ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 342 ตกใจ?
ตอนที่ 342 ตกใจ?
เปลี่ยนเป็นชิ้นอื่น? ลูเมี่ยนไม่คิดว่าจะได้รับคำเตือนจากเทอร์มีโพลอสในเวลาแบบนี้
ไม่ว่าเทวทูตชะตากรรมรายนี้จะฉวยโอกาสวางกับดัก เล่นตุกติกบางอย่าง หรือแค่ไม่อยากให้ภาชนะของผนึกประสบปัญหา ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกได้ว่า เกมเค้กพระราชาที่ดูธรรมดาเรียบง่ายนี้มีความเสี่ยงสูง หากเผลอไปกระตุ้นเข้า อาจทำให้ทุกคนลื่นไถลลงสู่อันตรายได้
ในตอนที่เคานต์ปุยฟ์แจ้งว่า เกมนี้เกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับ ต้องถวายเค้กหนึ่งชิ้นให้องค์เทพที่ศรัทธาหรือบรรพชนที่เคารพ ลูเมี่ยนเริ่มรู้สึกว่าอาจมีปัจจัยเหนือธรรมชาติแฝงอยู่จริง เฉกเช่นเกมทำนายทายทักที่คนคลั่งศาสตร์เร้นลับชอบเล่นกัน ใครจะรู้ว่าปัญหาดันรุนแรงกว่าที่คาด จนทำให้เทวทูตมองว่าแม้แต่ลูเมี่ยนที่เป็นลำดับ 7 คู่ก็ยังรับมือไม่ไหว หรืออาจเป็นอันตราย
ท่ามกลางกระแสความคิด ลูเมี่ยนยังไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงของเทอร์มีโพลอส จึงยื่นแขนออกไปอย่างระมัดระวัง เลือกเค้กพระราชามาหนึ่งชิ้นจากห้าชิ้นที่เหลือด้วยท่าทางผ่อนคลาย
คราวนี้เทอร์มีโพลอสมิได้ขัดขวางอีก
หลังจากลูเมี่ยน อาร์โนลี มาเลน เอินส์ และอีแลตต่างก็หยิบเค้กพระราชาไปคนละชิ้น จนเหลือเพียงชิ้นที่อยู่ใกล้ลูเมี่ยนมากที่สุด
“ของผมสินะ” เคานต์ปุยฟ์โน้มตัวไปข้างหน้า จับเค้กพระราชาชิ้นนั้นด้วยรอยยิ้ม ใส่เข้าปากตัวเองแล้วค่อยๆ กัด
ลูเมี่ยนก็ทำคล้ายๆ กัน รู้สึกว่าขนมชนิดนี้มีเปลือกนอกกรอบ ไส้ในหวานนุ่ม ฝากรสชาติไว้ในปาก มีคุณภาพดีมาก
กินไปสองสามคำ เคานต์ปุยฟ์ก็หัวเราะในคอก่อนจะพูด
“ดูเหมือนวันนี้ผมจะได้เป็นพระราชา”
เขาพูดไปพลาง หยิบเม็ดถั่วปากอ้าออกจากปากไปพลาง
ขณะที่เห็นถั่วปากอ้า จมูกของลูเมี่ยนเหมือนจะได้กลิ่นเลือดกับสนิมเหล็กจางๆ
ในเวลาเดียวกัน มุมนี้ของร้านกาแฟเครื่องจักรก็กลายเป็นอึดอัดกดดันในบันดล ราวกับทุกคนกลัวว่าจะถูกสั่งให้ทำเรื่องที่ตัวเองรับไม่ได้
เคานต์ปุยฟ์ลุกขึ้นยืน หันหลังให้หน้าต่างติดถนน บังแสงแดดไว้ด้านหลัง
ส่งผลให้ใบหน้าของเขาคล้ายมีเงาบางๆ ปกคลุม รอยยิ้มดูมืดมัวไปบ้าง
เคานต์ปุยฟ์มองหน้านักเขียนอาร์โนลี มุมปากเริ่มยกสูง
“คุณออกไปนอกร้านกาแฟ แล้วตะโกนใส่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาว่า ‘ฉันเป็นไอ้ขี้หมา’”
อาร์โนลีที่เผลอเครียดโดยไม่รู้ตัว ถอนหายใจโล่งอก ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
“ตกลง”
เจ้าของร่างเตี้ยม่อต้อยืนขึ้นฉับพลัน เดินเร็วๆ ไปถึงประตู ดึงคันโยกที่ฝังอยู่บนผนังด้านข้างลง
ท่ามกลางเสียงเสียดสี รวมถึงเสียงกระทบกระทั่งแผ่วเบา แขนกลนั่นก็หดตัวกลับทันที ‘ลาก’ ประตูไม้หนักไปด้านหลัง
อาร์โนลีออกจากร้านกาแฟไปยืนริมถนน ตะโกนเสียงดังใส่ผู้คนเรียงหนึ่ง
“ฉันเป็นไอ้ขี้หมา!”
“ฉันเป็นไอ้ขี้หมาที่ถูกเลี้ยงโดยนังหมูตัวเมีย!”
“ทั้งครอบครัวของฉันเป็นไอ้ขี้หมาที่ถูกเลี้ยงโดยนังหมูตัวเมีย!”
บรรดาคนเดินถนนต่างมองมาด้วยสายตาประหลาดใจ ก่อนจะหัวเราะชอบใจ
หลังจากด่าตัวเองเสร็จ อาร์โนลีก็กลับมานั่งข้างพวกลูเมี่ยนด้วยอารมณ์สดชื่น
“ใจคุณมันได้” ลูเมี่ยนฝืนใจเปลี่ยนจาก ‘หน้าด้านแท้’ เป็นคำพูดที่อีกฝ่ายทนฟังไหว
นักเขียนอาร์โนลีหัวเราะในคอ
“ทุกครั้งที่เขียนงานไม่ออก ผมจะออกไปด่าตัวเองที่ระเบียง แบบนี้ถือว่าเบามาก”
“พวกนักเขียนนี่แปลกคนจริงๆ” ลูเมี่ยนนึกถึงพี่สาวที่ชอบพูดว่า ตัวเองเป็นโรคผัดวันประกันพรุ่งระยะสุดท้าย
อาร์โนลีดื่มอัปแซ็งต์อีกหนึ่งอึก นั่งกลับลงไปใหม่ พลางมองเคานต์ปุยฟ์ที่ยืนหันหลังให้แสงแดดตลอดเวลา เริ่มเปลี่ยนแววตาไปทางจิตรกรผิวซีดหน้าตาดีนามว่ามาเลน
“ตบอีแลตหนึ่งที”
มาเลนผ่อนคลายลง มิได้ลุกจากเก้าอี้ เพียงโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วตบกวีอีแลตหนึ่งครั้ง
อีแลตที่ผมค่อนข้างบาง แก้มหย่อนคล้อย ไม่แสดงอาการโกรธเคืองเลยสักนิด เพียงแต่สูบกล้องยาสูบอีกครั้ง
ตระหนักถึงสายตาของลูเมี่ยน เขายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
“ในฐานะกวี ผมต้องเรียนรู้ที่จะเพลิดเพลินไปกับเจตนาร้ายของคนรอบข้าง”
เพลิดเพลินไปกับเจตนาร้าย… เป็นวัยรุ่นอารมณ์ศิลป์จริงๆ ไม่สิ วัยกลางคนอารมณ์ศิลป์… ลูเมี่ยนพยายามสังเกตผู้เข้าร่วมเกม พบว่านอกจากเคานต์ปุยฟ์ที่กัดเจอถั่วปากอ้า คนอื่นยังดูไม่ผิดปกติสักเท่าไร
เคานต์ปุยฟ์หันกายเล็กน้อย ใบหน้ายังคงดูมืดมัวเพราะย้อนแสง
เขาพูดกับนักวิจารณ์วรรณกรรมเอินส์
“สวามิภักดิ์ต่อผม”
พวก ‘แมวดำ’ เหล่านี้เมื่อมารวมตัวกัน ก็มักจะทำเรื่องประหลาดบ้าๆ บอๆ อยู่เป็นประจำ ถ้าจะใช้คำพูดที่เริ่มเป็นกระแสในช่วงหลัง ก็ต้องเรียกว่าพวก ‘หัวขบถแห่งศิลปะเชิงพฤติกรรม’ ดังนั้น การคุกเข่าข้างเดียวเพื่อสาบานสวามิภักดิ์ เอินส์กระทำได้โดยไม่กดดัน แถมยังรู้สึกไม่เพียงพออีกด้วย เพราะมองว่าขาดความตื่นเต้น ขาดความน่าอับอายไปพอสมควร
เคานต์ปุยฟ์หันไปมองกวีอีแลต
“นำเงินทุกริกต์ที่คุณพกติดตัวไปบริจาคให้กับคนไร้บ้านฝั่งตรงข้าม”
อีแลตชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยความเสียดายพอควร
“ก็ได้”
“พวกคุณก็รู้ ผมมันยาจก ตลอดห้าปีหลังได้ค่าลิขสิทธิ์จากบทกวีรวมถึงไม่ถึงสามพันเฟลคินเอง วันๆ คิดเพียงว่า วันนี้มีเพื่อนคนไหนจัดงานเลี้ยงบ้าง จะได้ไปดื่มเหล้าฟรีสักหน่อย”
พ่อนักกวีก็ช่างซื่อตรงจริงๆ … ลูเมี่ยนเริ่มอยากสนับสนุนอีกฝ่าย ดูว่าทางนั้นจะแต่งบทกวีแบบใดได้บ้าง อย่างไรเสีย เงินค่า ‘สนับสนุน’ ก็มาจากการ์ดเนอร์·มาร์ตินอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ใช้ ก็ไม่มีทางนำเข้ากระเป๋าตัวเองได้เลย ในทางกลับกัน มีเพียงการสนับสนุนศิลปินบางคนเท่านั้น ตนจึงจะมีโอกาสยักยอกส่วนหนึ่งมาเป็นของตัวเอง
ไม่รอให้เคานต์ปุยฟ์ตอบ อีแลตหัวเราะเสียงดังทันที รีบคลำไปตามกระเป๋าอย่างตื่นเต้น ก่อนจะประกาศว่า
“หรือก็คือ ผมพกเงินออกนอกบ้านแค่ห้าเฟลคินเท่านั้น!”
“ห้าเฟลคิน? ถ้ามานั่งที่ร้านกาแฟเครื่องจักร ก็จะสั่งน้ำแร่ได้ครึ่งขวดกับไข่ต้มอีกสองฟองเท่านั้น” นักเขียนอาร์โนลีพึมพำขณะมองดูกวีอีแลตเดินออกจากร้านไป โยนเงินห้าเฟลคินให้คนไร้บ้านฝั่งตรงข้าม
ร้านกาแฟเครื่องจักรตั้งอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งบนถนนใหญ่แนวร่มไม้ มีผู้คนแวะเวียนมาไม่น้อย ทั้งสส. เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง นายธนาคาร นักอุตสาหกรรม นักการเงิน ผีเสื้องานสังคมคนดัง รวมถึงนักเขียน จิตรกร กวี และช่างปั้นที่ชนชั้นสูงชื่นชอบ
จนถึงตอนนี้ ทุกคนได้ถูกลงโทษไปหมดแล้ว เหลือเพียงลูเมี่ยน
เคานต์ปุยฟ์มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาลุ่มลึกก่อนจะพูด
“นี่เป็นครั้งแรกที่คุณเข้าร่วมชุมนุมแมวดำของเรา ผมจะมอบหมายงานที่ไม่ซับซ้อนให้ เพียงนำเค้กพระราชาของคุณไปยังห้องลึกสุดในชั้นใต้ดินของร้านกาแฟ แล้วนำกระดาษขาวกลับมา”
จุดนี้เหมือนจะพัวพันกับศาสตร์เร้นลับอยู่หน่อยๆ … ถ้ามีปัญหาจริง เราจะเผาให้วอดทั้งชั้นใต้ดินเลย… ลูเมี่ยนรำพันขณะหยิบเค้กพระราชาที่ตนกัดไปสองสามคำ อาศัยคำแนะนำของนักเขียนอาร์โนลี เขาเดินไปแถวๆ ห้องครัว จนกระทั่งพบขั้นบันไดที่พาลงใต้ดิน
ก่อนจะเข้าประตูไป เด็กหนุ่มใช้เครื่องจักรด้านนอกจุดตะเกียงแก๊สบนผนังด้านในสองสามดวง ท่ามกลางแสงสลัวสีเหลืองอมแดง เขาเดินผ่าน ‘ห้องโถง’ ที่มีสิ่งของวางระเกะระกะ จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องลึกสุด
ประตูไม้สีแดงเลือดหมูปิดสนิท ลูเมี่ยนลองแนบหูฟังสักพักแต่ก็ไม่ได้ยินสิ่งใด
ด้านนอกประตูก็ไม่มีร่องรอยน่าสงสัยเช่นกัน
ลูเมี่ยนยื่นแขนขวาออกไปคว้ามือจับประตู ออกแรงบิดเบาๆ พร้อมกับดันเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
เมื่อแสงจากตะเกียงแก๊สใน ‘ห้องโถง’ ชั้นใต้ดินส่องเข้าไปในรอยแยกประตู ภาพต่างๆ ก็เริ่มปรากฏเค้าโครงชัดเจน
นั่นคือกองศีรษะจำนวนหนึ่ง พวกมันนอนนิ่งอยู่ในเงามืด สายตาไร้อารมณ์จ้องมาทาง ‘ผู้มาเยือน’ ตรงประตู
รูม่านตาลูเมี่ยนขยายกว้างทันที เนื่องจากศีรษะเหล่านั้นล้วนเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย
ประกอบด้วยศีรษะของนักเขียนอาร์โนลี จิตรกรมาเลน นักวิจารณ์เอินส์ และกวีอีแลต!
ขณะลูกไฟเตรียมจะก่อตัวอาละวาด ลูเมี่ยนผู้มีประสบการณ์โชกโชน แถมยังจิตแข็งโป๊ก บังคับตัวเองให้สงบลงจนสังเกตเห็นปัญหา
ศีรษะเหล่านี้ปราศจากความซีดเซียวของคนตาย อีกทั้งในห้องก็ไม่มีกลิ่นเฉพาะตัวของสารกันเน่า
ลูเมี่ยนที่ควบคุมตัวเองได้ พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดอีกสองสามวินาที จนกระทั่งพบว่าพวกมันคือ ‘หัวขี้ผึ้ง’
หัวเหล่านี้ถูกยัดอยู่ในช่องลังไม้จนดูคล้ายแตงโมหลายลูก
จุดประสงค์ของคำสั่งคือการทำให้เราตกใจ? ต่อให้ไม่มีคำเตือนจากเทอร์มีโพลอส จนเราระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ การอำแค่นี้เพียงพอแล้วหรือที่จะทำให้เราตกใจ? ตรงไหนคือศาสตร์เร้นลับ? ลูเมี่ยนใช้ความคิดสักพัก แล้ววางเค้กพระราชาในมือลงบนชั้นไม้ หยิบกระดาษขาวที่รองใต้หัวขี้ผึ้งบางอันออกมา
เด็กหนุ่มถือกระดาษขาวกลับไปยังร้านกาแฟเครื่องจักรด้านบน จนกระทั่งเห็นพวกอาร์โนลีมองตนด้วยรอยยิ้ม ประหนึ่งพยายามค้นหาความหวาดผวาที่ยังหลงเหลือ
เคานต์ปุยฟ์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ทำได้ดีมาก”
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันทำได้ไม่ดี? ลูเมี่ยนแสร้งพูดด้วยอาการเสียขวัญ
“หัวขี้ผึ้งพวกนั้นดูสมจริงมาก ทำเอาหัวใจผมแทบหยุดเต้น!”
“ฮ่าๆ” อาร์โนลีหัวเราะ “นี่เป็นของขวัญต้อนรับแขกใหม่ทุกคน ท่านเคานต์ชอบสะสมหัวขี้ผึ้งมาก เพื่อนทุกคนที่เขายอมรับ จะได้รับคำเชิญจากศิลปินหัวขี้ผึ้ง เปลี่ยนศีรษะให้เป็นงานศิลป์ แล้วเก็บไว้ในชั้นใต้ดินของร้านกาแฟเครื่องจักร”
ยังกับว่าพวกคุณได้มอบหัวให้เคานต์ปุยฟ์จริงๆ … ลูเมี่ยนสำรวจคอของพวกอาร์โนลี แต่ไม่พบร่องรอยการเย็บ
หลังจากคุยเรื่องข่าวลือในวงการนักเขียนอีกสักพัก แล้วสนับสนุน ‘แมวดำ’ ไปสองพันเฟลคิน ลูเมี่ยนก็ขอตัวกลับ
ขณะเตรียมจากไป สายตาของเด็กหนุ่มก็เหลือบไปทางโต๊ะขาเดียวทั้งสองตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทันใดนั้นเอง รูม่านตาลูเมี่ยนพลันแข็งค้าง
เด็กหนุ่มเห็นว่าในจานอาหารของเคานต์ปุยฟ์กับพวกอาร์โนลี ยังมีเค้กพระราชาที่กินไม่หมดวางอยู่ แต่ในจานขนมสีขาวที่เคยใส่เค้กพระราชากลับว่างเปล่า
ตรงนั้นควรจะมีเค้กพระราชาหนึ่งชิ้นสำหรับถวายบรรพชนตระกูลเซารอนวางอยู่!
มันหายไป!
ลูเมี่ยนไม่เก็บซ่อนความสงสัยของตัวเอง ชี้ไปที่จานแล้วถามทันที
“ผมจำได้ว่าตรงนั้นต้องมีเค้กพระราชาหนึ่งชิ้น”
เคานต์ปุยฟ์หัวเราะ จิบกาแฟแล้วพูด
“ผมกินไปแล้วน่ะ”
“งี้นี่เอง…” ลูเมี่ยนทำหน้ากระจ่าง พลางยิ้มตอบกลับ
เด็กหนุ่มหันหลังทันที เดินออกจากร้านกาแฟเครื่องจักร รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มเลือนหาย
เค้กพระราชาชิ้นของเคานต์ปุยฟ์เพิ่งจะถูกกัดไปเพียงสองคำเท่านั้น!
……………………………………………………..