ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 334 เบาะแส
ตอนที่ 334 เบาะแส
ลูเมี่ยนลืมตาขึ้นในอุโมงค์ร้าง
เขาเพิ่งจะผล็อยหลับไป แต่ก็ช่วยให้พลังวิญญาณฟื้นตัวกลับมาในระดับหนึ่ง อย่างน้อยหัวก็เลิกปวดตุบๆ แล้ว ความรู้สึกแสบร้อนตามหลอดเลือด เครื่องใน และผิวหนังก็จางหายไปจนหมด
ทิวทัศน์ตรงหน้าลูเมี่ยนล้วนมืดสนิท ไม่มีแม้ประกายแสงสว่าง เด็กหนุ่มคลำหาจุดไฟตะเกียงของตนที่ดับไป จนกระทั่งเห็นจินนาในชุดทหารรับจ้างหญิง นั่งพิงผนังหินของอุโมงค์ฝั่งตรงข้าม ก้มหน้ามองกระเป๋าเป้ผ้าใบสีเขียวเข้ม รวมถึงหนังสัตว์พิธีกรรมห้าแผ่นที่วางตรงหน้าเธอ
รับรู้ถึงการเคลื่อนไหว จินนารีบเงยหน้ามองลูเมี่ยน
เธอพินิจพิเคราะห์อยู่สองสามวินาที แล้วพูดด้วยเสียงเย้ยหยัน
“ในที่สุดก็ไม่น่ารังเกียจเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว”
ผลข้างเคียงเชิงลบของเข็มกลัดมีหน้ามีตายุติลงแล้ว? ลูเมี่ยนถอนหายใจตามความเคยชิน
จินนายิ้มมุมปาก หยิบกระเป๋าเป้สีเขียวเข้มตรงหน้า ลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับลูเมี่ยน
“ฉันเกือบจะฉวยโอกาสตอนที่คุณหลับ ชกให้ยับเยิน วาดรูปขี้หมาบนหน้าสักสองสามจุดแล้ว แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจตัวเองได้”
“ขอบใจนะ” ลูเมี่ยนกล่าวขอบคุณแบบขอไปที ดูไม่จริงใจและไม่จริงจัง
หลังจากจินนาสะพายกระเป๋าเป้ เธอก็โน้มตัวลง อุ้มหนังสัตว์พิธีกรรมห้าแผ่นแล้วหัวเราะร่าอย่างสบายอารมณ์
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
พูดจบ หญิงสาวก้าวเดินไปยังทางออกของอุโมงค์ร้าง ทิ้งคำพูดเจือรอยยิ้มที่เด่นชัด
“ก็เป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือไง?”
ล้อเลียนกันอีกแล้ว… ลูเมี่ยนพึมพำ ยกตะเกียงขึ้นแล้วเดินตามหลังไป
…………
ภายในห้อง 601 ของอพาร์ตเมนต์หมายเลข 3 ถนนเสื้อนอกขาว
ฟรังก้าที่เปลี่ยนมาใส่ชุดลำลอง เสื้อเชิ้ตสตรีกับกางเกงขายาวสีอ่อน อดทนรอจนกระทั่งลูเมี่ยนกับจินนากลับมาถึง
“จินนาไม่ฉวยโอกาสแทงคุณสักสองสามแผลได้ยังไง?”
“ผลข้างเคียงเชิงลบของมีหน้ามีตาไม่รุนแรงเหมือนราคาคุยเลยนะ”
โดยไม่รอให้ลูเมี่ยนตอบ จินนาก็กล่าวเสียงเรียบ
“ครึ่งชั่วโมงแรก ฉันเกือบอดใจไม่ไหวแล้ว ต้องหลบไปนอกอุโมงค์ที่เขานอนหลับ แล้วคอยตรวจสอบทุกสองสามนาที ว่ามีอันตรายโผล่จากพื้นดิน เพดานถ้ำ หรือหลังผนังหินบ้างไหม… ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ฉันก็ยังอยากระเบิดอุโมงค์นั่นทิ้ง ฝังกลบเขาทั้งเป็นอยู่ดี”
เมื่อกี้เธอไม่ได้พูดแบบนี้นี่… ลูเมี่ยนเหลือบมองจินนาอย่างอดไม่ได้
เด็กหนุ่มแยกไม่ออกว่าคำพูดของ ‘นักกระตุ้น’ รายนี้ในอุโมงค์ร้างมาจากใจจริง หรือคำพูดในปัจจุบันต่างหากที่มาจากใจจริง
ฟรังก้าหัวเราะหนึ่งเสียง แล้วยกนิ้วโป้งให้จินนา
“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะ”
“เธอเจ๋งจริงๆ ที่คิดได้ว่าอาจถูกโจมตีจากใต้ดิน เพดานถ้ำ หรือหลังผนังหิน ไม่ได้ประมาทเพื่อคิดว่ามันเป็นอุโมงค์ร้างที่มีทางเข้าฝั่งเดียว”
จินนาคลายสีหน้า อมยิ้มอย่างมิอาจเก็บซ่อนความภาคภูมิใจ
“ก็เธอเล่าเรื่องผีให้ฉันฟังบ่อยๆ นี่นา… ในเรื่องพวกนั้นมีฉากที่มือโผล่ออกจากพื้นดิน คว้าข้อเท้าใครสักคนไว้ หรือไม่ก็มีศีรษะโชกเลือดห้อยลงมาจากเพดาน หรือไม่ก็มีคนโผล่ออกจากผนังแล้วกอดตัวเอกไว้”
หนึ่งในกิจกรรมบันเทิงยามค่ำคืนคือการเล่าเรื่องผีให้จินนาฟัง? ลูเมี่ยนเหลือบมองฟรังก้า รู้สึกได้ว่าจุดประสงค์ของเธอไม่ธรรมดา
“เห็นไหม ฟังเรื่องพวกนี้เยอะๆ มันมีประโยชน์!” ฟรังก้ากล่าวอย่างสดชื่นแจ่มใส
แล้วหันมามองลูเมี่ยน
“ต้องไปหาหมอไหม”
แผลไฟไหม้ดูรุนแรงเอาเรื่อง
“ไม่ต้องหรอก สำหรับนักวางเพลง นี่แค่บาดแผลจิ๊บจ๊อย” ลูเมี่ยนไม่ได้เล่าว่าตนจะฟื้นกลับเป็นปกติตอนหกโมงเช้าวันพรุ่งนี้ “ถ้าอาการหนักจริงๆ ผมก็ยังไปหา ‘มุสิก’ ได้”
‘นักเพาะปลูก’ ที่เขาบ่มเพาะไว้ ปัจจุบันยังไม่ได้เป็นลำดับ 8 แพทย์ จึงยังใช้การไม่ได้
เมื่อฟรังก้าเห็นลูเมี่ยนไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดเลย ก็หมดความกังวลไป หยิบกระเป๋าเป้ผ้าใบสีเขียวเข้มที่จินนาโยนทิ้งไว้บนโซฟาเดี่ยว เตรียมวางลงบนโต๊ะกาแฟเพื่อนับผลประกอบการอย่างละเอียด
ลูเมี่ยนเอื้อมมือไปผลักถ้วย จาน หนังสือพิมพ์ รวมถึงนิตยสารบนโต๊ะกาแฟออกไปด้านข้าง เพื่อเว้นที่ว่างให้เพียงพอ
เขาสังเกตเห็นว่า ชื่อของนิตยสารเล่มนั้นคือ ‘สตรี’
เป็นนิตยสารรายสัปดาห์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มสตรีชนชั้นกลางของอินทิส ซึ่งเล่าถึงแฟชั่น รสนิยมการใช้ชีวิต และกลเม็ดเด็ดพรายเกี่ยวกับกระแสความงามของทรีอาร์ ส่วนนิตยสาร ‘สุนทรียศิลป์ของสตรี’ ที่วางขายในราชอาณาจักรโลเอ็น ก็ลอกเลียนแบบมาจากนิตยสารเล่มนี้
ลูเมี่ยนยิ้มพลางเงยหน้ามองฟรังก้า ประหนึ่งกำลังพูดทำนองว่า:
“เห… คุณก็อ่านนิตยสารแบบนี้ด้วยหรือ”
ฟรังก้าเบ้ปากแล้วทำอกพอง เป็นนัยตอบกลับไปบ้าง:
“ฉันอ่านนิตยสาร ‘สตรี’ แล้วมันผิดตรงไหน”
หลังจากการสื่อสารไร้เสียงช่วงสั้นๆ ยุติลง ฟรังก้าก็เปิดกระเป๋าเป้ แล้วนำธนบัตร เหรียญ กับทองแท่งออกมา
“ดูแล้วคงราวๆ หกหมื่นเฟลคิน” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ได้ข้อสรุป
ในระยะเวลาเพียงราวๆ สองเดือน หลวงพ่อใช้เงินเก็บของโอลัวร์ไปถึงสี่หมื่นเฟลคิน ทั้งที่ยังไม่ได้ซื้อตะกอนพลังหรือสมบัติวิเศษเลยสักชิ้น… ยิ่งคิดลูเมี่ยนก็ยิ่งแค้น
ที่หลวงพ่อไม่มีสมบัติวิเศษ อาจมิใช่เพราะเขาไม่อยากซื้อ แต่คงเป็นเพราะหาได้ไม่ทันในช่วงเวลาสั้นๆ ต้องไม่ลืมว่า ด้วยความที่เป็นสาวกเทพมาร เขาต้องคอยระวังตัวแจ จำนวนครั้งที่เข้าร่วมชุมนุมศาสตร์เร้นลับย่อมไม่มาก สิ่งของที่ผ่านตาย่อมน้อยลงตาม อีกเหตุผลคือ เขาทำพันธสัญญามากเกินไป บนตัวเต็มไปด้วยผลข้างเคียงเชิงลบ สมบัติวิเศษหลายๆ ชิ้นไม่เพียงไม่สร้างประโยชน์ให้เขา แต่ยังจะฉุดรั้งให้อ่อนแอลง แถมยังเสี่ยงภัย บางชิ้นอาจทำให้ตายโหงได้เลย
ฟรังก้าครุ่นคิดสักพัก แล้วพูดกับลูเมี่ยนและจินนา
“ทองคำทั้งหมดเป็นของชาร์ล ส่วนที่เหลือฉันขอครึ่งหนึ่ง จินนากับอ็องโตนีแบ่งกันในอีกครึ่งที่เหลือ ส่วนจะแบ่งสัดส่วนกันอย่างไร ให้รอดูว่าอ็องโตนีเก็บเกี่ยวกลับมาได้มากน้อยแค่ไหน แล้วค่อยตัดสินใจกันอีกที แบบนี้เป็นยังไง?”
ลูเมี่ยนจะได้ราวๆ สามหมื่นเฟลคิน ส่วนฟรังก้าได้หมื่นห้า
“ฉันไม่มีปัญหา” จินนาพูดด้วยสีหน้าเจือความกังวล “ป่านนี้แล้วอ็องโตนียังไม่กลับมาเลย บัดซบ! เขาเป็นอะไรไปแล้วหรือเปล่า?”
“ถ้าเป็นคนอื่น ฉันก็คงคิดว่าเขาอาจเจอเรื่องไม่คาดฝัน แต่อ็องโตนีเป็นถึงนักจิตบำบัด ถนัดการเดาใจคนอย่างยิ่ง ไม่น่าจะตกหลุมพรางใครง่ายนักหรอก แถมยังเป็นนักค้าข่าวมากประสบการณ์ ฝีมือการแกะรอยไม่ด้อยกว่าฉันกับชาร์ลเลย” ฟรังก้าพูดเสียยืดยาว แล้วยิ้มออกมา “สำคัญที่สุด ระหว่างที่รอพวกเธอกลับมา ฉันลองทำนายด้วยกระจกวิเศษดูแล้ว ยืนยันได้ว่าเขายังปลอดภัยดี หึๆ … ที่เขาหายไปนานแบบนี้ ความจริงแล้วเป็นเรื่องดีนะ แสดงว่าเขายังไม่คลาดกับเป้าหมาย ใครจะรู้ ตอนนี้อาจเค้นข้อมูลได้บ้างแล้วก็ได้”
“แค่บอกว่าทำนายยืนยันแล้วก็จบ จะพูดพล่ามน้ำท่วมทุ่งทำไม” ลูเมี่ยนจิกกัดด้วยรอยยิ้มขำขัน
ฟรังก้าเดาะลิ้น ‘จิ๊ๆ’
“คุณไม่เข้าใจหรอก นี่เรียกว่าการเลี่ยงการพึ่งพาพลังทำนาย”
แล้วเธอก็ชี้ไปยังหนังสัตว์พิธีกรรมทั้งห้าแผ่น
“พวกนี้เป็นวัตถุดิบของศาสตร์การสร้างปศุสัตว์สินะ พวกเราใช้บ้างได้ไหม”
“ตอนนี้มีแค่ผมที่ใช้ได้” ลูเมี่ยนส่ายหน้า “แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากิโยม·เบเนต์ตั้งคาถาแบบไหนไว้”
ฟรังก้าถอนสายตากลับด้วยความผิดหวังเล็กๆ แล้วไปนั่งบนเก้าอี้เอนหลังประจำตัว
ไม่กี่วินาทีถัดมา เธออมยิ้มแล้วพูดว่า
“จริงสิ ฉันอาศัยช่องทางของตัวเองส่งข่าวให้ทางการรับรู้แล้วนะ ว่ามีคนร้ายตามหมายจับซ่อนตัวอยู่ที่ 50 ถนนแว็งซองต์ รอให้พวกเขายืนยันการตายของกิโยม·เบเนต์เสร็จ เราน่าจะได้รับเงินรางวัลอีกราวๆ สองหมื่นเฟลคิน อา… แบ่งตามสูตรเดิมเลยไหม?”
เรื่องนี้ให้จินนาทำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวก ‘ผู้ชำระ’ อาจสงสัยว่า ในกลุ่มพวกพ้องของเธอมีลูเมี่ยน·ลีซุกซ่อนอยู่
อันที่จริง ตัวเลือกในอุดมคติคือนักค้าข่าวอ็องโตนี·รีด แต่เขายังไม่กลับมาเสียที ฟรังก้ากลัวว่าถ้ารอนานเกินไป ปัญหาในบ้านเลขที่ 50 ถนนแว็งซองต์จะถูกตำรวจท้องถิ่นค้นพบเสียก่อน ส่งผลให้พวกตนไม่ได้รับรางวัล
หลังจากลูเมี่ยนกับจินนาขานรับว่าไม่มีปัญหา ทั้งสามก็รออ็องโตนี·รีดอย่างใจเย็น
ผ่านไปสักไม่กี่นาที ลูเมี่ยนที่นั่งอยู่ก็เอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย มองสลับฟรังก้ากับจินนา แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำ
“มีบางเรื่องที่ผมอยากรบกวนพวกคุณให้ช่วยวิเคราะห์หน่อย”
หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับโอลัวร์ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนมักจะขาดเหตุผล อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจมากเกินไป จึงอยากฟังว่าฟรังก้ากับจินนาจะมีความเห็นเช่นไร
คนหนึ่งมีความสัมพันธ์ฉันเพื่อนร่วมงานกับโอลัวร์ แต่แน่นอนว่าไม่ลึกซึ้งเท่าโอลัวร์กับลูเมี่ยน อีกคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย เหมาะสำหรับมองจากมุมที่แตกต่างกัน
“ได้” ฟรังก้ากับจินนาตอบพร้อมกัน
ทั้งสองปรับท่านั่งให้ดูเป็นมืออาชีพขึ้นมาทันที
ลูเมี่ยนเล่าเรื่องราวของหมู่บ้านกอร์ตูเป็นครั้งแรก แม้จะไม่ละเอียดนัก ไม่มีการพูดถึงความฝัน ไม่พูดถึงเทวทูตชะตากรรม แต่ยังคงบรรยายภาพรวมของหายนะครั้งนั้นได้ครอบคลุม รวมถึงพฤติกรรมแปลกๆ ของโอลัวร์ รวมถึงคำให้การของลูอิส·ลุนด์ คุณนายปัวริส และกิโยม·เบเนต์
ในนั้นมีบางส่วนที่ฟรังก้ารู้แล้วแต่จินนาไม่ ทำเอานักแสดงฝึกหัดจากกรงพิราบเก่า ผู้เป็นนักร้องใต้ดินของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ได้แต่สงสัยว่านี่ยังเป็นโลกที่เธอรู้จักอยู่หรือเปล่า
ก่อนหน้านี้เธอเคยคิดว่า ศาสตร์การสร้างปศุสัตว์ทั้งน่ากลัว ทั้งเหนือธรรมชาติมากพออยู่แล้ว ใครจะไปคิดว่ายังมีเรื่อง ‘ผู้ชายคลอดลูก’ ‘ทารกเกาะผนังเหมือนนก’ และอีกมากมาย
บ้าคลั่งเกินไปแล้ว บ้าบอสิ้นดี!
ฟรังก้าสนใจความเปลี่ยนแปลงของโอลัวร์มากกว่า ก่อนหน้านี้เธออยากรู้มาตลอดว่า ‘มักเกิ้ล’ เสียชีวิตที่หมู่บ้านกอร์ตูได้อย่างไร แต่ก็กลัวจะกระทบกระเทือนจิตใจลูเมี่ยน จึงไม่กล้าถามรายละเอียด
เมื่อพบว่าต้นตอของปัญหาไม่ใช่ใครนอกจากโอลัวร์เอง ฟรังก้าแทบไม่อยากเชื่อ เพราะมันขัดแย้งกับภาพลักษณ์ ‘มักเกิ้ล’ ในความคิดมากเกินไป
เมื่อลูเมี่ยนเล่าถึงตอนที่โอลัวร์พูดกับกิโยม·เบเนต์ว่า ‘ฉันไม่ใช่โอลัวร์·ลี’ ฟรังก้าพลันชะงักไป สีหน้าเคร่งขรึมผิดวิสัย
ไม่นานนัก ลูเมี่ยนก็เล่าถึงพิธีกรรมสุดท้าย เล่าว่าโอลัวร์ได้สติกะทันหันแล้วผลักตนออกจากแท่นบูชา ช่วยให้รอดชีวิตมาได้
ทันใดนั้น ฟรังก้าก็ลุกพรวดจากเก้าอี้
ท่ามกลางสายตางุนงงของลูเมี่ยนกับจินนา เธอวิ่งเข้าไปในห้องนอน หยิบกองกระดาษออกมา
เป็นเอกสารที่ลูเมี่ยนคัดลอกจากสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ เพราะเชื่อว่าอาจมีปัญหาแฝงอยู่ในเนื้อหา จึงนำมาให้ฟรังก้าดู
ฟรังก้าวางกองกระดาษเหล่านั้นลงบนโต๊ะกาแฟ ดึงออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วพูดด้วยสีหน้าตกใจปนเคร่งขรึม
“ฉันพอจะรู้แล้วว่าปัญหาอยู่ตรงไหน”
ลูเมี่ยนมองด้วยสายตาตกตะลึง บนหน้ากระดาษแผ่นนั้นคือบทคัดลอก ‘มนตร์เรียกวิญญาณ’ ซึ่งเป็นเวทมนตร์ของ ‘จอมเวท’
มันคือมนตร์เสริมสำหรับช่วยเหลือเป้าหมายที่กายกับจิตแยกออกจากกัน หรือช่วยกายดาราที่หลงทางอยู่ในโลกวิญญาณ ให้หาวิญญาณของตัวเองเจอ
ลูเมี่ยนเคยศึกษาโครงสร้างของมันแล้ว แต่ก็ไม่พบปัญหา ไม่มีส่วนใดเชื่อมโยงกับเทพมารเลย
คราวนี้ หลังจากฟังฟรังก้าพูดจบ เด็กหนุ่มก็กวาดตามองทั่วเนื้อหาอีกครั้ง สายตาหยุดอยู่ตรง ‘วันที่’ กับ ‘แหล่งที่มา’ ซึ่งเขียนกำกับไว้ท้ายสุด
“1 เมษายน ปี 1357 ซื้อมาจากชุมนุม ‘วันเอพริลฟูล’”
……………………………………………………..