ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 319 “ท่องเที่ยว”
ตอนที่ 319 “ท่องเที่ยว”
‘วิชาฮึ่มฮ่า’ ถูกตั้งชื่อจากการผสมเสียง ‘ฮึ่ม’ จากจมูก กับ ‘ฮ่า’ จากปาก ทำให้ลูเมี่ยนรู้สึกแปลกใหม่
นอกจากนี้ เกราะซ่อนเงาน่าจะเคยเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาคล้ายมนุษย์มาก่อน พลังกับจุดเด่นหลายชนิดจึงมีชื่อเฉพาะ ไม่เหมือนกับพวกไร้สมองที่ลูเมี่ยนต้องสรุปใจความเอาเอง แล้วตั้งชื่อง่ายๆ เพื่อให้สะดวกต่อการจำ
ข้อมูลที่ส่งผ่านการเชื่อมต่อพิเศษ ช่วยให้ลูเมี่ยนทราบว่า ‘วิชาฮึ่มฮ่า’ ถูกจำแนกให้อยู่ในหมวดหมู่เวทมนตร์ที่สามารถส่งผลต่อวิญญาณ
หลังการคือใช้เสียง ‘ฮ่า’ และ ‘ฮึ่ม’ สองเสียงนี้ ควบคุมจิตใจตัวเอง สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงศาสตร์เร้นลับ ก่อให้เกิดคลื่นความถี่พิเศษไหลเข้าหาเป้าหมาย
สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ถูกคลื่นนี้ชนกระทบ อย่างเบาก็หน้ามืดรุนแรง อย่างหนักก็เหมือนถูก ‘ทะลวงจิต’ ถึงขั้นสลบไสลเลยทีเดียว
พลังนี้ยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตาม ‘ลำดับ’ ของผู้ใช้งาน หรือก็คือ มันอาจสร้างอิทธิพลต่อผู้ถือครองบารมีเทพได้เช่น ภายใต้เงื่อนไขว่าลูเมี่ยนต้องเลื่อนเป็นลำดับ 4 หรือใช้วิธีบางอย่างเลื่อนลำดับชั่วคราว
ไม่เลว… ไม่ด้อยไปกว่าเสียงหวีดหวิวที่ทำให้หมดสติมากนัก… อีกอย่าง เสียง ‘ฮึ่ม’ กับ ‘ฮ่า’ ก็เหมาะแก่การตะโกนมากกว่าชื่อแปลกๆ อย่าง ‘มีหน้ามีตา’ … ลูเมี่ยนเห็นว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว จึงเริ่มให้คำมั่นสัญญา เป็นอันเสร็จสิ้นการทำพันธสัญญา
อันที่จริง เขายังคาใจกับพลังและจุดเด่นอื่นของเกราะซ่อนเงาอยู่ เพราะแต่ละชื่อล้วนแฝงกลิ่นอายแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก เช่น ‘ขบวนภูตผีท่องราตรี’ หรือ ‘เสียงหวีดกลืนวิญญาณ’
คราวนี้ สัญลักษณ์สีดำคล้ายรอยประทับ ตกลงมายังหน้าอกขวาของลูเมี่ยน ถือเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
เขารีบนำเข็มกลัด ‘มีหน้ามีตา’ ร้อยด้วยเชือกบาง แล้วใส่กลับไปในกระติกสนามสีเทาอ่อน จากนั้นก็คลายกำแพงวิญญาณ เก็บกวาดแท่นบูชา ก้มเก็บสิ่งของมีค่าที่โยนทิ้งพื้นไปก่อนหน้า
ถัดมา เมื่อบ่าขวาของลูเมี่ยนส่องประกายวูบหนึ่ง ร่างกายก็พลันอันตรธานหาย หลุดเข้าไปในโลกอัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยก้อนสีสันซ้อนทับหลายชั้น รวมถึงสัตว์หน้าตาประหลาด
วินาทีให้หลัง เด็กหนุ่มหลุดออกจากโลกวิญญาณด้วยอาการปวดหัวเล็กน้อย รอบตัวคือห้องนอนชั้นสองของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ลูเมี่ยนกุมศีรษะที่ยังปวดตุบ พลางเหลียวมองรอบตัวด้วยความพึงพอใจ
“การเดินทางข้ามโลกวิญญาณของจริง… มีประโยชน์อย่างที่คิด…”
ปัญหาเดียวคือ มันสูบพลังวิญญาณไปมหาศาล แม้ขีดจำกัดพลังวิญญาณของลูเมี่ยนจะถูกยกระดับจากผู้ถือพันธสัญญากับนักวางเพลิงเป็นสองเท่าแล้ว แต่ปัจจุบันกลับ ‘ท่องเที่ยว’ ได้อย่างมากไม่เกินสามถึงสี่หน ยิ่งเมื่อคำนึงถึงพลังไฟที่ค่อนข้างสิ้นเปลือง รวมถึงการสำรองพลังวิญญาณไว้เผื่อเหตุไม่คาดฝัน ในการต่อสู้อันดุเดือดหนึ่งศึก เขาคงท่องเที่ยวได้แค่หนเดียว หรือมากสุดคือสอง
หากเป็นผู้ถือพันธสัญญาล้วนๆ ต่อให้ไม่ใช้พลังอื่นเลย ก็คงท่องเที่ยวได้เพียงสองครั้งไม่เกินนี้
นี่ยังเป็นกรณีที่เลือกพิกัดใกล้ตัว แต่แน่นอน พิกัดใกล้ตัวมิได้เท่ากับพื้นที่ใกล้ตัวเสมอไป
ธรรมชาติของโลกวิญญาณทั้งมหัศจรรย์ ทั้งพิเศษ ภายในนั้น บน ล่าง ซ้าย ขวา หน้า หลัง หรือกระทั่งเวลาก็ล้วนผสมปนเปกัน เหลื่อมทับกับโลกความจริง แต่ก็มีความยุ่งเหยิงในตัวเอง ยกเว้นเรื่อง ‘สิ่งที่รวมกันภายใต้แนวคิดเดียวกันจะอยู่ด้วยกัน’ สิ่งอื่นดูเหมือนจะถูกจัดวางแบบสุ่มทอยเต๋า
สรุปง่ายๆ ก็คือ ‘ทั่วกรุงทรีอาร์’ คือมโนทัศน์ที่ทรงพลัง ส่งผลให้มีพื้นที่สอดคล้องกันในโลกวิญญาณ จับตัวเป็นกลุ่มก้อนโดยไม่กระจัดกระจายไปไหน แต่รอบๆ กรุงทรีอาร์จะมิใช่เมืองข้างเคียงหรือหมู่บ้านใกล้เคียงเฉกเช่นบนโลกความจริง อาจเป็นมโนทัศน์ที่ตรงกับแม่น้ำสายหนึ่งบนทวีปใต้ หรืออาจเป็นภาพสะท้อนถิ่นอาศัยของสัตว์ใต้ทะเล
หากมิได้ระบุพิกัดตายตัว ลูเมี่ยนก็จะ ‘ท่องเที่ยว’ ได้เพียงในเขตกรุงทรีอาร์เท่านั้น หากไม่แล้ว มีโอกาสสูงมากที่จะหลงทางในโลกวิญญาณ ซึ่งนั่นคือเรื่องที่อันตรายมาก
เมื่อสักครู่ ระหว่างกำลังข้ามโลกวิญญาณ สถานที่ต่างๆ ในทรีอาร์ซึ่งเด็กหนุ่มเคยไปเยือนบ่อยครั้ง ทยอยผุดขึ้นในใจในรูปแบบของพิกัดประหลาด ช่วยให้เขาเดินทางกลับถึงคาบาเร่ต์ลมเอื่อยในทีเดียว ไม่ต้องไปโผล่ในมุมอื่นของมหานครแห่งนี้
ระหว่างนั้น ลูเมี่ยนรู้สึกถึง ‘เศวตนคร’ ลาปุสแห่งอาณาจักรที่ราบสูงได้อย่างเลือนราง มันอยู่ห่างจากทรีอาร์ในโลกวิญญาณไม่มากนัก แต่ก็ไม่ใกล้เสียทีเดียว แน่นอนว่าเขาไม่อาจเดินทางไปที่นั่นได้ในคราวเดียว จำเป็นต้องหาพิกัดระหว่างทางสักจุดสองจุดเพื่อเปลี่ยนถ่าย
“ถือว่าดีมากแล้ว” ลูเมี่ยนพึมพำอย่างพึงพอใจ
นอกจากข้อจำกัดด้านจำนวนครั้งและ ‘ระยะทาง’ พลัง ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ ที่ได้จากท่อนแขนบวมเน่า ถือว่าสอดคล้องกับสิ่งที่เด็กหนุ่มคาดหวังแล้ว
จากนั้น ลูเมี่ยนเดินไปยังกระจกเงาเต็มตัว พลางกระตุ้นรอยประทับสีดำบนไหล่ซ้าย ตามองร่างที่ดำมอมแมมของตนเริ่มเปลี่ยนรูปลักษณ์ กลายเป็นชายวัยกลางคน มีผมขาวสองสามเส้นแซมขมับ ใบหน้าอวบอิ่ม นัยน์ตาสีแดงอมน้ำตาล โครงหน้าชัดลึก แผ่บรรยากาศเป็นมิตร
การ์ดเนอร์·มาร์ติน!
เปลี่ยนหน้าตา ร่างกาย รวมถึงบรรยากาศได้ แต่กิริยาท่าทางกับน้ำเสียงยังต้องพึ่งพาตัวเอง… ลูเมี่ยนประเมินพลัง ‘ใบหน้าไนเซอร์’
เมื่อสักครู่ ระหว่างการเปลี่ยนร่าง เขาสูญเสียพลังวิญญาณไปไม่น้อย แต่การคงสภาพรูปลักษณ์กลับสิ้นเปลืองพลังไม่มาก สามารถดำรงชีวิตด้วยหน้าตาของการ์ดเนอร์·มาร์ตินได้นานกว่าสิบชั่วโมง
ลูเมี่ยนยกเลิก ‘ใบหน้าของไนเซอร์’ ถอยหลังไปหลายก้าว จ้องกระจกบานดังกล่าวแล้วอ้าปากหวอ
“ฮ่า!”
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่า พลังวิญญาณของตนหลั่งไหลเข้าไปในรอยประทับสีดำบนหน้าอกขวา วิญญาณเริ่มสั่นสะเทือน แสงรัศมีสีเหลืองจางๆ ที่แทบมองไม่เห็นถูกพ่นออกทางปาก
แสงรัศมีทะลุผ่านกระจก พุ่งออกนอกผนัง ห่างออกไปเกือบสิบเมตรจึงสลายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ต้องอยู่ใกล้พอสมควรจึงจะได้ผล… ใช้พลังน้อยกว่า ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ แต่มากกว่า ‘ใบหน้าของไนเซอร์’ แบบนี้ในการต่อสู้หนึ่งศึก คงใช้ได้ราวๆ สี่ห้ารอบ…” ลูเมี่ยนซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยแผลไหม้เกรียม บรรจงถอนหายใจยาว สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
คำมั่นสัญญาที่จะจ่ายทองคำให้เกราะซ่อนเงา รวมถึงการช่วยท่อนแขนบวมเน่าตามหาร่างกาย ลูเมี่ยนขอเลื่อนมันออกไปสักระยะ อย่างไรเสีย ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกพอสมควร สิ่งจำเป็นที่สุดตอนนี้คือการพักผ่อนฟื้นฟูร่างกาย รวมถึงต้องรอให้กลิ่นอายความน่ารังเกียจที่เข็มกลัดมีหน้ามีตาแผ่ออกมา จางหายไปเสียก่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น
ลูเมี่ยนสวมหมวกสักหลาดสีดำ เสื้อเชิ้ต เสื้อไหมพรม ทับด้วยแจ็กเกตที่ค่อนข้างหนา สั่นกริ่งหน้าประตูห้อง 601 ของบ้านเลขที่ 3 ถนนเสื้อนอกขาว
ฟรังก้าเปิดประตูด้วยสีหน้าละเหี่ยใจ แล้วก็ต้องตกตะลึงกับเครื่องแต่งกายของลูเมี่ยน
“ต่อมรับอุณหภูมิของคุณพังไปแล้วหรือ?”
ลูเมี่ยนไม่ตอบ เพียงถามกลับ
“คุณหาเถ้ากระดูกมัมมี่ของแท้ได้หรือยัง”
“คุณเพิ่งจะถามไปเมื่อวาน!” ฟรังก้าตอบอย่างหงุดหงิด
คำตอบคือยัง
ลูเมี่ยนหัวเราะในคอ
“ที่ไหน?” ฟรังก้าสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาทันที
ลูเมี่ยนถือวิสาสะเดินเข้าห้อง พลางตอบส่งๆ
“ที่ราบสูงดวงดาว ทวีปใต้”
“ไปยังไง?” ฟรังก้ามองห้องน้ำ พูดเสียงเบาลง “อย่าบอกนะว่าจะรบกวนไพ่อาร์คาน่าใหญ่?”
“ผมแค่เขียนจดหมายถามถึงจุดเชื่อมต่อระหว่างเที่ยว” ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ
“จุดเชื่อมต่อ…” ฟรังก้าผสมผสานปัญญาศาสตร์เร้นลับของตน จนเดาได้ภายในเวลาไม่นาน “คุณได้สมบัติวิเศษที่สามารถ ‘ท่องเที่ยว’ มาแล้ว?”
ลูเมี่ยนส่ายหัว อธิบายรวบรัด
“ยืมพลังจากสัตว์พันธสัญญาน่ะ”
“พันธสัญญาอะไรถึงได้เจ๋งขนาดนั้น?” ฟรังก้าเผลอโพล่งอุทาน
ก่อนหน้านี้เธอไม่เข้าใจว่า เหตุใดลูเมี่ยนถึงต้องรีบเลือกสัตว์พันธสัญญานัก เพราะโดยส่วนมากแล้ว สัตว์โลกวิญญาณที่ยินดีทำพันธสัญญากับผู้วิเศษลำดับ 7 มักจะอยู่ในกลุ่ม ‘ไม่โดดเด่น’ ซ้ำยังต้องจัดพิธีกรรมอัญเชิญก่อนใช้งาน ยากที่จะมีประโยชน์ในศึกจริง
ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ
“พันธสัญญาพิเศษน่ะ”
“หือ…” ฟรังก้ามองลูเมี่ยนหัวจรดท้า เดินวนอีกครึ่งรอบ
‘แม่มด’ ผู้นุ่งกางเกงขายาว สวมเสื้อเชิ้ต กระแอมแห้งแล้วกล่าว
“อย่างเราถือเป็นพี่น้องกันไหม?”
“ไม่” ลูเมี่ยนตอบไม่ลังเล “เรานับถือคนละศาสนา!”
“ภายนอกเป็นไอน้ำ แต่ในใจคือ ‘มิสเตอร์ฟูล’ เหมือนกันมิใช่หรือ?” ฟรังก้าพูดเสียงเบา
ลูเมี่ยนตอบอย่าง ‘ศรัทธา’
“ผมยังคงเชื่อในองค์สุริยันเจิดจรัสอยู่บ้าง”
อย่างน้อยก็เชื่อมาเกือบหกปีแล้ว
ฟรังก้าเงียบไปสักพัก ผ่านไปสองสามวินาทีจึงถามใหม่
“แล้วถือว่าเป็นเพื่อนกันไหม”
“เป็น” คราวนี้ลูเมี่ยนไม่ได้ปากอย่างใจอย่าง
ฟรังก้าผ่อนคลายใบหน้าลงทันที
“พันธสัญญาพิเศษนั่น… สอนฉันบ้างได้ไหม? เรียกราคามาเลย”
เธอแจ้งความต้องการอย่างตรงไปตรงมา
ลูเมี่ยนส่ายหัวใหม่
“ผมได้รับโอกาสพิเศษ จึงใช้พันธสัญญาแบบนี้ได้”
“ตกลง” ฟรังก้าเลิกซักไซ้ แต่ก็ดูผิดหวังไม่น้อย
จังหวะนี้ จินนาเดินออกจากห้องน้ำ ลูเมี่ยนเห็นจึงถามติดตลก
“อยากไปเที่ยวทวีปใต้ไหม”
“เที่ยว? เที่ยวทำไม?” จินนาทำหน้างงงัน
ฟรังก้ารีบเล่าเรื่องที่เธอยังขาดเถ้ากระดูกมัมมี่ รวมถึงเรื่องที่ลูเมี่ยนสามารถ ‘พาเที่ยว’ ที่ราบสูงดวงดาวให้จินนาฟัง แล้วปิดท้ายว่า
“เธออยากตามไปด้วยกันไหม”
จินนาคิดทบทวนไม่นานก็ตอบ
“ไป”
เธอรู้สึกว่าตนยังขาดประสบการณ์เหนือธรรมชาติ ต้องหมั่นดูฟังฝึกให้มาก
อีกอย่าง จวบจนปัจจุบัน เธอเคยไปไกลสุดแค่เขตโรงอุปรากรในกรุงทรีอาร์เท่านั้น ย่อมต้องอยากรู้อยากเห็นทวีปใต้ที่คนร่ำลือกันในบาร์และคาบาเร่ต์มานาน
ลูเมี่ยนมองสองเพื่อนร่วมทางเล็กน้อย ยิ้มแล้วตักเตือน
“พวกคุณใส่เสื้อผ้าหนาๆ หน่อยดีกว่านะ แถวนั้นไม่ใช่แค่ที่ราบสูง แต่ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาว”
“อ้อ…” ฟรังก้ามองลูเมี่ยน เข้าใจสาเหตุที่อีกฝ่ายแต่งกายยังกับเตรียมปีนภูเขาหิมะ
ผ่านไปสักพัก ฟรังก้าก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อนอกสีดำคล้ายเกราะหนัง กางเกงขายาวสีเข้มบุกำมะหยี่พร้อมแผ่นปิดหัวเข่า ดูเหมือนทหารรับจ้างหญิงหรือนักล่าเงินรางวัล ส่วนจินนาเนื่องจากยังไม่ได้ขนเสื้อผ้าหนาๆ มาบ้านหลังนี้ จึงต้องยืมของฟรังก้าใส่ แต่งกายแบบเดียวกัน แต่เธอตัวเล็กกว่าหน่อย จึงต้องรัดเข็มขัด รัดแขนเสื้อ พับขากางเกงขึ้น เพื่อรักษาความกระฉับกระเฉงเอาไว้
ลูเมี่ยนยื่นสองแขนออกไป จับไหล่พวกเธอคนละข้าง พร้อมกับกระตุ้นรอยประทับพันธสัญญาบนไหล่ขวา
แสงวูบวาบลอดผ่านช่องว่างบนเสื้อผ้าชายหนุ่ม จินนากับฟรังก้าเข้าสู่โลกอัศจรรย์ที่รอบตัวเต็มไปด้วยก้อนสีสันซ้อนทับกัน รวมถึงสิ่งมีชีวิตประหลาดอันแปลกตา ซึ่งกำลังถอยร่นไปรอบทิศด้วยความเร็วสูง
ท่ามกลางความงุนงง ทั้งสามออกจากโลกวิญญาณ ร่างของทุกคนปรากฏขึ้นบนเกาะร้างแห้งแล้ง
ไม่ปล่อยให้จินนากับฟรังก้าได้ปรับอารมณ์ ลูเมี่ยนก็ใช้ ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ อีกครั้ง
คราวนี้เมื่อกลับสู่โลกความจริง สิ่งที่สอง ‘นักฆ่า’ เห็นคือยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนอยู่ไกลลับตา รวมถึงนครต่างแดนที่มีอาคารโทนสีขาวอยู่ไม่ไกล
จินนาพยายามรวบรวมสติ อุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
“มหัศจรรย์จริงๆ …”
หากต้องสรรหาวลีใดมาขยายคำว่ามหัศจรรย์ เพื่อแสดงความรู้สึกของตนได้ถึงแก่น บางทีเธอคงต้องเลือกคำหยาบ
แม้จะยังไม่แน่ใจว่าที่นี่คือที่ราบสูงดวงดาวบนทวีปใต้ แต่การเปลี่ยนตำแหน่งจากถนนเสื้อนอกขาว มายังดินแดนรกร้างได้ในเวลาอันสั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะเห็นถึงความน่าอัศจรรย์ของพลัง ‘ท่องเที่ยว’ !
ลูเมี่ยนข่มอาการปวดหัวที่กำเริบแผ่วเบา ข่มความอ่อนเพลียหลังจากสูญเสียพลังวิญญาณปริมาณมาก มือชี้ไปทาง ‘เศวตนคร’ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เข้าไปกันเถอะ”
……………………………………………………..