ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 361 การอำลา
ตอนที่ 361 การอำลา
พักหลังมานี้ บรรดาลูกค้าขาประจำของบาร์ใต้ดินรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องฟังชาร์ลีพูดถึง ‘สิ่งใดคือมีเกียรติ สิ่งใดคือมีอารยธรรม’ นี่จึงเป็นโอกาสแกล้งคืนบ้าง ทุกคนจึงตื่นเต้น หลายคนตะโกนโห่ฮาเสียงดัง
ชาร์ลีในเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำไม่ติดกระดุม สองจิตสองใจว่าจะยอมเลี้ยงเหล้าหรือระบำเปลื้องผ้าต่อหน้าธารกำนัลเกือบสามสิบชีวิตดี
เพียงครู่เดียว เขาวางเบียร์ในมือลง แล้วกระโดดขึ้นโต๊ะกลมตัวเล็ก
ก่อนหน้านี้ ที่บาร์แห่งนี้ เขาเคยทำเรื่องบ้าๆ บอๆ มานับไม่ถ้วนตอนเมา มาวันนี้จะกลัวอะไรกับระบำเปลื้องผ้า?
ลูเมี่ยนยิ้มพลางปรบมือ หยิบธนบัตรมูลค่ายี่สิบเฟลคินออกมาตบลงบนเคาน์เตอร์บาร์ แล้วกล่าวกับปาวาร์·นีซองต์เจ้าของบาร์
“หนึ่งคนต่อหนึ่งแก้ว ดื่มอะไรก็ได้”
กล่าวจบ เด็กหนุ่มหยิบแก้วแลงติร้อนแรงขึ้นมาถือ ตามองชาร์ลีที่กำลังโยกเป้าอย่างงุ่มง่ามพลางบรรจงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตท่ามกลางเสียงโห่ฮา
“เร้าใจกว่านี้หน่อย! บ้าๆ กว่านี้หน่อย!” ลูเมี่ยนตะโกนด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน
ลูกค้าคนอื่นก็พลอยส่งเสียงเชียร์ตาม
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากชาร์ลี ด้วยเกรงว่าการฉีกเสื้อผ้าอย่างเกรี้ยวกราดอาจทำให้เสื้อเชิ้ตเสียหาย
นี่ไม่ใช่เสื้อลินินเก่าๆ ราคาถูกสักหน่อย!
หลังจากครุ่นคิดครู่เดียว ในเมื่อกระดุมเสื้อเม็ดบนสุดของเสื้อเชิ้ตถูกปลดแล้ว เขาจึงถอดมันแบบเดียวกับที่ถอดเสื้อไหมพรม
ลูเมี่ยนจิบแลงติร้อนแรงอีกหนึ่งคำ หย่อนก้นนั่งลงตรงบาร์ พลางหันไปมองกาเบรียลผู้สวมแว่นตากรอบเข้ม กางเกงเอี๊ยมสีเข้ม แล้วถามอย่างอารมณ์ดี
“วันนี้มาเร็วจัง?”
ไม่ใช่ว่านักเขียนบทละครที่มักนอนดึก จะชอบลงมาดื่มหลังเที่ยงคืนหรอกหรือ?
กาเบรียลถืออัปแซ็งต์สีเขียวไว้ในมือ ยิ้มแล้วตอบอย่างสงบ
“พรุ่งนี้ผมจะย้ายออกแล้ว”
“ละครเรื่อง ‘ผู้ไขว่คว้าแสง’ จะเริ่มแสดงแล้วหรือ” ลูเมี่ยนเดาได้ในทันที
กาเบรียลลูบผมสีน้ำตาลกระเซอะกระเซิงของตน ตอบพลางยิ้ม
“ยังไม่เริ่มหรอกครับ แต่หลังจากซักซ้อมได้สักระยะ ทั้งมิสเตอร์โลเปต์ผู้กำกับ รวมถึงทีมนักแสดงของโรงละครคืนชีพ ต่างก็มองในแง่บวกและแสดงความมั่นใจออกมา ผมจึงไม่ต้องกังวลว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรหลังจากไปอยู่บ้านที่แพงกว่าแล้วถลุงเงินค่าลิขสิทธิ์ล่วงหน้า 1,000 เฟลคินจนหมด… คุณก็รู้นี่ ผมเลิกเขียนนิยายต่ำช้าหยาบโลนให้หนังสือพิมพ์เล็กๆ พวกนั้นแล้ว”
“จะย้ายไปแถวไหน?” ลูเมี่ยนถามอย่างเป็นกันเอง
กาเบรียลพูดด้วยใบหน้าใฝ่ฝัน
“ถนนนักบุญมิเชลในเขต 2 น่ะครับ เป็นย่านของนักเขียนและจิตรกร ไม่ไกลออกไปเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ศูนย์ศิลปะทรีอาร์ หอศิลป์ต่างๆ รวมถึงรูปปั้นหลากหลายรูปทรง”
เขต 2 หรือที่เรียกกันว่า ‘เขตศิลปะ’ หรือ ‘เขตการเงิน’ ครึ่งหนึ่งเป็นย่านเก่าแก่ เต็มไปด้วยกลิ่นอายทางวัฒนธรรม อีกครึ่งเป็นย่านอาคารหรูหราซึ่งได้รับความนิยมในช่วงสิบปีหลัง เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสถาบันการเงินต่างๆ เช่นธนาคารกลางอินทิส ธนาคารทรีอาร์ ธนาคารซูสิต ธนาคารสินทรัพย์และสินเชื่อ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ทรีอาร์ ตลาดซื้อขายล่วงหน้าอินทิส เป็นต้น
ถนนนักบุญมิเชลอยู่ฝั่งขวาสุดของเขต 2 ราคาค่าเช่าค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับย่านอื่นในเขต จึงดึงดูดจิตรกรกับนักเขียนจำนวนมากให้มาลงหลักปักฐาน
“เป็นย่านที่ดี… ถ้าลองโยนอิฐลงไปสักก้อน อาจจะโดนหัวนักเขียนสามคนจิตรกรสองคนจนสลบ อ้อ… แล้วก็กวีที่ตายไปเงียบๆ ด้วย” ลูเมี่ยนนึกถึงคำที่โอลัวร์ใช้ล้อเล่นถึงถนนนักบุญมิเชล เป็นการเล่าด้วยลีลาของตัวเอง โดยไม่ลืมเสียดสีกลุ่มกวีที่ยากจนกว่าใคร
กาเบรียลจิบอัปแซ็งต์อย่างเขินๆ
“แต่ที่นั่นเหมาะแก่การแลกเปลี่ยนไอเดียสร้างสรรค์จริงๆ ไม่เหมือนกับที่นี่ จะสงบก็แค่ตอนกลางคืนเท่านั้น แล้วก็ไม่สงบสักเท่าไรด้วย แถมยังมีตัวเรือดน่ารังเกียจอีก…”
พูดถึงตรงนี้ กาเบรียลเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า หัวหน้าหน่วยแก๊งอันธพาลสุดป่าเถื่อนแต่มีสุนทรียภาพข้างๆ ตนคือเจ้าของโรงแรมระกาทองคนปัจจุบัน จึงรีบปิดปากเงียบทันที
ตอนนี้ชาร์ลีระบำเปลื้องผ้าเสร็จแล้ว จึงรีบสวมเสื้อเชิ้ตกลับคืน เดินฝ่าขี้เมาที่วิจารณ์รูปร่างของตนอย่าง ‘ไม่หวังดี’ จนมานั่งข้างลูเมี่ยน แล้วพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“ช่วงนี้ผมยุ่งมาก เลยไม่ได้แวะมาตั้งหลายวัน พอกลับถึงบ้านก็อยากจะทิ้งตัวลงนอนเสียให้ได้… นี่ล่ะนะปัญหาของคนมีเกียรติ เฮ้อ ทำไมถึงต้องอยากสืบหาคนร้ายจากหมู่บ้านกอร์ตูกันยกใหญ่ขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้…”
โฮ่… เรียนรู้ไวดีนี่? ลูเมี่ยนที่คอยสอนวิธีพูดแบบนี้ให้ชาร์ลี ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“แล้วเรื่องของหมู่บ้านกอร์ตูเกี่ยวอะไรกับชาร์ล·ดูบัวส์อย่างผมล่ะ”
หลังจากทำสัญญากับ ‘ตั๊กแตนหน้าคน’ จนได้ ‘ใบหน้าของไนเซอร์’ มาครอบครอง เด็กหนุ่มก็ไม่ค่อยกังวลว่าจะถูกทางการจำหน้าได้
เห็นว่าลูเมี่ยนทำตัวมั่นใจ ชาร์ลีเลิกสานต่อประเด็นเก่า โดยเปลี่ยนไปเล่าอย่างตื่นเต้นว่า เพื่อนร่วมงานได้แนะนำให้รู้จักกับครูผู้หญิงคนหนึ่ง แม้อีกฝ่ายจะไม่ปลื้มตน แต่ก็พิสูจน์ว่าเขาเข้าสู่การเป็นคนมีเกียรติอย่างแท้จริงแล้ว
ดื่มไปจนเกือบเที่ยงคืน ลูเมี่ยนกับกาเบรียลที่กำลังจะย้ายออกพรุ่งนี้ เดินมาส่งชาร์ลีกลับ แล้วเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง
กาเบรียลมองทางเดินที่มีเพียงตะเกียงแก๊สติดผนังแค่ดวงเดียว มองผนังทางเดินที่ปิดด้วยหนังสือพิมพ์กับกระดาษสีชมพูราคาถูก แล้วบังเกิดความซาบซึ้งใจขึ้นมา
“พอใกล้จะจากไป ถึงได้รู้ว่าที่นี่ก็มีความทรงจำให้หวนคิดถึงเหมือนกัน”
“สมัยที่ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ คิดว่าด้วยพรสวรรค์ของตัวเอง ไม่นานก็คงหลุดพ้นจากกองขยะนี่ได้ เอ่อ… โรงแรมนรกแบบนี้น่ะ ใครจะรู้ว่าอยู่ปุ๊บก็สิบเดือน ต่อให้ย้ายไปอยู่ถนนนักบุญมิเชลแล้ว ผมคงยังคิดถึงบาร์เล็กๆ ที่แค่ลงบันไดมา คิดถึงอัปแซ็งต์ที่ช่วยให้ทั้งซาบซ่านและเมามาย คิดถึงกลิ่นฉุนของกำมะถัน คิดถึงพวกตัวเรือดน่ารังเกียจ คิดถึงเหล่าผู้คนที่คอยมอบแสงสว่างแก่ผมในความมืด ทั้งคุณซาฟารี ชาร์ลี แล้วก็…คุณ”
กาเบรียลเว้นวรรคเล็กน้อย เอื้อมมือไปลูบรอยแตกบนผนังที่โผล่ออกจากช่องว่างระหว่างแผ่นหนังสือพิมพ์
“พวกนักเขียนนี่นะ นึกจะพรรณนาก็ทำเลย นึกจะเวิ่นเว้อก็ทำเลย เป็นแบบนี้กันหมดเลยหรือ?” ลูเมี่ยนจิกกัดขบขัน
กาเบรียลยิ้มแหยๆ
“นักเขียนคนอื่นผมไม่ทราบ แต่สำหรับผมมีเป็นครั้งคราว”
“ผมอยู่ที่นี่มาเกือบปี เคยเห็นผู้เช่าหลายคนที่จู่ๆ ก็หายตัวไปไม่บอกกล่าว หรือไม่ก็รีบร้อนย้ายออก หรือไม่ก็จบชีวิตตัวเองลงอย่างเจ็บปวด แต่วันรุ่งขึ้น ไม่สิ อาจแค่ชั่วโมงเดียว ก็จะมีผู้เช่ารายใหม่ย้ายเข้ามาแทน เพื่อไล่ตามความเจริญรุ่งเรืองของทรีอาร์ ไล่ตามความฝันในใจ… แต่ส่วนใหญ่ล้มเหลว มลายหายไปเหมือนฝุ่นผง แต่ก็มีกลุ่มใหม่เข้ามาแทนเรื่อยๆ บางทีอาจสำเร็จสักคนสองคน”
“นั่นคือแรงบันดาลใจของบทละคร ‘ผู้ไขว่คว้าแสง’”
“คุณคือพวกที่ประสบความสำเร็จ” ลูเมี่ยนนึกถึงนางมิเชลที่ร้องเพลง ‘นี่คือมหานครแห่งความสุข นี่คือกรุงทรีอาร์อันเป็นนิรันดร์’ แล้วก็ผูกคอตายไป จึงไม่มีอารมณ์แซวกาเบรียล
“ขอให้เป็นแบบนั้น” สีหน้าของกาเบรียลเปี่ยมด้วยความคาดหวัง
เขาเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง จนมาถึงชั้นสอง แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดิน
“คุณจะไป…?” ลูเมี่ยนพอเดาคำตอบได้ แต่ก็ถามไปตามมารยาท
กาเบรียลชี้ไปยังชั้นบน
“ไปบอกลาคุณซาฟารี ขอบคุณที่เธอคอยมอบกำลังใจให้ผมมาตลอด”
ลูเมี่ยนส่งยิ้มเย้าหยัน ใช้มือบีบริมฝีปากแล้วผิวปาก
“ขอให้มีค่ำคืนอันแสนวิเศษ!”
“ผมไม่ได้…!” กาเบรียลปฏิเสธโดยไม่ทันคิด
ลูเมี่ยนหันกายไปทางห้อง 207 โบกมืออำลาพลางกล่าวทิ้งท้าย
“ตัวคนเดียวจะมีค่ำคืนอันแสนวิเศษไม่ได้หรือ”
กาเบรียลเถียงไม่ออก
มองส่งชาร์ลเข้าไปในห้อง เขากระแอมแห้งแล้วเดินต่อไปยังชั้นสาม
ระหว่างทาง เขานึกถึงเรื่องราวมากมายในอดีต ครั้งแรกที่ได้พบกับนางแบบนามว่าซาฟารี ครั้งแรกที่ได้คุยกันเรื่องงานสร้างสรรค์ ครั้งแรกที่ได้รับกำลังใจ…
เขาได้ทราบว่าอาชีพนางแบบ/นายแบบมีรายได้ต่ำมาก นายแบบชายแถวหน้าของวงการก็ยังรับแค่ 80-90 เฟลคินต่อเดือน ค่าเฉลี่ยของอาชีพคือ 60-70 เฟลคิน เทียบได้กับเด็กเสิร์ฟฝึกหัดของโรงแรม ทางด้านนางแบบหญิงยิ่งแล้วใหญ่ ได้เพียงราวๆ 40 เฟลคินต่อเดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต อาชีพนี้จึงเป็นได้แค่งานเสริม ไม่มีใครเลือกเปลือยกายให้จิตรกรวาดรูปเพียงเพราะขี้เกียจหรือรักสบาย
ซาฟารีก็เช่นกัน ยอมทนต่อคำครหาเพียงเพื่อหาเงินเพิ่มอีกกระผีกหนึ่ง หวังเปลี่ยนแปลงสถานภาพในปัจจุบัน
กาเบรียลหยุดอยู่หน้าห้อง 309 แล้วเคาะประตูอย่างเบามือ
“เชิญค่ะ” เสียงอันล่องลอยของซาฟารีดังขึ้น
กาเบรียลผลักประตูเข้าไป เห็นซาฟารีกำลังยืนอยู่ตรงโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง ชุดกระโปรงยาวสีฟ้าทะเลสาบเลื่อนหลุดจากตัวเธอ กองอยู่บนพื้นห้อง
ภายใต้แสงจันทร์สีแดงก่ำ นัยน์สีน้ำตาลของซาฟารีดูพร่าเลือน ผมสีน้ำตาลทิ้งตัวสยาย บนผิวกายขาวผ่องเป็นยองใย มีใบหน้ามนุษย์ฝังแน่นแผ่นแล้วแผ่นเล่า
บ้างก็งดงาม บ้างก็ดุดัน บ้างก็หล่อเหล่า บ้างก็ชั่วร้าย ดวงตาทุกคู่พร้อมใจกันจ้องมาทางกาเบรียล
กาเบรียลตกตะลึงพรึงเพริด เกือบเผลอร้องเสียงหลง
“มีอะไรหรือคะ?” เสียงอันเนิบนาบของซาฟารีดังขึ้นอีกครั้ง
กาเบรียลสะดุ้งตื่นจากภวังค์ พบว่าทุกใบหน้าเป็นเพียงภาพวาดสีน้ำมันที่ดูสมจริงมากเท่านั้น โดยใช้ร่างกายของซาฟารีเป็นผืนผ้าใบ
นึกถึงอาชีพนางแบบของอีกฝ่าย กาเบรียลไม่ถามมาก เพียงถอนหายใจแล้วพูด
“พรุ่งนี้ผมจะย้ายออกแล้ว ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มอบให้ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา”
เขาเพิ่งพูดจบ ซาฟารีก็ยื่นมือขวาออกมา ดวงตาเริ่มพร่าเลือน
กาเบรียลเดินเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว
ครึ่งชั่วโมงถัดมา กาเบรียลนอนอยู่บนเตียง กอดซาฟารีพลางพูดอย่างจริงใจ
“ย้ายไปอยู่ที่ถนนนักบุญมิเชลกับผมเถอะนะ”
ซาฟารีส่ายหน้าหนักแน่น
“ฉันก็จะย้ายออกเหมือนกัน… ไปที่อื่น”
กาเบรียลถามย้ำ
“ไปไหน?”
“สถานที่ที่ชื่อ ‘หอพัก’ ฉันมีเพื่อนอยู่ที่นั่น” เสียงของซาฟารียิ่งทวีความล่องลอย
กาเบรียลพยายามชวนซ้ำอีกหลายหน แต่ก็ถูกเธอปฏิเสธทุกครั้ง
เมื่อเขาจำต้องจากไปอย่างผิดหวัง ซาฟารีก้าวลงจากเตียงด้วยร่างกายเปล่าเปลือย มองดูชายหนุ่มเดินไปทางประตู
ทันใดนั้น พระจันทร์สีแดงถูกบดบัง ภายในห้องกลายเป็นมืดสนิทผิดปกติ ภาพวาดใบหน้าคนบนผิวกายซาฟารีราวกับมีชีวิตขึ้นมา ทุกหน้าพร้อมใจกันอ้าปากหันไปทางแผ่นหลังของกาเบรียล
ในที่สุดพวกมันก็กลับสู่ความสงบ กาเบรียลปิดประตูห้องอย่างสุภาพ
…………
เช้าวันถัดมา ลูเมี่ยนลงไปวิ่งออกกำลัง ฝึกหมัดมวย แล้วตระเวนหาอาหารเช้าเหมือนทุกวัน
เมื่อกลับถึงโรงแรมระกาทอง เด็กหนุ่มเห็นประตูห้องข้างๆ ซึ่งเป็นของกาเบรียลถูกเปิดค้างไว้ ไร้ร่องรอยของผู้คนและกระเป๋าเดินทาง
ด้วยความสงสัย ลูเมี่ยนเดินขึ้นชั้นสาม แล้วพบว่าห้อง 309 ก็อยู่ในสภาพเดียวกัน
เขา ‘จุ๊ๆ’ พลางอมยิ้ม แล้วเดินกลับห้อง 207
ไม่นานนัก ‘ตุ๊กตา’ ผู้ส่งสารก็ปรากฏตัว โยนกระดาษจดหมายที่พับสี่เหลี่ยม กับหน้ากากสีเงินขาวลงบนโต๊ะไม้
ค่าตอบแทนจากมาดามจัสติสมาแล้ว? ลูเมี่ยนพลันเริงร่าในใจ
……………………………………………………..