ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 351 จิตฆ่าฟัน
ตอนที่ 351 จิตฆ่าฟัน
เชี่ย! ลูเมี่ยนสบถในใจทันทีที่เห็นโมไนต์
นี่เป็นทั้งความโกรธและความกลัว จนร่างกายตอบสนองไปเองตามจิตใต้สำนึก
ทำไมถึงเป็นไอ้เวรนี่อีกแล้ว?
ทำไมถึงมาโผล่ต่อหน้าเราในช่วงเวลาสำคัญ แถมยังเป็นใต้ดิน?
ต้องการอะไรกันแน่?
ทำไมถึงเหมือนตัวเรือดในโรงแรมระกาทอง, แมลงสาบในกองขยะ, หนูในทรีอาร์ใต้ดิน, ไปที่ไหนก็เจอ จะหนียังไงก็ไม่พ้น?
“คุณเป็นใคร” เฮล่าถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ท่าทีสงบนิ่งราวกับคนตายของเธอ ช่วยดึงสติลูเมี่ยนให้กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง ความคิดในหัวเริ่มหมุนวน วิเคราะห์หาเป้าหมายของโมไนต์ นักต้มตุ๋นชาวหมู่เกาะ รวมถึงเป้าหมายของคาบาเร่ต์แกะดำที่อยู่เบื้องหลัง
โมไนต์บีบแว่นตาเลนส์เดียวตรงเบ้าตาขวา ยิ้มพลางตอบกลับ
“ก็เหมือนพวกคุณนั่นแหละ นักผจญภัยสุสาน”
นักผจญภัยสุสาน… พูดยังกับว่าโจรขุดสุสานเป็นอาชีพที่สูงส่งเหลือเกิน… ตามที่มาดามจัสติสเล่าให้ฟัง ยิ่งลำดับสูงขึ้น การลงสุสานใต้ดินก็ยิ่งอันตราย… ดังนั้น หากเป็นที่นี่ เทวทูตที่โมไนต์ศรัทธาจะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงไม่ได้ เช่นเดียวกับนักบุญผู้ถือครองเทวบารมีแห่งคาบาเร่ต์แกะดำ… หรือก็คือ ถ้าเรากับมาดามเฮล่าร่วมมือกัน การจะฝังโมไนต์ไว้ที่นี่ตลอดกาลก็มีโอกาสสำเร็จไม่น้อย ไม่ปล่อยให้มันกลายเป็นแมลงสาบที่โผล่ไปทุกหนทุกแห่งอีก! ลูเมี่ยนมองหน้าโมไนต์ พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย
ความกลัวในใจเด็กหนุ่มบรรเทาลงหลายส่วน ความคิดอันตรายที่อยากฉวยโอกาสนี้ ‘เก็บ’ นักต้มตุ๋นตรงหน้าเพิ่มขึ้นหลายระดับ
ลูเมี่ยนยิ้มแล้วมองโมไนต์
“นักผจญภัยสุสาน? คุณรู้จักที่นี่ดีหรือ”
โมไนต์ตอบยิ้มๆ
“แน่นอน”
เขายกมือขวา ชี้ไปทางห้องฝังศพโบราณตรงขอบแสงเทียน
“นั่นเป็นของหนึ่งในสมาชิกตระกูลโซโรอาสเตอร์จากยุคที่สี่”
หลังจากนั้น โมไนต์ยังชี้ไปยังสุสานหลายแห่งในละแวกเดียวกัน
“นั่นเป็นของหนึ่งในสมาชิกตระกูลเจคอป นั่นเป็นของตระกูลอับราฮัม และนั่นเป็นของกองพลสีเลือด…”
“น่าเสียดาย ไม่มีตะกอนพลังเหลืออยู่เลย”
เห็นนักต้มตุ๋นจากหมู่เกาะตอบคำถามของตนแต่โดยดี ลูเมี่ยนตกใจไปครู่หนึ่ง ยิ่งค้างคาใจกับเป้าหมายของอีกฝ่าย
เด็กหนุ่มลองชี้ไปทางห้องฝังศพโบราณด้านหลังโมไนต์ ซึ่งก็คือห้องที่อีกฝ่ายปีนออกมา
“แล้วนั่นล่ะ”
โมไนต์เดินมาข้างหน้าสองสามก้าว เมื่อเห็นสายตาของลูเมี่ยนเปลี่ยนเป็นเอาจริง จึงหยุดเดินแล้วพูดยิ้มๆ
“ห้องฝังศพของหนึ่งในสมาชิกตระกูลอามุนด์จากยุคที่สี่”
นักต้มตุ๋นรายนี้รู้จักตระกูลใหญ่ในยุคที่สี่ไม่น้อย อีกทั้งยังรู้จักสุสานใต้ดินชั้นสี่เป็นอย่างดี บอกรายละเอียดได้มากกว่าที่เขียนไว้บนป้าย… ขณะลูเมี่ยนยังคงกังขา เฮล่าเป็นฝ่ายเอ่ยปาก
“ถ้าอย่างนั้นคุณทราบหรือไม่ว่า บ่อน้ำสตรีซามาเรียอยู่ที่ใด”
โมไนต์ลูบขอบแว่นตาเลนส์เดี่ยว พูดพลางยกมุมปาก
“ทำไมผมต้องบอกพวกคุณด้วยล่ะ?”
“มีอะไรมาแลกเปลี่ยนงั้นหรือ”
“ทำไมเราต้องเชื่อว่าคุณรู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของบ่อน้ำสตรีซามาเรีย?” ลูเมี่ยนแย้งกลับตามความเคยชิน
เด็กหนุ่มสงสัยว่าโมไนต์เตรียมลงมือต้มตุ๋นตามสันดานเดิม
โมไนต์หัวเราะในคอ
“ผมไม่รู้จริงๆ นั่นแหละ… ชื่อบ่อน้ำสตรีซามาเรียก็ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไร เหมือนมาจากคัมภีร์โบราณที่เคยอ่านเลย”
“แต่พอลงมาชั้นนี้บ่อยเข้า ผมก็เคยเห็นเหตุการณ์แปลกๆ ผ่านตามาบ้าง… พวกโครงกระดูกที่ฟื้นคืนชีพโดยไม่ทราบเหตุผล บางส่วนจะพร้อมใจกันมารวมตัวกันแถวนี้ เดินเข้าไปในห้องฝังศพบางห้อง แล้วก็ไม่ออกมาอีกเลย”
อันเดดที่ถือกำเนิดจากสภาพแวดล้อม จะได้รับอิทธิพลจาก ‘ความผิดปกติ’ ของห้องฝังศพ จนแห่กันเดินเข้าไปใกล้? หรือว่าที่นั่นจะเป็นบ่อน้ำสตรีซามาเรีย? ทางทิศตะวันตก ห้องฝังศพโบราณบางห้อง… เงื่อนไขตรงกัน… ขณะใช้ความคิด ลูเมี่ยนก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง
โมไนต์ นักต้มตุ๋นชาวหมู่เกาะ ยอมเปิดเผยข้อมูลสำคัญเช่นนี้โดยไม่คิดค่าตอบแทนใดเลย?
นี่ไม่สอดคล้องกับนิสัยของเขา!
เมื่อเรื่องราวดูผิดปกติ หมายความว่ามันซุกซ่อนปัญหาอยู่!
ลูเมี่ยนสงสัยว่า อีกฝ่ายหวังใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อหลอกตนกับเฮล่า ให้เข้าไปในห้องฝังศพโบราณที่อันเดดรวมตัวกัน กระโดดใส่แหล่งกำเนิดความผิดปกติด้วยตนเอง ฆ่าตัวตายเองกับมือ หรือไม่ก็หวังพึ่งพาให้พวกตนช่วยบุกเบิกเส้นทางแทน
มีความเป็นไปได้พอๆ กันทั้งสองทาง แม้ว่าทางแรกจะไม่เกิดประโยชน์อันใดกับโมไนต์เลย แต่บางคนก็มีความสุขเมื่อได้เห็นความฉิบหายของผู้อื่น
“ผมรู้มาแค่นี้” โมไนต์บีบแว่นตาเลนส์เดี่ยวที่เบ้าตาขวาอีกครั้ง แล้วพูดยิ้มๆ “ผมขอตัวไปค้นห้องฝังศพอื่นๆ ต่อ ถ้าพวกคุณพบบ่อน้ำสตรีซามาเรีย อย่าลืมเขียนโน้ตให้ผมด้วย ทิ้งไว้ในห้องฝังศพของสมาชิกตระกูลอามุนด์นี่ก็ได้ เล่าให้ฟังหน่อยว่ามันพิเศษอย่างไร”
เขาพูดพลางเดินมาทางลูเมี่ยน
ขณะลูเมี่ยนกำลังตึงเครียดสุดขีด พร้อมจู่โจมได้ทุกเมื่อ นักต้มตุ๋นชาวหมู่เกาะก็เดินผ่านเด็กหนุ่มไป ถือเทียนไขสีขาวที่จุดไฟ เดินไปยังห้องฝังศพซึ่งอยู่ไกลลับสายตา
ไม่นานร่างของเขาก็หายไปตรงทางแยก ความมืดกลับมาปกคลุมบริเวณนั้นอีกครั้ง
ไปแล้ว? ลูเมี่ยนยังคงระแวดระวัง พลางจับตาดูท่าทีของเทอร์มีโพลอส
เทวทูตชะตากรรมรายนี้เอาแต่เงียบ มิได้ตักเตือนเรื่องใดแม้โมไนต์จะโผล่มาอีกครั้ง
ส่วนเฮล่าถอยหลังไปสักสองก้าว เดินเข้าห้องฝังศพโบราณอีกห้องหนึ่ง แล้วเปิดประตูหินที่ใกล้พังรอมร่อ
เผชิญหน้ากับกระดูกสีซีดที่กระจัดกระจายอยู่แถวๆ ทางเข้าห้องฝังศพ เฮล่ายกมือขวาขึ้น
กระดูกขาวเหล่านั้นเหมือนถูกเชือกล่องหนดึงรั้ง ประกอบร่างเข้าด้วยกันทันที กลายเป็นโครงกระดูกรูปคนที่ส่ายไปมาพร้อมกับเสียงแกร่กๆ
เฮล่ามิได้ออกคำสั่งกับอันเดดที่ตนปลุกขึ้นมา เพียงส่งสายตาเย็นชา มองมันค่อย ๆ เดินออกจากห้องฝังศพ ตรงเข้าไปในความมืด ราวกับมีบางสิ่งกำลังเรียกหา
มาดามเฮล่าอยู่บนเส้นทางผู้เก็บซากศพ หรือมีสมบัติวิเศษที่เกี่ยวข้องกัน? ลูเมี่ยนเหมือนจะเข้าใจความคิดของเฮล่า ที่ต้องการปล่อยให้อันเดดเดินไปยังห้องที่มีปัญหาด้วยตัวเอง เป็นการนำทางในรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งสิ่งที่น่าจะผิดปกติกว่าใครในแถบนี้ก็ย่อมต้องเป็นบ่อน้ำสตรีซามาเรีย!
ทั้งสองถือเทียนสีขาวที่จุดไฟ เดินตามหลังโครงกระดูกรูปร่างมนุษย์ เดินทางผ่านห้องโถงที่อยู่ทางตะวันตกสุดของชั้นสี่
ทันใดนั้น จากความมืดตรงมุมหนึ่ง ใครบางคนโผล่ออกมาพร้อมกับแสงเทียน
สวมแว่นตาคริสตัลเลนส์เดี่ยวที่เบ้าตาขวา รอยยิ้มบนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยเลศนัย
โมไนต์ นักต้มตุ๋นชาวหมู่เกาะนั่นอีกแล้ว!
ลูเมี่ยนตกใจอีกครั้ง โมไนต์ถามด้วยรอยยิ้ม
“บ่อน้ำสตรีซามาเรียนั่นน่าสนใจไหม? ผมขอไปด้วยคนสิ”
แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่ถาม? จิตฆ่าฟันพลันเอ่อล้นภายในใจลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มตอบอย่างฝืนใจเย็น
“เรายังหาไม่เจอเลย คงตอบไม่ได้ว่าน่าสนใจหรือไม่”
“ทำไมคุณไม่ซ่อนตัวในมุมมืดไปก่อน รอให้พวกเราสำรวจเสร็จ ยืนยันว่ามีอันตรายหรือกับดัก แล้วค่อยลองเข้าไปเอง? ถ้าทำแบบนั้น คุณก็แทบไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเลย หรือต่อให้พวกเราปลอดภัยดี ก็ย่อมไม่มีทางขโมยบ่อน้ำสตรีซามาเรียออกไปได้อยู่แล้ว”
โมไนต์ใช้หลังนิ้วชี้มือขวา เสยแว่นตาเลนส์เดี่ยวพลางพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง
“มีเหตุผล”
นักต้มตุ๋นยิ้มแล้วถอยกลับเข้าไปในมุมมืด
แสงเทียนจางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่หลงเหลือ
โน้มน้าวได้ง่ายๆ แบบนี้เลย? ความคิดในหัวลูเมี่ยนชนกันจนเกิดประกายไฟ แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าโมไนต์ นักต้มตุ๋นตัวอันตรายชาวหมู่เกาะ กำลังหวังผลสิ่งใดกันแน่
เด็กหนุ่มหันไปมองเฮล่า พบว่าเธอจิบเหล้ากลั่นอีกครั้ง แต่ใบหน้ากลับไม่แดงระเรื่อแล้ว ออกไปทางสีเขียวอมฟ้าด้วยซ้ำ
ยิ่งนานเข้าเธอยิ่งดูเหมือนศพ
“คุณพอจะรู้บ้างไหม ว่าพวกที่สวมแว่นตาเลนส์เดียวเป็นคนแบบไหน?” ลูเมี่ยนถามหยั่งเชิง
เฮล่าใส่กระติกเก็บเหล้าที่ดื่มเสร็จแล้วกลับเข้ากระเป๋าสีเข้ม ยังคงเดินตามหลังโครงกระดูกรูปร่างมนุษย์นั่นอยู่ พลางตอบกลับด้วยเสียงเย็นชาและล่องลอย
“มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลอามุนด์จากยุคที่สี่”
ตระกูลอามุนด์จากยุคที่สี่… ห้องฝังศพโบราณที่โมไนต์เพิ่งปีนออกมา ก็เป็นของหนึ่งในสมาชิกตระกูลอามุนด์… ตระกูลนี้ควบคุมเส้นทาง ‘นักโจรกรรม’ เหมือนที่ตระกูลนางมารควบคุม ‘นักลอบสังหาร’ ตามที่ฟรังก้าเล่าให้ฟัง? ลูเมี่ยนเห็นว่าเฮล่าไม่อยากพูดมาก จึงได้แต่เงียบและตามไป
การได้เห็นโมไนต์ทำให้เด็กหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะพูดไปเรื่อยเพื่อบรรเทาอารมณ์หงุดหงิด
ขณะเดินไปตามทาง เปลวเทียนในมือลูเมี่ยนกับเฮล่าก็เริ่มสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด แถมยังมีสีเขียวอมฟ้าผสมอยู่จางๆ
โครงกระดูกที่ ‘ถูกปลุก’ เดินเข้าไปในห้องฝังศพกว้างๆ ซึ่งมีประตูหินเปิดค้างไว้ครึ่งหนึ่ง พื้นผิวมีร่องรอยชำรุดกระดำกระด่าง
ลูเมี่ยนเริ่มตื่นเต้น เชื่อว่าบ่อน้ำสตรีซามาเรียอยู่ไม่ไกลจากนี้แล้ว
ทันใดนั้น อีกร่างหนึ่งก็โผล่มาจากมุมมืดข้างห้องฝังศพ
ใต้แสงเทียนสีเหลืองอมส้ม แว่นตาคริสตัลเลนส์เดี่ยวเปล่งประกายด้วยสีสันประหลาด
ยังคงเป็นโมไนต์ นักต้มตุ๋นชาวหมู่เกาะคนเดิม!
เขาถามยิ้มๆ
“มีอะไรจะฝากถึงญาติพี่น้องหรือเพื่อนไหม? ผมจะช่วยส่งต่อให้”
ลูเมี่ยนที่ขวัญกระเจิงไปอีกครั้ง เกือบระงับจิตฆ่าฟันเอาไว้ไม่อยู่
ไม่มีสถานที่ใดเหมาะจะ ‘เก็บ’ โมไนต์มากไปกว่าตรงนี้อีกแล้ว!
“ไม่มี” เฮล่าตอบเสียงเย็นชา ไม่เลือกที่จะลงมือ
ลูเมี่ยนถอนหายใจเบาๆ
“ผมก็ไม่มี”
“น่าเสียดายจัง…” โมไนต์ทำหน้าผิดหวัง แล้วเดินย้อนกลับไปในอุโมงค์มืดๆ ข้างห้องฝังศพ
แสงเทียนสีเหลืองอมส้มรั่วไหลออกมาเล็กน้อย คอยสั่นไหวเบาๆ เพื่อบ่งบอกว่าเขาไม่ได้ไปไหนไกล แต่กำลังรออยู่ในละแวกใกล้เคียง
ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเฮล่า ยกมือขวาทำท่าปาดคอ
เด็กหนุ่มกำลังถามว่า เราควรเชือดนักต้มตุ๋นชาวหมู่เกาะนั่นให้จบๆ ไปเลยดีไหม
เฮล่าเงียบไปสักพัก แล้วส่ายหน้าแผ่วเบา
“พอเราได้น้ำจากบ่อสตรีซามาเรียมา ก็รีบกลับออกไปทันที”
ความหมายของเธอก็คือ ให้สนใจไปเพียงเป้าหมายหลัก อย่าหาเรื่องยุ่งยากเพิ่มเติมอีก
อา… ทันทีที่ตักน้ำในบ่อเสร็จ เราจะพามาดามเฮล่า ‘เทเลพอร์ต’ ออกไป… ลูเมี่ยนส่งภาษากายเป็นนัยเห็นด้วย พลางเปลี่ยนเทียนไขใหม่พร้อมกับเฮล่า
ผ่านไปสักพัก โครงกระดูกยังคงไม่กลับออกมา ทั้งคู่จึงเดินผ่านประตูหินที่เปิดค้างไว้ครึ่งหนึ่งด้วยความระมัดระวัง เข้าไปในห้องฝังศพกว้างๆ นั่น
ทันใดนั้นเอง เสียงแหบชราดังมาจากส่วนลึกของห้องฝังศพ
“หยุดนะ!”
ณ ขอบแสงเทียนสีเหลืองอมส้ม ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างโซเซ
……………………………………………………..