ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 332 “คนบาป”
ตอนที่ 332 “คนบาป”
เธอบอกว่าตัวเองไม่ใช่โอลัวร์·ลี? ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า สมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ
อันที่จริง เด็กหนุ่มพอจะเดาได้ว่าโอลัวร์·ลีมิใช่ชื่อจริงของพี่สาว พวกคนที่ย้ายมาปักหลักอาศัยอยู่ตามหมู่บ้านแนวชายแดน ส่วนใหญ่จะไม่ใช้ชื่อจริงกัน แต่ในช่วงหกปีหลัง เขาสัมผัสได้ว่าพี่สาวยอมรับชื่อโอลัวร์·ลีมากกว่า ไม่เคยเอ่ยถึงชื่อกับชีวิตเดิมเลยสักครั้ง มิหนำซ้ำ ยิ่งเวลาผ่านไป บัตรประจำตัวปลอมก็ยิ่งดูสมจริงมากขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นนักเขียนขายดี ชื่อดังกล่าวก็ยิ่งผูกติดกับเธอจนแยกไม่ออก
แล้วทำไมถึงไปเล่าให้คนอื่นฟัง?
มันเกี่ยวข้องอย่างไรกับการศรัทธาในชะตากรรม?
อาการปวดศีรษะทำให้ลูเมี่ยนฟื้นตัวจาก ‘แรงปะทะ’ ครั้งใหญ่ที่มาพร้อมกับข้อมูลล่าสุด จึงถามด้วยน้ำเสียงรีบเร่ง
“เธอเคยบอกไหมว่าตัวเองเป็นใคร”
กิโยม·เบเนต์เจ้าของใบหน้าซีดเซียว ซึ่งไม่เหลือเพลิงทมิฬกับน้ำแข็งเกาะอยู่แล้ว มอบคำตอบอย่างเหม่อลอย
“เธอบอกว่า ตัวเองชื่อโรช·หลุยส์·ซ็องซง”
ไม่เห็นจะเคยได้ยินเลย… ลูเมี่ยนขมวดคิ้ว
“แล้วเกี่ยวกับตัวตนนี้ เธอเคยเล่าอะไรให้ฟังอีกไหม”
กิโยม·เบเนต์ส่ายหัว
“ไม่มี”
ลูเมี่ยนยกมือซ้ายกดข้างศีรษะ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถาม
“การบูชายัญทั้งหมู่บ้านกอร์ตู เพื่อแลกกับการเสด็จเยือนของเทวทูตชะตากรรม เป็นแผนการของโรช·หลุยส์·ซ็องซงหรือ”
กิโยม·เบเนต์คล้ายกับตกอยู่ในความขัดแย้ง แต่สุดท้ายก็ไม่อาจต่อต้านอิทธิพลของการ ‘สื่อวิญญาณ’ จึงยอมตอบอย่างซื่อตรง
“ไม่ใช่ เป็นความคิดของฉันเอง”
“ฉันอยากได้บารมีเทพ อยากกลายเป็นนักบุญโดยเร็ว ส่วนโอลัวร์·ลีเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังแสดงท่าทีเห็นด้วยกับแผนการ แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงกลับคัดค้าน มัวโลเลตัดสินใจไม่ได้สักที ในที่สุด ฉันก็เลือกปิดบังเธอแล้วแอบเตรียมการอย่างลับๆ ต่อมา เธอยอมรับในความพยายามของเรา ซ้ำยังช่วยเหลือในช่วงเวลาสำคัญ แม้ในบางครั้งจะไม่ยอมร่วมมือ หรือแม้กระทั่งพยายามบ่อนทำลาย แต่พอผ่านไปสักพักเธอก็จะยอมประนีประนอม”
พูดยังกับโอลัวร์เป็นโรคหลายบุคลิก… ลูเมี่ยนคิดจะปกป้องภาพลักษณ์ของพี่สาวตามสัญชาตญาณ แต่ทันใดนั้นก็นึกถึงกิ้งก่าโปร่งใสที่คลานออกจากปากเธอ นึกถึงช่วงที่เธอมีสติเป็นครั้งคราว ซ้ำยังช่วยกันคิดหาทางหนี
แต่ถึงแม้ในยามที่ ‘มีสติ’ โอลัวร์ก็ไม่ได้ปกติเต็มร้อย หลงลืมแม้กระทั่งการอัญเชิญผู้ส่งสารของเฮล่า เพื่อขอความช่วยเหลือด้วยวิธีที่ง่ายแถมยังรวดเร็วที่สุด
ลูเมี่ยนถามต่อไป
“โอลัวร์เริ่มเผยแผ่ลัทธิชะตากรรมในหมู่บ้านกอร์ตูตอนไหน”
กิโยม·เบเนต์ทำหน้าสับสนยิ่งกว่าเมื่อครู่
“จากการสืบเบื้องต้นของฉัน เธอน่าจะเริ่มประมาณเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนปีที่แล้ว หลังจากนั้นจึงแอบมาหาฉัน”
ก็ตรงกับที่เราคาดเดา… ก่อนหน้านั้นเล็กน้อยต้องเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นแน่นอน จนทำให้โอลัวร์ถูกมลทินปนเปื้อน… หากเธอเป็นสาวกชะตากรรมมาตั้งแต่ต้น ก็คงไม่รอถึงห้าหกปีหลังตั้งรกราก ถึงจะเริ่มเผยแผ่ศาสนา… ลูเมี่ยนเผยสีหน้าเจ็บปวด ก่อนจะรีบกลั้นเอาไว้
“ในหมู่บ้านกอร์ตู แกเคยเห็นสิ่งมีชีวิตโปร่งใสคล้ายๆ กิ้งก่าบ้างไหม”
“ไม่เคย” กิโยม·เบเนต์ตอบเถรตรง
“แล้วรู้ไหมว่าในหมู่บ้านกอร์ตูมี ‘ผู้ทนทุกข์’ อยู่หนึ่งคน?” ลูเมี่ยนถามต่อ
กิโยม·เบเนต์ชะงักไป
“ไม่ทราบเลย…”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของลูเมี่ยนเกร็งขึ้นมาเอง
“แกเคยเห็นนกฮูกอยู่รอบๆ ตัวโอลัวร์บ้างไหม”
“ไม่เคย” กิโยม·เบเนต์ปฏิเสธอีกครั้ง
ลูเมี่ยนถามไปอีกสองสามข้อ เนื้อหาเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมของหมู่บ้านกอร์ตู แต่ไม่ได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจหรือตรงประเด็น จนในที่สุดก็ถาม
“โรช·หลุยส์·ซ็องซงมีองค์กรลับหรือนิกายเทพมารอยู่เบื้องหลังหรือไม่”
“มี… ชื่อว่า ‘คนบาป’”
“ตอนนี้ฉันคือหนึ่งในอาร์ชบิชอปของ ‘คนบาป’”
คนบาป… ลัทธิเทพมารที่ศรัทธาชะตากรรม? ลูเมี่ยนถามต่ออย่างตื่นเต้น
“ใครคือผู้นำของ ‘คนบาป’ แล้วแกต้องติดต่อผ่านใคร?”
“ฉันไม่แน่ใจว่าใครคือผู้นำ ทราบเพียงว่า ท่านผู้นั้นคือคนเดียวในหมู่คนบาปที่ได้ครอบครองบารมีเทพ” กิโยม·เบเนต์ตอบด้วยเสียงล่องลอย “ฉันต้องติดต่อผ่านบูวาร์·ปงแปโร”
คนเดียวที่มีบารมีเทพ… จะใช่ ‘ผู้ทนทุกข์’ ที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ เราก่อนหน้านี้หรือเปล่านะ? ลูเมี่ยนคาดเดาไปพลางถาม
“ต้องติดต่อกับบูวาร์·ปงแปโรอย่างไร?”
“เปล่าประโยชน์” กิโยม·เบเนต์ตอบเสียงล่องลอย “พอฉันตายไป เขาจะสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงทางโชคชะตา แล้วชิงกำจัดทุกเบาะแสทิ้ง หนึ่งในพลังที่เขาได้จากพันธสัญญาคือ ‘วิชาแปลงโฉม’ ช่วยให้ปลอมตัวเป็นใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป”
จะเป็นใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป… ถ้าใช้วิชาแปลงโฉมนานๆ คงได้เป็นบ้าเข้าสักวันแน่… บางที เราอาจลองไปถามที่โรงพยาบาลจิตเวชดู เผื่อว่ามีคนไข้ป่วยเป็นโรค ‘การรับรู้บกพร่อง’ หรืออะไรทำนองนั้น… ในอนาคต พอเราได้รับพลังจากพันธสัญญามากขึ้น ก็ยิ่งต้องระวังให้ดี ผลข้างเคียงเชิงลบแค่สามสี่อย่างยังพอรับไหว แต่ถ้าเกินกว่านั้น ไม่ใช่แค่ตัวเองที่มีปัญหา แต่ศัตรูก็อาจนำจุดอ่อนตรงนั้นมาย้อนเล่นงาน… ลูเมี่ยนมองกระจกบนแท่นบูชาแล้วกล่าว
“องค์กรคนบาปส่งแกมาทำอะไรในเขตเจ้าหญิงสีชาด?”
ใบหน้าอันพร่ามัวของกิโยม·เบเนต์เริ่มเผยความคลั่งไคล้
“แง่หนึ่งก็เพื่อตอบสนองแรงกระหายของฉัน อีกแง่หนึ่งก็เพื่อบ่มเพาะสาวกอย่างลับๆ เตรียมพร้อมสำหรับพิธีใหญ่ครั้งถัดไป มีเพียงการช่วยให้พระองค์เสด็จเยือนโลกโดยสวัสดิภาพเท่านั้น เหล่าคนบาปอย่างเราจึงจะได้รับการอภัย ได้รับการล้างบาป หลุดพ้นจากโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้”
“เงินทองที่แกนำมาใช้ ได้รับจากองค์กรคนบาปหรือหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง?” ลูเมี่ยนคิดจะสืบเสาะจากแห่งที่มาของเงิน
กิโยม·เบเนต์ส่ายหน้า
“โอลัวร์·ลี ไม่สิ… โรช·หลุยส์·ซ็องซงเป็นคนให้สมุดเงินฝากไม่ระบุชื่อมา ในนั้นมีมากถึงหนึ่งแสนเฟลคิน”
“บัดซบ! ไอ้หมูตอนเอ๊ย!” ลูเมี่ยนสบถอย่างอดไม่ได้
แม้เด็กหนุ่มจะตงิดใจอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อจินตนาการว่าหลวงพ่อนำเงินค่าลิขสิทธิ์ของโอลัวร์ไปปรนเปรอผีเสื้องานสังคม อยู่บ้านหรูหรา คอยบ่มเบาะสาวกเทพมาร ความโกรธก็ปะทุขึ้นมาถึงหัว
ลูเมี่ยนฝืนกลั้นอารมณ์ กล่าวด้วยเสียงเยาะหยัน
“องค์กรคนบาปไม่เคยให้ตะกอนพลังกับแกบ้างหรือ ทำไมถึงไม่ดื่มโอสถเลยล่ะ?”
ไม่อย่างนั้น หลวงพ่อคงจะยิ่งแข็งแกร่ง จนจัดการได้ยากกว่านี้มาก
“ตะกอนพลังเส้นทาง ‘นักทำนาย’ ‘สัตว์ประหลาด’ ‘ผู้ฝึกหัด’ และ ‘นักโจรกรรม’ ที่เหมาะกับพรแห่งชะตากรรม ล้วนหาได้ไม่ง่ายเลย ฉันกำลังตามหาอยู่”
“ด้วยผลข้างเคียงเชิงลบจากสัตว์พันธสัญญา หากฉันดื่มโอสถเส้นทางอื่น ก็คงประสบภาวะคลุ้มคลั่งในทันที”
ยังดีที่ผลข้างเคียงเชิงลบของเรายังค่อนข้างน้อย ไม่อย่างนั้น การดื่มโอสถเส้นทางนักล่าในอนาคตคงเต็มไปด้วยอันตราย… พลังวิญญาณของลูเมี่ยนใกล้แห้งเหือดเต็มที จึงรีบถามข้อสุดท้าย
“เส้นทางชะตากรรมตั้งแต่ลำดับ 6 ถึง 0 ชื่อว่าอะไรบ้าง”
เสียงตอบของกิโยม·เบเนต์ยิ่งล่องลอย
“ลำดับ 6 คือ ‘นักพรต’ ลำดับ 5 คือ ‘นักล่าชะตากรรม’ ลำดับ 4 คือ ‘คนในวง’ ลำดับ 3 คือ ‘ผู้ทนทุกข์’ สูงกว่านี้ฉันไม่รู้แล้ว”
นักพรต… ฟังดูเหมือนเป็นพัฒนาการต่อจาก ‘ภิกษุบิณฑบาต’ … ทำไมเทอร์มีโพลอสถึงไม่ยอมบอกเราล่ะ? ก็นะ เจ้าเทวทูตนั่นคือผู้เสียหาย ในอนาคตจะถูกดึงพรของ ‘นักพรต’ ออกไป ย่อมไม่อยากตอบคำถามเป็นธรรมดา หากหมอนั่นไม่มีปฏิกิริยาใดเลย แล้วตอบคำถามอย่างให้ความร่วมมือ เราเสียอีกที่ต้องหวาดกลัว ต้องกังวลว่าอาจเป็นกับดัก… ลูเมี่ยนเงยหน้าเล็กน้อย สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยวอย่างไม่อาจหักห้าม
“นักพรตมีพลังแบบไหน”
กิโยม·เบเนต์ตอบด้วยเสียงล่องลอย
“แก่นสารของนักพรตคือความอดทน การสะสม และการระเบิดพลัง ในยามปกติจะเก็บสะสมพลังไว้ในร่างกาย เมื่อต่อสู้ก็สามารถระเบิดพลังในพริบตา เปลี่ยนตัวเองให้ดูเหมือนคนยักษ์ หรือถ้าสะสม ‘ขั้นตอนพิธีกรรม’ เอาไว้ ก็จะช่วยให้พิธีกรรมบางชนิดสำเร็จง่ายขึ้น หรือนำมาใช้ในการต่อสู้จริงได้”
เหมือนคนยักษ์… ระเบิดพลังในพริบตา… ลูเมี่ยนนึกถึงศึกระหว่างคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี กับผู้ตรวจสอบไรอัน นึกถึงหลวงพ่อที่กลายเป็นคนยักษ์โลหะเมื่อสักครู่นี้
หากมิใช่เพราะในศึกเมื่อครู่ กิโยม·เบเนต์ในร่างชีวโลหะหวั่นเกรง ‘วิชาฮึ่มฮ่า’ อย่างชัดเจนจนไม่กล้าเข้าประชิดตัว เอาแต่ทิ้งระยะห่างตลอดเวลา รวมถึงคอยสลับเปลี่ยนตำแหน่งเรื่อยๆ จนแม้แต่ฟรังก้าก็ยังหาโอกาสใช้ ‘ทะลวงจิต’ ไม่ได้ ขอเพียงเขาผสมผสานพลัง ‘กายาเหล็กกล้า’ เข้ากับ ‘นักพรต’ ก็สามารถชกลูเมี่ยนที่ต้องถนอมพลังวิญญาณจนร่วงได้ในหมัดเดียว
นี่ยังเป็นการพิสูจน์ว่า ลูเมี่ยนทำถูกแล้วที่เลือกเมินสัตว์โลกวิญญาณที่มาพร้อมกับความรู้ติดตัวผู้ถือพันธสัญญา แล้วเลือกเฟ้นสัตว์โลกวิญญาณด้วยตัวเองจากข้อมูลภายนอก ไม่อย่างนั้น หากหลวงพ่อกะเกณฑ์ได้แม่นยำว่าเด็กหนุ่มยังใช้วิชาฮึ่มฮ่าได้อีกกี่ครั้ง ยังเหลือพลังแบบไหนอีกเท่าไร ถึงตอนนั้น การตัดสินใจของเขา รวมถึงผลลัพธ์สุดท้ายของศึก ก็คงแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ส่วนการย่อขั้นตอนพิธีกรรม กิโยม·เบเนต์เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้:
หากนำหนังแกะที่สะสมขั้นตอนพิธีกรรมไว้ล่วงหน้า มาห่อมนุษย์แล้วท่องคาถา ก็สามารถเปลี่ยนเหยื่อให้กลายเป็นแกะได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาประกอบพิธีให้ยุ่งยากซับซ้อน
ขณะลูเมี่ยนเตรียมถามถึงพลังของ ‘ผู้ทนทุกข์’ จากหลวงพ่อ ศีรษะก็พลันเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกเข็มแทง ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะคงสภาพไว้ได้อีก
เด็กหนุ่มผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยอมรับได้ หากมิใช่เพราะวิชากระจกสื่อวิญญาณที่ฟรังก้าคิดค้นขึ้น ตนจะได้ถามมากมายเพียงนี้หรือ ได้คำตอบมากมายเพียงนี้หรือ?
ลูเมี่ยนเปิดเนตรวิญญาณ ยุติการสื่อวิญญาณ พลางสูดหายใจเข้าเต็มปอด มองดูวิญญาณของกิโยม·เบเนต์ลอยออกจากกระจก
หลังจากได้พักหายใจหายคอ เด็กหนุ่มก็ยื่นมือขวาออกไป คว้าวิญญาณของหลวงพ่อเอาไว้
แน่นอนว่าเขาไม่อาจสัมผัสกับสิ่งที่มองไม่เห็น แต่เปลวไฟแดงฉานที่ลุกโชนบนฝ่ามือ เริ่มการแผดเผาวิญญาณของกิโยม·เบเนต์ที่อยู่ในสภาพอ่อนแอสุดขีด
ท่ามกลางเปลวไฟอันร้อนแรงยิ่งกว่าพระอาทิตย์เที่ยงวัน ลูเมี่ยนมองผีสางกำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน พลางยกมุมปากสูง ตะโกนเสียงขรึม
“สุริยันจงเจริญ!”
กิโยม·เบเนต์พลันชะงักงัน ก่อนจะสลายไปในพริบตาท่ามกลางกองเพลิง
……………………………………………………..