ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 340 ‘แมวดำ’
ตอนที่ 340 ‘แมวดำ’
เขตโรงอุปรากร ถนนลองบา
ถนนสายนี้โด่งดังด้านการขายลูกกวาด ซึ่งมีลูกกวาดหลากสีสันพบเห็นได้ทั่วไป
ร้านกาแฟเครื่องจักรตั้งอยู่ปลายถนนลองบา ติดกับโรงงานลูกกวาดเล็กๆ
ภายนอกร้านดูธรรมดาไม่โดดเด่น แม้มองผ่านกระจกหน้าต่างที่เรียงรายก็ไม่พบความเชื่อมโยงกับเครื่องจักร ตราศักดิ์สิทธิ์ทรงสามเหลี่ยมสีดำบนประตูไม้หนัก อาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้นึกถึง ‘เครื่องจักร’ ได้
ลูเมี่ยนลองผลักประตูใหญ่สีน้ำตาลเข้มนั่น แต่ก็พบว่ามันไม่ขยับเขยื้อนเลย ราวกับถูกล็อกจากด้านใน
เด็กหนุ่มลองสังเกต แล้วดึงกระดิ่งที่แขวนอยู่ข้างหน้าต่าง
เสียงกริ๊งดังขึ้น ลูเมี่ยนได้ยินเสียงโลหะกระทบกันเบาๆ พร้อมกับเห็นประตูใหญ่เริ่มเปิดเข้าไปด้านในร้าน
ด้านหลังประตูติดตั้งแขนกล มันยื่นยาวไปจนถึงเคาน์เตอร์บาร์ ดูราวกับเป็นของตกแต่ง
ลูเมี่ยนกวาดสายตาสำรวจพลางเดินไปทางมุมร้าน ซึ่งมีโต๊ะขาเดียวสองตัววางซ้อนกัน มีคนห้าหกชีวิตนั่งล้อมรอบ
สะดุดตากว่าใครคือชายวัยกลางคนผมสีแดงเต็มศีรษะ ผิวทาด้วยแป้งจนขาววอก รอบดวงตาเขียนด้วยเส้นสีดำ ช่วยเน้นให้นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงยิ่งดูลึกล้ำ
เขาไม่ไว้หนวด สวมเสื้อคลุมกำมะหยี่สีน้ำตาลเปิดคอ เสื้อเชิ้ตสีแดงไม่ผูกไท มอบความประณีตแต่ก็เป็นกันเอง
นี่คือ ‘เคานต์’ ปุยฟ์ที่ลูเมี่ยนต้องการพบ เป็นหนึ่งในตระกูลเซารอน อดีตราชวงศ์แห่งอินทิส
เขารับมรดกจากบิดาผู้มั่งคั่ง มิได้ก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง มิได้เข้าร่วมกองทัพ มิได้เป็นพ่อค้า อยู่แต่ในแวดวงศิลปะด้วยฐานะของนักวิจารณ์วรรณกรรม มักพบเจอได้บ่อยในชุมนุม ‘แมวดำ’
ลูเมี่ยนเดินเข้าไปแล้วถามยิ้มๆ
“คุณคือเคานต์ปุยฟ์ใช่ไหม”
ปุยฟ์·เซารอนเงยหน้ามอง ถามกลับด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“คุณคือเพื่อนที่มาร์ตินพูดถึงสินะ”
“ใช่ ชาร์ล·ดูบัวส์” ลูเมี่ยนไม่เกรงใจ ลากเก้าอี้มานั่งทันที
ปุยฟ์มองเด็กหนุ่มขึ้นลงสองสามหนแล้วยิ้มอย่างพอใจ
“ไม่เลว เป็นสหายที่หล่อเหลา”
“คุณชอบวรรณกรรม ภาพสีน้ำมัน ประติมากรรม บทกวี หรือดนตรีมากกว่ากันล่ะ?”
“นิยาย” ลูเมี่ยนตอบโดยไม่ลังเล
ปุยฟ์ยืดตัว ชี้ไปทางชายวัยกลางคนร่างเตี้ยม่อต้อในแนวทแยง
“อาร์โนลี นักเขียนผู้มีกลิ่นอายของวรรณกรรมมากที่สุดในช่วงไม่กี่ปีหลัง”
นักเขียนนิยายแนววาบหวิวที่หลงลืมไปว่า จุดมุ่งหมายของตนคือการเขียนธรรมชาติมนุษย์? ลูเมี่ยนนึกถึงคำวิจารณ์ที่โอลัวร์มีต่อนักเขียนรายนี้โดยปริยาย
ผลงานช่วงต้นของเขาใช้ความรักเพื่อเน้นย้ำธรรมชาติมนุษย์ จากนั้นก็ยิ่งหมกมุ่นกับสิ่งแรกมากขึ้นเรื่อยๆ หากมิใช่เพราะทางการจัดระเบียบอย่างเข้มงวด โอลัวร์เชื่อว่าอีกฝ่ายต้องเขียนนิยายวาบหวิวแนว ‘สงฆ์ผู้ไล่สุนัข’ ออกมาแน่
แน่นอน ลูเมี่ยนไม่สนใจธรรมชาติมนุษย์ ชอบมองไปที่เปลือกนอกมากกว่า
“นิยายของคุณทำให้ผมเติบโต” เด็กหนุ่มพูดกับอาร์โนลีอย่างจริงใจ
อาร์โนลีผมดำตาฟ้า พูดพลางสูบกล้องยา
“ดีนะที่คุณไม่ได้พูดว่า ‘ผมชอบหนังสือความตายของผู้บุกเบิกมากเลยครับ’”
ความตายของผู้บุกเบิก… นั่นมันผลงานของอาร์ดรี (อา-ดรี) ไม่ใช่หรือไง? หืม… โอลัวร์เคยบอกว่า ชื่อของนักเขียนสองคนนี้สะกดคล้ายกัน จนมีคนสับสนอยู่บ่อยๆ … ลูเมี่ยนพลันกระจ่าง จึงถามกลับไปว่า
“คุณหมายถึงอาร์ดรีที่รับเงินหลายหมื่นต่อปีจากรัฐบาล แต่กลับเขียนได้เพียงกองขยะนั่นน่ะหรือ?”
อาร์โนลีหัวเราะชอบใจทันที
“ประโยคเมื่อครู่แลกอัปแซ็งต์ได้หนึ่งแก้ว!”
เขาพูดพลางตบปุ่มโลหะสีเงินบนโต๊ะขาเดียวตรงหน้า สามครั้งติดกัน
เคานต์ปุยฟ์ก็ดูจะชื่นชอบฝีปากของลูเมี่ยน จึงทยอยแนะนำสมาชิกองค์กรแมวดำคนอื่นๆ
ประกอบด้วย มาเลน จิตรกรผิวซีดอ่อนเพลีย เอินส์ นักวิจารณ์วรรณกรรมหน้าตาค่อนข้างดุดัน รวมถึงอีแลต นักกวีที่ถือกล้องยาสูบไม้เชอร์รีอันใหญ่
ลูเมี่ยนทักทายจบหนึ่งรอบ ก็เห็นผิวโลหะสีเหล็กบนโต๊ะขาเดียวของอาร์โนลี แยกออกจากกันในทันที เบ่งบานดุจดังบุปผา
ตรง ‘เกสร’ มีแก้วอัปแซ็งต์สีเขียวเป็นประกายชวนฝันวางอยู่บนถาด มันอยู่ภายในลิฟต์กลไกที่กำลังลอยขึ้นทีละนิด
นักเขียนอาร์โนลีหยิบแก้วขึ้นมา โยนเหรียญเงินมูลค่าหนึ่งเฟลคินลงบนถาด
ลิฟต์กลไกจมลงอย่างนุ่มนวล พาให้ผิวโลหะที่แยกออก เลื่อนเข้าหากันเพื่อเปลี่ยนกลับเป็นโต๊ะขาเดียวดังเดิม
อาร์โนลียื่นแก้วอัปแซ็งต์ให้ลูเมี่ยน พูดด้วยรอยยิ้มว่า
“เพื่อประโยคเมื่อครู่!”
นี่สินะ ร้านกาแฟเครื่องจักร… ลูเมี่ยนทำความเข้าใจใหม่อีกครั้ง
เด็กหนุ่มมองขาโต๊ะแท่งเดียวที่ทั้งกว้างและหนา เชื่อว่าภายในนั้นคงกลวง เชื่อมต่อกับท่อที่ฝังอยู่ใต้ดิน
จิบอัปแซ็งต์ รับรู้ถึงรสขมอันคุ้นเคย ลูเมี่ยนมองไปบนโต๊ะขาเดียวอีกครั้ง
“ไม่ทอนเงิน?”
“อัปแซ็งต์ที่นี่แก้วละหนึ่งเฟลคิน” อาร์โนลียิ้มมุมปาก
แพงไปไหม? ที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยกับบาร์ใต้ดินยังแค่เจ็ดริกต์เอง คุณภาพก็พอๆ กัน… ลูเมี่ยนรำพันในใจสองสามประโยค
หนึ่งเฟลคินเท่ากับยี่สิบริกต์
คราวนี้มาเลน จิตรกรผิวซีดเซียวราวกับไม่ได้นอนมานาน แต่ใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลา จิบกาแฟแล้วพูดขึ้นมา
“ได้ยินว่าสวนสัตว์ทรีอาร์มีช้างมาใหม่หนึ่งตัว ถือเป็นสัตว์หายากอยู่นะ”
อาร์โนลีร่างเตี้ยม่อต้อบ่นพึมพำ
“กับแค่ช้างตัวเดียว จะมีอะไรให้คุยนักหนา พวกคุณไม่รู้สึกว่ามันเสียเวลาเปล่าบ้างหรือ?”
เคานต์ปุยฟ์หัวเราะในคอ
“งั้นเรามาคุยเรื่องความขัดแย้งระหว่างรัฐสภากับสองศาสนจักรใหญ่กัน คุยเรื่องข้าราชการระดับสูงที่ไม่เอาไหนในรัฐบาล คุยเรื่องการเซนเซอร์สิ่งพิมพ์จนเข้าขั้นน่ารังเกียจ คุยเรื่องสายลับที่วนเวียนอยู่รอบตัวพวกเราเหมือนไฮยีน่าดีไหม?”
อาร์โนลีถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง
“กลับมาคุยเรื่องช้างตัวนั้นกันเถอะ”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของชาวองค์กรแมวดำสองสามคน เคานต์ปุยฟ์ยกเท้าขวาขึ้นมาพาดบนเก้าอี้พร้อมกับพูด
“ในเมื่อมีสหายหน้าใหม่ เรามาเล่นเกมที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับกันเถอะ”
เกมที่เกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับ? คิ้วของลูเมี่ยนขยับเล็กน้อย
“เกมอะไร?” กวีอีแลตถามพลางสูบกล้องยาอันใหญ่
เคานต์ปุยฟ์หัวเราะ
“เกมกินเค้กพระราชา”
เมื่อเห็นคนอื่นทำหน้างุนงง เคานต์ปุยฟ์จึงเล่าพลางหัวเราะ
“พวกคุณไม่มีวัยเด็ก ไม่มีครอบครัว ไม่เคยเล่นเกมนี้กันเลยหรือ?”
“กติกาคือ ตัดเค้กพระราชาให้เป็นชิ้นเท่าๆ กันตามจำนวนผู้เล่นบวกหนึ่ง หนึ่งชิ้นที่เกินมาจะนำไปถวายแด่องค์เทพหรือบรรพชนที่เราเคารพนับถือ ในเค้กส่วนที่เหลือจะมีหนึ่งชิ้นซ่อนถั่วหรือเหรียญไว้ ใครกัดเจอก็ได้เป็นพระราชาในวันนั้น สามารถสั่งให้ผู้เล่นคนอื่นทำอะไรก็ได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่วางเอาไว้ล่วงหน้า”
จุดที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับ คือการนำชิ้นเค้กที่เกินมาไปถวายแด่องค์เทพหรือบรรพชนสินะ? ลูเมี่ยนมองไปทางอาร์โนลีกับมาเลนที่กระตือรือร้นอยากลองเล่น โดยยังบอกไม่ได้ว่าในหมู่พวกเขามีผู้วิเศษหรือไม่
แน่นอน ถ้าดูจากภายนอก ไม่มีใครเลยสักคนที่เหมือนผู้วิเศษ
ในเวลาเพียงสิบกว่าวินาที ข้อเสนอของเคานต์ปุยฟ์ก็ถูกขานรับจากทุกคนยกเว้นลูเมี่ยน
เขาเริ่มกดปุ่มบนโต๊ะตามจำนวนครั้งที่กำหนด เพื่อแจ้งห้องครัวให้ส่งเค้กพระราชามาหนึ่งชิ้น
มีคำกล่าวว่า นี่คือของว่างที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เซารอน
…………
ใต้ดินของวิหารนักบุญโรแบร์ สำนักงานของ ‘ศาล’
วาเลนไทน์ อิมเร และผู้ชำระคนอื่นๆ กำลังรวมตัวกันที่ห้องทำงานของอ็องกูแลม
อ็องกูแลมสวมเสื้อเชิ้ตสีทองอ่อน กางเกงขายาวสีขาวอ่อน ยกม้วนเอกสารในมือขึ้นพร้อมกับกล่าว
“ได้รับการยืนยันแล้วว่า ศพที่บ้านเลขที่ 50 ถนนแว็งซองต์ในย่านเจ้าหญิงสีชาด คืออดีตอธิการโบสถ์กิโยม·เบเนต์ตามใบประกาศจับ พวกคุณอย่าลืมไปแจ้งให้กองบัญชาการตำรวจยกเลิกหมายจับในเขตตลาดด้วยล่ะ”
คดีนี้มิได้อยู่ภายใต้การดูแลของผู้ชำระประจำเขตตลาด วาเลนไทน์ทราบเพียงว่ามีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้เพิ่งได้รับการยืนยัน
เขาที่สวมเสื้อนอกสีน้ำเงิน มองไปทางอ็องกูแลมพร้อมกับถาม
“ท่านสังฆานุกรครับ สืบได้หรือยังว่าใครคือผู้สังหารกิโยม·เบเนต์?”
“ตอนนี้ยังระบุตัวผู้ต้องสงสัยไม่ได้” อ็องกูแลมเจ้าของผมบลอนด์ คิ้วบลอนด์ และหนวดบลอนด์ มองไปทางม้วนเอกสารแล้วพูดต่อ “เรื่องที่ยืนยันได้ในตอนนี้คือ จุดเกิดเหตุมีร่องรอยการเผาไหม้จากเปลวไฟอย่างชัดเจน และกิโยม·เบเนต์น่าจะเสียชีวิตเพราะคำสาปของนางมาร”
“ขั้นต่ำคือลำดับ 7 อย่าง ‘นักล่า’ กับ ‘นางมาร’ ? เป็นการจับคู่ที่พบเห็นได้ไม่บ่อย” ลูกครึ่งอิมเรดูค่อนข้างประหลาดใจ
เท่าที่เขาทราบ เส้นทางนางมารส่วนใหญ่อยู่ในการครอบครองของตระกูลนางมาร ซึ่งเป็นองค์กรลับที่มิได้อ่อนแอ ไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับใคร
“หายากไม่ได้แปลว่าไม่มี” อ็องกูแลมแย้งมาหนึ่งประโยค
ในฐานะสังฆานุกรของผู้ชำระ เขาสามารถเข้าถึงเอกสารสำคัญได้มากกว่า อีกทั้งยังมีประสบการณ์สูงกว่าอิมเร วาเลนไทน์ และคนที่เหลือ ถึงขั้นเคยสังหารคนของตระกูลนางมารมาแล้วสองศพ
วาเลนไทน์ขมวดคิ้วครุ่นคิด
“หรือว่าจะเป็นฝีมือลูเมี่ยน·ลี?”
“เขามีแรงจูงใจเพียงพอ”
“แต่เขามีพลังไม่พอ” อิมเรส่ายหน้า “เขาเพิ่งออกจากหมู่บ้านกอร์ตูได้ไม่นาน จะเลื่อนลำดับเป็นนักวางเพลิงแล้วหรือ? ไม่กลัวคลุ้มคลั่งหรืออย่างไร? และถ้าอิงจากคำบรรยายของคุณเอง ถึงแม้จะเป็นนักวางเพลิง ก็ไม่มีทางต่อกรกับกิโยม·เบเนต์ได้แน่”
วาเลนไทน์ยังคงหนักแน่นกับทฤษฎีของตัวเอง
“เขาถึงต้องขอความช่วยเหลือจากนางมาร”
“เป็นไปได้ไหมว่า เขาตอบตกลงเข้าร่วมตระกูลนางมารเพื่อแก้แค้น และยอมกลายเป็นนางมารในอนาคต?”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เรื่องนี้จะยุ่งยากมาก ในตัวลูเมี่ยน·ลีมีภัยแฝงเร้นใหญ่หลวง พวกคุณเคยบอกว่าตระกูลนางมารชอบแพร่กระจายหายนะ”
อ็องกูแลมพยักหน้า
“เรื่องนี้คงปล่อยไว้ไม่ได้จริงๆ … ผมจะรายงานให้เบื้องบนทราบ ขณะเดียวกันก็จะยกระดับมาตรการตรวจตราบุคคลน่าสงสัยในเขตตลาด”
หลังจากตัดสินใจ เขาก็ปลอบโยนวาเลนไทน์สองสามประโยค
“ไม่ต้องกังวลไป คนที่มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะฆ่ากิโยม·เบเนต์ไม่ได้มีแค่ลูเมี่ยน·ลี ยังมีพวกนักล่าเงินรางวัลมือฉมัง สมาชิกหลักของชุมนุมแสงเหนือ รวมถึงพวกผู้รับพรจากเทพมารองค์อื่นๆ”
วาเลนไทน์ ‘อืม’ เป็นนัยว่าเข้าใจ
หลังจากหารือเกี่ยวกับคดีเหนือธรรมชาติในพักหลังอีกสองสามคดี วาเลนไทน์กับอิมเรก็เดินออกจากห้องทำงานสังฆานุกร ผ่านชาร์ลีที่กำลังหัดใช้เครื่องพิมพ์ดีดกลไก เดินไปตามอุโมงค์ที่นำไปสู่วิหารนักบุญโรแบร์
“คุณว่านักลอบสังหารหญิงคนนั้นนัดเจอเราทำไม? หรือเธอจะไปรู้ข่าวกรองเด็ดๆ มาอีก?” อิมเรสนทนากับเพื่อนร่วมทีมด้วยความสงสัย
วาเลนไทน์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“หรือจะเกี่ยวกับการตายของกิโยม·เบเนต์?”
อิมเรชะงักไป
“หมายความว่า เธอติดต่อกับตระกูลนางมารแล้ว?”
โดยไม่รอให้วาเลนไทน์ตอบ อิมเรรีบชิงส่ายหน้า
“ไม่มีทาง ตระกูลนางมารเกลียดชัง ‘นักลอบสังหารหญิง’ มาก ถ้าเจอเมื่อไรเป็นต้องฆ่าทิ้งทันที”
……………………………………………………..