ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 331 สื่อวิญญาณ
ตอนที่ 331 สื่อวิญญาณ
กิโยม·เบเนต์ได้ฟังคำพูดลูเมี่ยน ถึงแม้จะกลายเป็นวิญญาณแล้ว ก็ยังรู้สึกหนาวยะเยือกอย่างน่าประหลาด
แทบจะในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกถึงแรงดูดพิศวง ร่างกายคุดคู้อย่างไม่อาจหักห้าม ร่วงหล่นลงไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
ปลายทางคือวังวนก้นหอยขนาดมหึมาสีใสดุจสายวารี ตรงก้นหอยมีหมอกสีเทาเจือจางลอยคลุ้ง ภายในหมอกมีหมู่บ้านอันมืดมิด มีหลายร่างเตร็ดเตร่อยู่ทั่วหมู่บ้าน
หนึ่งในนั้นแหงนหน้ามองฟ้า พอดีเห็นกิโยม·เบเนต์กำลังดิ้นรนมิให้ตกลงไปในวังวน
ใบหน้าอันซูบซีดของชายคนนั้น ฉับพลันเปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่งระคนตื่นเต้น ร้องแรกแหกกระเชอเสียงดังว่า
“พ…พระองค์ท่าน! พระองค์ท่าน! ท่านก็มาด้วยหรือ?”
“มาเร็ว! มาเร็ว!”
ร่างดังกล่าวคือปงส์·เบเนต์ น้องชายของกิโยม·เบเนต์
รับรู้ถึง ‘ความผิดปกติ’ จากปงส์·เบเนต์ บรรดาร่างที่วนเวียนอยู่ในหมู่บ้านอันมืดมิด ต่างพากันเงยหน้ามองกิโยม·เบเนต์
ในจำนวนนั้นมีมาไดนา·เบเนต์ อดีตชู้รักของกิโยม·เบเนต์ รวมถึงฟิลิปปา·กิโยม ทุกคนต่างก็ยื่นแขนซูบซีดของตนขึ้นฟ้า หัวเราะด้วยใบหน้าเหม่อลอย
“เร็วเข้า! เร็วเข้า!”
ต่อมา คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี รวมถึงกิโยม·แบรี เพื่อนของลูเมี่ยน หรือแม้แต่อเซมา·ลีซิแยร์ ต่างก็ทำท่าทางเดียวกัน
ชั่วขณะหนึ่ง หมู่บ้านอันมืดมิดในหมอกสีจาง ดูคล้ายกับมีผืนป่าพิสดารสีซูบซีดงอกเงยขึ้นมา ฝ่ามือทั้งหมดล้วนชี้ไปหาอธิการโบสถ์
กิโยม·เบเนต์พลันหล่นพรวดเป็นระยะทางไกล เขาตกใจจนวิญญาณแทบแตกสลาย
จากนั้นก็พยายาม ‘ลอยขึ้น’ สุดชีวิต หวังหลุดพ้นจากอิทธิพลของวังวน หวังหลบหนีออกจากร่างลูเมี่ยนซึ่งเปี่ยมไปด้วยอันตราย
เขาไม่มีความคิดที่จะ ‘เกิดใหม่’ ในร่างอีกฝ่าย เพราะไม่อยากแบกรับโชคชะตาที่จะตามมา
นั่นคือสิ่งที่กิโยม·เบเนต์ไม่ใกล้เคียงที่จะรับไหว!
ลูเมี่ยน ‘ฟัง’ เสียงร้องโหยหวน ‘ฟัง’ ความตื่นตระหนกจากภายในกาย ยิ่งนานไปเด็กหนุ่มก็ยิ่งหัวเราะร่าเริง
แน่นอน การใช้พลัง ‘เกิดใหม่’ เพื่อเข้าสิงร่าง กับการถูก ‘ระบำเรียกสถิต’ ชักนำมา แล้วถูกบังคับให้สิงร่าง ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว!
ในกรณีแรก จะเกิดการเชื่อมโยงกับโชคชะตาของ ‘ผู้สิงร่าง’ มีความพยายามในการแทนที่เจ้าของเดิม ซึ่งแน่นอนว่าต้องไปกระตุ้นผนึก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง กิโยม·เบเนต์ที่ชุ่มชโลมด้วยมลทินแห่งชะตากรรมอยู่แล้ว จะสั่นพ้องกับพลังแห่งโชคชะตาภายในผนึก
ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนั้น ลูเมี่ยนไม่อาจคาดเดา แต่เชื่อว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
‘รับรู้’ ถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะหนีของกิโยม·เบเนต์ ลูเมี่ยนไม่เพียงไม่ขัดขวาง แต่ยังหยุด ‘แทรกแซง’ ด้วยความเต็มใจ
หลังจากใช้พลัง ‘เกิดใหม่’ หากไม่โชคร้ายต้องเผชิญหน้ากับพลังวิเศษในบางเส้นทาง เช่น ‘สุริยัน’ ตราบใดที่กิโยม·เบเนต์ไม่เต็มใจ ลูเมี่ยนก็แทบไม่มีทางขับไล่อีกฝ่ายออกจากร่างตนได้เลย ถึงจะใช้ ‘กระจกตัวแทน’ ก็ไร้ผล แต่หากกิโยม·เบเนต์อยากออกไปเอง เรื่องก็จะง่ายมาก
ในที่สุด กิโยม·เบเนต์ก็ดิ้นรนจนหนีพ้นร่างลูเมี่ยน แลกมากับการสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมหาศาล ซ้ำยังต้องทนรับผลกระทบบางชนิด จนตกอยู่ในภาวะเปราะบางอย่างยิ่งยวด
ขณะเดียวกัน ลูเมี่ยนบิดข้อมือขวาแผ่วเบา เพื่อใช้ ‘บิดเบือน’ อีกครั้ง
แสงสีทองเข้มวาบขึ้นจากหน้าอก กิโยม·เบเนต์ที่เพิ่งหลุดพ้นจากอาการผวา เพิ่งหลุดพ้นจาก ‘แรงดึงดูด’ ลึกลับ ก็ถูกบิดเบือนจุดหมายปลายทางทันที ไปโผล่อยู่บนผิวกระจกเงาขนาดเท่าฝ่ามือในมือฟรังก้า
ฟรังก้ายกมือขวา บีบอัดน้ำแข็งสีใสให้ก่อตัวเป็นผลึก แล้วนำไปลูบบนผิวกระจกเบาๆ
ร่างของกิโยม·เบเนต์ถูกขังใต้ชั้นน้ำแข็งทรงพลังทันที ถูกจองจำอยู่ในกระจกบานนั้น
ถัดมา ฟรังก้าเสกเปลวไฟสีดำลอยเหนือผิวน้ำแข็ง
ลำพังชั้นน้ำแข็งยังไม่เพียงพอที่จะผนึกวิญญาณไว้ในกระจก แต่เพลิงทมิฬทำได้ หากกิโยม·เบเนต์กล้าดิ้นรนจนหลุดจากชั้นน้ำแข็ง ก็จะถูกเพลิงทมิฬแผดเผาจนมอดไหม้!
หลังจาก ‘ผนึก’ กายวิญญาณของกิโยม·เบเนต์เสร็จ ฟรังก้าเงยหน้าพูดกับลูเมี่ยนที่ดึงก้อนกระดาษออกจากหูแล้ว
“ค่อยออกไปสื่อวิญญาณข้างนอก ในนี้มีแต่แก๊สมึนเมากับไฟของคุณ”
ด้วยสภาพร่างกาย ด้วยอัตราการสิ้นเปลืองของเธอ ต่อให้ไม่ใช้ ‘กระจกตัวแทน’ เลยสักบาน ก็ยังทนอยู่ในนี้ได้อีกต่ำๆ สองสามนาที แต่เธอย่อมดูออกว่าลูเมี่ยนใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว
เด็กหนุ่มพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับทันที วิ่งไปยังทางออกของขวดเสกสรรโดยไม่พูดไม่จา
กลับมาถึงห้องจัดพิธีสังเวย ลูเมี่ยนรีบยกเลิก ‘ใบหน้าของไนเซอร์’ คลายรูปโฉมของฟรังก้าที่สวมฮู้ดกับชุดคลุมสีดำ
ร่างกายท่อนบนของเด็กหนุ่ม ถูกไฟเผาจนดำเกรียมไปหลายจุด แต่ร่างกายท่อนล่างยังคงสบายดี เนื่องจากเขาสามารถควบคุมพลังได้บางส่วนแล้วหลังจากย่อยโอสถนักวางเพลิงไปถึงระดับหนึ่ง ส่งผลให้กางเกงไม่ชำรุดไปมากนัก
การสร้างความเจ็บปวด กระตุ้นสมอง และปลุกตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเผาทั้งตัว ทำแค่บางส่วนก็ได้ผลเช่นกัน
“คุณเป็นพวกเสพติดความเจ็บปวดหรือไง ทุกครั้งที่ต่อสู้ถึงต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นซากผีแบบนี้” ฟรังก้าที่ตามออกมา ด่าเช็ดไปสองประโยค กึ่งห่วงใยกึ่งจิกกัด
ลูเมี่ยนมองกระจกที่ถูกเพลิงทมิฬห่อหุ้มในมือฟรังก้า ตอบแบบขอไปที
“นักล่าก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น”
“ถ้าฉันเชื่อคำโกหกของคุณ ก็ไม่ถือว่าเป็นนักกระตุ้นแล้ว!” ฟรังก้าไม่ใช่ไม่เคยเห็น ‘นักวางเพลิง’ ต่อสู้
เห็นทั้งสองยังมีอารมณ์คุยเล่น จินนาเข้าใจว่าศัตรูถูกจับได้แล้ว ถือว่าปัญหาได้คลายไปเปลาะหนึ่ง จึงเดินออกมาจากในเงา
ฟรังก้ายิ้มให้เธอ แล้วหันไปพูดกับลูเมี่ยน
“รอก่อนนะ ไม่ต้องรีบ ตอนนี้กิโยม·เบเนต์ยังไม่ถือว่าตายอย่างสมบูรณ์ รอจนกว่าผลของ ‘เกิดใหม่’ จะหมดฤทธิ์ มันจะกลายเป็นวิญญาณเหม่อลอยที่เพิ่งตายหมาดๆ เมื่อถึงตอนนั้น ‘การสื่อวิญญาณ’ จะปลอดภัยกว่ามาก อีกทั้งยังไม่ต้องกลัวว่ามันจะโกหก”
ลูเมี่ยนคำนวณในใจว่าจะใส่เข็มกลัด ‘มีหน้ามีตา’ ได้อีกนานแค่ไหน แล้วจึงกล่าวออกไป
“รอที่นี่แหละ”
อ้างอิงจากความรู้ทางศาสตร์เร้นลับที่เขาได้รับจากพร ผลของ ‘เกิดใหม่’ จะอยู่ได้เพียงสองนาที อีกไม่นานก็จะจบลงแล้ว
หากออกจากบ้านหลังนี้ไป เพื่อเสียเวลาหาที่ปลอดภัยปลอดคน ลูเมี่ยนยังต้องหาที่ปลอดคนเพิ่มอีกแห่ง เพื่อใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ เก็บตัวระหว่างที่ถูกคนรอบข้างเกลียดขี้หน้า แล้วจึงค่อยเริ่มสื่อวิญญาณได้
ถึงตอนนั้นก็คงพลาดช่วงเวลาสำคัญสำหรับสื่อวิญญาณไปแล้ว
เหนือสิ่งอื่นใด ลูเมี่ยนรอไม่ไหวแล้ว
ฟรังก้าพยักหน้าเบาๆ เป็นนัยว่าเข้าใจ
เธอเดินไปทางแท่นบูชา วางกระจกในมือลงบนสัญลักษณ์วงกลมสีดำที่ประกอบจากหนาม โดยยังคอยรักษาเพลิงทมิฬให้ลุกโชน
เด็กหนุ่มมองกิโยม·เบเนต์ใต้เพลิงทมิฬ ใต้ชั้นน้ำแข็ง จ้องใบหน้าที่เริ่มซีดเซียวเขียวคล้ำของอีกฝ่าย พลางอมยิ้มมุมปากอย่างร่าเริง
“แกนี่มันโง่ฉิบหาย!”
“ถ้าฉันเป็นแก หลังจากใช้กายาเหล็กกล้า ก็จะไม่มัวเสียเวลาต่อสู้กับใครอีก แค่ซ่อนตัวไปเรื่อยๆ รอให้ศัตรูหมดสติไปเองก็ชนะแล้ว”
“อา… จริงสิ ลืมบอกไปเลย พลังวิญญาณของฉันเลยขีดอันตรายมานานแล้ว อย่าว่าแต่ ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ เลย ลำพัง ‘วิชาฮึ่มฮ่า’ ก็ยังใช้ไม่ไหว ทำได้เพียงจุดไฟ เปลี่ยนใบหน้า ใช้เข็มกลัดได้บ้างเท่านั้น ถ้าแกยื้อต่ออีกสักหน่อย ฉันก็คงถึงขีดจำกัดแน่นอนเลยล่ะ สุดท้ายก็จะสลบเหมือดไปเอง”
“ช่วงหลังๆ ฉันเริ่มทำตัวบ้าระห่ำ ทำเป็นตอบสนองช้าลง แง่หนึ่งก็เพื่อถนอมพลังวิญญาณ เผื่ออาจต้องใช้ในช่วงเวลาสำคัญ ยังดีที่กระจกตัวแทนใช้พลังวิญญาณของฟรังก้าทั้งหมด… ส่วนอีกแง่หนึ่งก็… หึๆ … เพื่อวางกับดักล่อแกไงล่ะ”
“ยังจำบุปผาเพลิงยักษ์ได้ไหม? ถ้าไม่มี ‘ของขวัญ’ ชิ้นนั้นมาช่วยให้การติดสินบนสำเร็จลุล่วง คำสาปของฟรังก้าก็คงฆ่าแกในทีเดียวไม่ได้…”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘วิชาฮึ่มฮ่า’ พลางนึกทบทวนการลงมือครั้งก่อนๆ ที่ทำให้กิโยม·เบเนต์ตัวปลอมทั้งสองหมดสติ ฟรังก้าก็ตาเบิกโพลง ทั้งตกใจทั้งงุนงง
จินนามองลูเมี่ยนที่เอาแต่เย้ยหยันวิญญาณในกระจกไม่หยุด จนเริ่มรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา จึงดึงฟรังก้าเบาๆ แล้วกระซิบถาม
“เราต้องปลอบเขาไหม”
“ไม่ต้อง” ฟรังก้าส่ายหน้า แล้วเดินออกห่างจากลูเมี่ยน เพื่อให้เด็กหนุ่มมีพื้นที่ ‘ส่วนตัว’ สำหรับระบายอารมณ์
จินนา ‘อืม’ หนึ่งคำแล้วเดินตามฟรังก้าไปยังมุมห้องจัดพิธี พลางเหลือบมองใบหน้าซีดเซียวจนเกือบเขียวคล้ำในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย
นอกเหนือจากความโกรธแค้นระคนหวาดกลัว บนใบหน้ากิโยม·เบเนต์เริ่มเผยความสิ้นหวังที่กำลังเอ่อล้น
…………
ซ่องผักชีฝรั่ง ชั้น 6
บนระเบียงอีกฟากหนึ่ง อัลบัสยืนเอียงตัวอยู่ตรงมุม แอบมองไปทางห้อง 602
เขารอจนกระทั่งพวกลูเมี่ยน ‘ท่องเที่ยว’ จากไป จึงค่อยเดินออกจากที่ซ่อนพร้อมกับหัวเราะในคอ
“แค่ลำดับ 7 ก็มีสมบัติวิเศษสำหรับข้ามโลกวิญญาณแล้วหรือ…”
“แถมยังดูสนิทกับ ‘บูตแดง’ มากเสียด้วย การ์ดเนอร์·มาร์ตินรู้เรื่องพวกนี้หรือยังนะ…”
รำพันจบ รอยยิ้มของอัลบัสก็กลายเป็นคลุมเครือ ใบหน้าเจือความเย้ยหยัน
…………
บ้านเลขที่ 50 ถนนแว็งซองต์ ภายในห้องพิธีกรรมใต้ดิน
ลูเมี่ยนยั่วยุอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผลของ ‘เกิดใหม่’ สิ้นสุดลง พร้อมกับสายตาที่เริ่มเหม่อลอยของกิโยม·เบเนต์
ฟรังก้าซึ่งคำนวณเวลาอย่างแม่นยำ เดินมาทางแท่นบูชา สร้างกำแพงวิญญาณแล้วตระเตรียมเบื้องต้น
ในไม่ช้า เธอร่ายคาถาเสียงเบาเพื่อเริ่มต้น ‘วิชาสื่อวิญญาณผ่านกระจกวิเศษ’ ที่คิดค้นขึ้นเอง
เมื่อหญิงสาวเตรียมการใกล้เสร็จ ลูเมี่ยนรวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย ใช้เข็มกลัดมีหน้ามีตาอีกครั้ง ‘บิดเบือน’ ผู้ถามให้เป็นตัวเขาเอง
เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จในคราวเดียว เด็กหนุ่มยังใช้ ‘ใบหน้าของไนเซอร์’ แปลงโฉมเป็นฟรังก้า
กระจกบานดังกล่าวกลายเป็นมืดสนิททันที ใบหน้าซีดเซียวของกิโยม·เบเนต์พร่าเลือนไปเล็กน้อย
ลูเมี่ยนไม่เหลือพลังที่จะคงสภาพ ‘ใบหน้าของไนเซอร์’ แล้ว จึงกลับคืนร่างเดิม พร้อมกับถามพลางมองหน้ากิโยม·เบเนต์
“ใครทำให้แกศรัทธาในชะตากรรม”
แม้ฟรังก้าจะอยากรู้อยากเห็น แต่ก็กังวลว่าลูเมี่ยนอาจถามในสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน พลอยทำให้เธอถูกมลทินปนเปื้อนไปด้วย หญิงสาวจึงเปิดกำแพงวิญญาณแล้วเดินออกห่างจากแท่นบูชา
กิโยม·เบเนต์ตอบด้วยใบหน้าเหม่อลอย
“โอลัวร์·ลี!”
“หลังจากที่ฉันค้นพบว่า ใครบางคนกำลังเผยแพร่ลัทธิเทพมารในหมู่บ้าน เธอก็แอบมาหาฉันเพื่อบอกว่า มีวิธีช่วยให้ฉันได้รับพลังวิเศษง่ายๆ โดยไม่ต้องขอร้องท่านบิชอป มิหนำซ้ำ ในอนาคตยังมีโอกาสได้รับบารมีเทพ ได้กลายเป็นนักบุญ ได้มีชีวิตอยู่ตราบชั่วนิรันดร์”
“ตอนนั้นฉันยังไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็อยากพิสูจน์ความจริง จึงเลือกที่จะเงียบ หลังจากนั้นฉันก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่า เธอแข็งแกร่งขึ้นในทุกวัน จึงเริ่มคล้อยตามทีละนิด”
ลูเมี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง ถามเสียงขรึมขณะใช้นัยน์ตาสีน้ำเงินจ้องมอง
“ใครทำให้โอลัวร์·ลีศรัทธาในชะตากรรม”
“ฉันไม่รู้” กิโยม·เบเนต์ส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย
ลูเมี่ยนไตร่ตรองคำพูดแล้วถามอีก
“ถ้าพูดถึงโอลัวร์·ลี เรื่องไหนที่แกประทับใจมากเป็นพิเศษ”
สีหน้าของกิโยม·เบเนต์เปลี่ยนไป ราวกับกำลังนึกทบทวนความฉงนปนหวาดกลัวในเวลานั้น
“เธอพูดว่า… เธอพูดว่า… เธอไม่ใช่โอลัวร์·ลี!”
……………………………………………………..