยหรือ?”
“ต้องสนทำไมล่ะ?” ลูเมี่ยนยักไหล่
ฟรังก้าคิดสักครู่ ตาเหลือบมองพร้อมกับถาม
“คำถามสุดท้าย เอ่อ… คุณ… คุณได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนของสุนัขบ้างไหม เกิดความคิดแปลกๆ กับสุนัขตัวอื่นบ้างไหม?”
“ร่างกายยังเป็นของผม สุนัขเป็นแค่หนัง เป็นเพียงกรอบภายนอก” ลูเมี่ยนทำหน้าเหมือนมองคนโง่
จากนั้น เด็กหนุ่มพูดเลียนแบบมาดามเมจิกเชี่ยน
“ถามเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้ว” ฟรังก้าพึงพอใจเป็นที่สุด
ลูเมี่ยนอมยิ้ม
“งั้นก็ถึงตาผมถามบ้าง”
“คิดยังไงกับสาวๆ ที่ไปจับตาดูในวันนี้”
ฟรังก้าม้วนผมสีเชือกป่านสองสามเส้นที่หลุดออกจากหางม้า แล้วจึงเอ่ยปาก
“ฉันสงสัยอยู่สองคน…”
เธอเล่าข้อสันนิษฐานของตน แล้วพูดทิ้งท้าย
“ผู้หญิงผมสีส้มแดงคนนั้นทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ … ยังกับว่าเธอกำลังดึงดูดฉันอยู่”
ลูเมี่ยนยิ้ม
“ลางสังหรณ์ของคุณถูกต้องแล้ว ผู้หญิงคนนั้นอย่างน้อยก็ ‘นางมารสุขสม’ หรือไม่ก็มีสมบัติวิเศษที่สอดคล้องกัน”
หลังจากยืนยันว่าเธอเป็นผู้วิเศษเส้นทางนางมาร เด็กหนุ่มก็เริ่มสังเกตเห็นเสน่ห์เย้ายวนใจในทุกท่วงท่าของอีกฝ่าย ในระดับที่ทัดเทียมกับฟรังก้า สำหรับลูเมี่ยนที่ถูกผนึกพลังไปเกือบหมด การต่อต้านจึงทำได้ยากกว่าปกติ โชคดีที่น้ำอดน้ำทนของ ‘ภิกษุบิณฑบาต’ ยังไม่หายไปไหน
“นางมาร?” ฟรังก้ามิใช่ไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้ จึงพึมพำด้วยท่าทางครุ่นคิด “ก็จริง งานเลี้ยงรื่นเริงสำหรับสตรีจะไม่ดึงดูด ‘นางมาร’ สักหนึ่งหรือสองคนได้อย่างไร…”
ลูเมี่ยนได้ยินแล้วก็กระจ่าง
“เพื่อมอบความสุขสมให้ผู้อื่น พร้อมกับทำให้ตัวเองสุขสมด้วย?”
เด็กหนุ่มมองว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อการสวมบทบาท
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ต่อให้โอสถไม่ย่อย ฉันก็ยังอยากไปอยู่ดี… ฉันน่ะควบคุมตัวเองได้ แต่กับนางมารคนอื่นแล้วไม่แน่” ฟรังก้ากล่าวด้วยสีหน้าเหยียดหยัน
ลูเมี่ยนไม่ค่อยเข้าใจประโยคดังกล่าว แต่ก็เลือกจะเปลี่ยนประเด็น
“เธอไล่ตามคุณไป แต่คุณก็สลัดหลุดไปได้”
“หืม…” ฟรังก้าชะงักไปครู่หนึ่ง “เธอน่าจะเป็นคนจากตระกูลนางมาร”
“ตระกูลนางมารที่คุณเคยพูดถึง?” ลูเมี่ยนเคยได้ยินฟรังก้าเล่าถึงองค์กรลับดังกล่าวคร่าวๆ แล้ว
อันที่จริง เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่าเหตุใด ‘นางมาร’ ถึงสามารถก่อตั้งเป็นตระกูลได้
สังคมมารดาเป็นใหญ่?
ฟรังก้าถอนหายใจแล้วตอบ
“ถูกต้อง อีกชื่อหนึ่งคือนิกายนางมาร ก่อตั้งขึ้นในยุคที่สี่โดยเหล่าลูกหลานของ ‘นางมารต้นกำเนิด’ … อา… นางมารต้นกำเนิดคือลำดับ 0 ของเส้นทางนักลอบสังหาร เป็นเทพแท้จริง สังคมมองว่าพระองค์คือเทพมาร หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘นางมารปฐมกาล’”
นางมารต้นกำเนิด… ลูเมี่ยนจดจำชื่อนี้ไว้
ฟรังก้าเล่าต่อ
“แกนหลักของตระกูลนางมารยังคงเป็นลูกหลานของนางมารต้นกำเนิดไม่แปรเปลี่ยน แต่พวกเธอก็มักชักชวนหรือบ่มเพาะ ‘นักลอบสังหาร’ นอกตระกูลด้วย ถือเป็นนิกายหนึ่งก็ว่าได้ ถือครองสูตรโอสถทั้งหมด รวมถึงทรัพยากรส่วนใหญ่ของเส้นทาง”
“ถ้าเพิ่งเคยเจอหน้ากัน คนที่จะสะกดรอยตามนางมารซึ่งต้องสงสัยว่าไร้สังกัด มีแค่นางมารจากนิกายนางมารเท่านั้น”
“เพื่อนำตะกอนพลังกลับไป?” ลูเมี่ยนถาม
ไม่ว่าจะชักชวนหรือฆ่าทิ้ง ก็ล้วนถือเป็นการนำตะกอนพลังกลับไป
ฟรังก้าเม้มริมฝีปาก
“ใช่ พวกนั้นไม่อยากให้ตะกอนพลังของเส้นทางนางมารรั่วไหลออกจากนิกาย และที่สำคัญ พวกเธอเกลียดชัง ‘นักลอบสังหารหญิง’ มาก เจอหนึ่งคนก็ต้องกำจัดหนึ่งคน”
“ทำไม?” ลูเมี่ยนไม่เข้าใจ
ฟรังก้ามองด้วยสายตาซ่อนนัยขุ่นเคือง ราวกับตำหนิที่อีกฝ่ายถามเรื่องนี้
เธอถอนหายใจแล้วเล่า
“เพราะ ‘นางมารต้นกำเนิด’ เดิมทีเป็นผู้ชาย แต่กลายเป็นหญิงผ่านกระบวนการของเส้นทาง ‘นักลอบสังหาร’ จนกระทั่งได้เป็นเทพแท้จริง จิตใจของพระองค์ทั้งบิดเบี้ยวและเป็นทุกข์ ส่งผลให้เหล่าสมาชิกนิกายนางมารต่างก็ประกาศว่าจะยึดเจตนารมณ์ดั้งเดิมเอาไว้”
“ดังนั้น ‘นางมาร’ ทุกคนในนิกายล้วนเคยเป็นชายมาก่อน หลังจากพวกเธอได้รับความทุกข์ความเจ็บปวดจนจิตใจบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไป ก็เริ่มอยากเห็นผู้ชายเผชิญประสบการณ์ เผชิญชะตากรรมที่คล้ายคลึงตัวเอง คุณอาจไม่ทราบ แต่นางมารพวกนี้จะหาผู้ชายมาให้กำเนิดลูก โดยจะผลักไสทารกหญิง เก็บทารกชายไว้ ทำซ้ำชีวิตของแม่ตัวเอง”
ในฐานะราชานักแกล้งแห่งหมู่บ้านกอร์ตู ลูเมี่ยนส่ายหัวอย่างอดไม่ได้
“ไม่บิดเบี้ยวไปหน่อยหรือไง…”
“ที่บ้ายิ่งกว่าคือ พ่อของเด็กพวกนั้น สุดท้ายก็จะกลายเป็นนางมารกันหมด” ฟรังก้าเล่าข้อมูลที่ได้รับจากมาดามจัดจ์เมนต์ พลางถอนหายใจอย่างครั่นคร้าม “ฉันพยายามหลีกเลี่ยงพวกเธอตลอด ไม่ว่ายังไงก็จะถูกพบตัวไม่ได้เด็ดขาด”
“แต่เดิมคุณก็เป็นผู้ชายมิใช่หรือ ไฉนต้องกลัว?” ลูเมี่ยนไม่ค่อยเข้าใจ “หรือกลัวว่าพอเข้าร่วมนิกายนางมารแล้ว จะถูกความบิดเบี้ยววิปริตของพวกเธอปนเปื้อน?”
ฟรังก้าผงกศีรษะขึงขัง
“ใช่”
“แล้วฉันก็เป็นไพ่อาร์คาน่าเล็กของชุมนุมทาโรต์ จะเข้าร่วมนิกายนางมารได้ยังไง”
ลูเมี่ยนเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะถาม
“คุณหาวิธีเข้าร่วมชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กอยู่ไม่ใช่หรือไง”
“นั่นไม่เหมือนกัน มันคือภารกิจของชุมนุมทาโรต์” ฟรังก้าโต้แย้งจากจิตใต้สำนึก
ลูเมี่ยนไม่ติดใจประเด็นดังกล่าว เพียงพยักหน้าครุ่นคิด
“เพราะอย่างนี้สินะ คุณถึงบอกว่างานเลี้ยงรื่นเริงของสตรีดึงดูดนางมารได้ง่าย”
ฟรังก้าพ่นลมทันที
“แหงสิ นางมารส่วนใหญ่สังกัดนิกายนางมาร เชื่อมโยงกันทั้งแนวตั้งแนวนอน ดีไม่ดีในงานเลี้ยงรื่นเริงของสตรี อาจมีนางมารอยู่ครึ่งหนึ่งเลยก็ได้”
“ถ้าจะสมมติให้สุดโต่งไปเลย ก็เหมือนกับคุณถูกเชิญไปดูระบำเปลื้องผ้า อุตส่าห์สละเวลาด้วยความคาดหวัง แต่พอไปถึงกลับมีแต่ผู้ชาย”
หลังจากตัดพ้ออยู่สองสามประโยค ฟรังก้ามองหน้าลูเมี่ยนแล้วพูดอย่างลำบากใจ
“จะเอายังไงต่อดี?”
……………………………………………………..