ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 316 ‘เทียบเชิญ’
ตอนที่ 316 ‘เทียบเชิญ’
เฉกเช่นสองครั้งก่อนหน้านี้ เปลวเทียนสีเงินผสมดำก่อตัวเป็นลำแสง ตกลงบนหน้าอกซ้ายของลูเมี่ยนที่กำลังสับสนทนทุกข์
ท่ามกลางหมอกสีเทาและกระแสลมสีดำอันเกรี้ยวกราด ของเหลวสีเงินดำอันเลือนรางไหลออกจากตำแหน่งหน้าอก
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ลูเมี่ยนลืมความเจ็บปวด ลืมอาการวิงเวียน ราวกับกลายเป็นอีกคนหนึ่งไป
เด็กหนุ่มยืนอยู่ท่ามกลางผืนทุ่งกว้าง โก่งคันธนูไม้ในมือ แล้วปล่อยลูกศรยาวที่เปล่งประกายสีน้ำเงินอมฟ้า พุ่งเข้าหาเหยื่อบนท้องนภา
ในความรางเลือน ลูเมี่ยนยังจำได้ว่าตัวเองเป็นใคร เพียงแต่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้สมจริงเหลือเกิน ประหนึ่งมันกำลังเกิดขึ้น
ลูกศรคมสีน้ำเงินอมฟ้าดอกดังกล่าว แหวกผ่านท้องฟ้า ปักใส่ท้องของอีแร้งสีเทาดำตัวหนึ่ง
ความเจ็บปวดรวดร้าวถาโถมหัวสมองทันที ลูเมี่ยนเห็นตัวเองกำลังกระพือปีก โดยมีลูกศรปักคาเกือบทะลุท้อง ร่างกายกำลังร่วงหล่นสู่พื้นดิน
ไม่สิ ทำไมเราถึงกลายเป็นอีแร้งไปได้… เด็กหนุ่มผุดความคิดนี้อย่างพร่ามัว โดยยังไม่ถูกทิวทัศน์ ยังไม่ถูกร่างกายปัจจุบันของตนหลอกหลอนจนเชื่อสนิทใจ
โครม!
เขาตกกระแทกพื้นอย่างหนัก รู้สึกเหมือนกระดูกหักทุกท่อน เจ็บปวดจนแทบขาดใจ
ลูเมี่ยนแทบจะสิ้นสติคาที่ แต่ก็ยังเห็นไฮยีนากำลังปรี่เข้ามา
เลือดเนื้ออุ่นๆ เหม็นคาวอัดแน่นอยู่ในช่องปาก เขาพบว่าตัวเองกำลังกัดกินซากอีแร้งสีเทาดำ โดยที่ศพของนกนักล่าตัวนี้ยังมีหัวลูกศรสีน้ำเงินอมฟ้าหักคาอยู่
รสชาติห่วยบรม… เราไม่ใช่สัตว์ประหลาดน้อยลุดวิกนั่นสักหน่อย… ลูเมี่ยนรำพันอย่างอดไม่ได้
เขารู้ตัวดีว่าตนไม่ใช่ไฮยีนา แต่กลับยังฉีกกินซากศพต่อไปโดยมิอาจหักห้ามใจ กระทั่งส่วนที่เปื้อนพิษก็ไม่ละเว้น
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบกลางหลัง เนื่องจากถูกกรงเล็บกดลงกับพื้น
ผู้โจมตีคือสิงโตประหลาดที่มีร่างกายเน่าเปื่อย น้ำหนองสีเหลืองเลือดไหลเยิ้มหลายจุด
ลูเมี่ยนกัดคอไฮยีนาหักหลายท่อนในคำเดียว แล้วคาบมันไปซ่อนในพุ่มไม้ไม่ไกล
เด็กหนุ่มมองเหตุการณ์นี้ด้วยมุมกล้องของผู้ชมที่แยกตัวออกมา พลางฉีกกินร่างไฮยีนาเพื่อรีบเติมเต็มท้อง
ท่ามกลางความรู้สึกพึงพอใจปนรังเกียจ ท้องของลูเมี่ยนเริ่มปวดร้าว พลังวิเศษที่แทบจะคุมไม่อยู่ถูกพิษกระตุ้นจนว้าวุ่นสุดขีด นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง
เขาสิ้นสติในพริบตา กลายเป็นบ้าคลั่ง เหลือเพียงความปรารถนาที่จะทำลายทุกสรรพชีวิตตรงหน้า อยากทำลายให้แหลกลาญ
ไม่ได้ห้ามเป็นแบบนี้… ยังไม่ได้ทำเรื่องสำคัญที่สุดเลย… ลูเมี่ยนได้กลิ่นหวานๆ ผสมกับหอมอ่อนๆ ของอำพันสีเทา ช่วยดึงสติตัวเองมิให้ดำดิ่งในความบ้าคลั่งอย่างสุดจิตสุดใจ
ขณะกำลังวิ่งพล่านราวกับได้ปลดปล่อย เด็กหนุ่มเห็นนักล่าคนหนึ่ง จึงพุ่งเข้าใส่อย่างเกรี้ยวกราด
ลูเมี่ยนที่กำลังถือคันธนูไม่ได้กลิ่นเหม็นคาวอีกต่อไป แต่เห็นสิงโตที่ร่างกายเน่าเปื่อยทั่วตัว มีเนื้องอกคล้ายอีกสองหัวงอกออกมาตรงไหล่
ปากที่ห้อยระโยงระยางไปด้วยเลือดเนื้อสีแดงฉาน กำลังอ้ากว้างจนสุด
ลูเมี่ยนตกใจจนสะดุ้ง ช่วยให้สำนึกรู้ในตัวเองคืนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเห็นว่า ‘ร่าง’ ของนักล่า อีแร้ง ไฮยีนา และสิงโตพลันกลายเป็นเลือนรางไป แปรเปลี่ยนเป็นตัวอักษรและสัญลักษณ์ประหลาดสีเงินผสมดำอันซับซ้อน
อักษรและสัญลักษณ์เหล่านี้เชื่อมต่อหัวท้าย รวมตัวกันเป็นวงกลมบรรจบครบรอบ แล้วหดเข้าไปในร่างกายทันที
ลูเมี่ยนสะดุ้งลืมตา เห็นเปลวเทียนสีเงินผสมดำส่ายไหวเงียบงัน เห็นหินสูงครึ่งเมตรที่นำมาทำเป็นแท่นบูชา
“เป็นประสบการณ์ที่สมจริงมาก… ราวกับได้เป็นทั้งอีแร้ง ไฮยีนา สิงโต และมนุษย์คนอื่นไปชั่วขณะ…” ลูเมี่ยนกุมศีรษะที่ยังปวดตึง บรรจงพยุงร่างลุกขึ้นยืน ทั้งย้อนคิดถึงประสบการณ์ก่อนหน้า ทั้งย่อยความรู้ที่เพิ่มเข้ามาในหัว
เด็กหนุ่มจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นตั้งแต่เมื่อไร
ฟู่… หลังจากสงบใจได้สักพัก ลูเมี่ยนยืนยันว่าตนได้รับพรใหม่ กลายเป็นผู้ถือพันธสัญญาแล้ว
เขารีบเก็บแท่นบูชา ยกเลิกกำแพงวิญญาณ ก้มหยิบโคมไฟคาร์ไบด์ เตรียมออกจากโพรงเหมืองหินนี้แล้ว
ระหว่างนั้น ลูเมี่ยนลองตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย รวมถึงพลังใหม่ของผู้ถือพันธสัญญา
พลังวิญญาณเพิ่มมาพอสมควร
ความยืดหยุ่นทางร่างกายของนักเต้นถูกยกระดับ ความสามารถในการทนทานสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากของภิกษุบิณฑบาตถูกยกระดับเล็กน้อย แต่ไม่มาก
ระบำเรียกสถิตมีขอบเขตกว้างขึ้น ศักดิ์ของสัตว์ประหลาดที่ถูกบังคับให้สิงร่างผ่านการเต้นก็สูงขึ้นด้วย
ผู้ถือพันธสัญญามีพลังใหม่เพียงอย่างเดียว นั่นคือการทำพันธสัญญากับสิ่งมีชีวิตที่เรียกมา เพื่อยืมความสามารถของอีกฝ่ายมาใช้งานโดยตรง
แต่ผิดไปจากที่ลูเมี่ยนคาดไว้ สัญญาพิเศษนี้ได้หลอมรวมเข้ากับร่างกาย หลอมรวมเข้ากับวิญญาณทันทีที่เลื่อนลำดับ จึงไม่อาจยกให้คนอื่นได้
กล่าวคือ ตัวเขาเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของข้อตกลง ซ้ำยังเป็นส่วนสำคัญที่สุด โดยต้องอาศัยจุดนี้เพื่อเขียนสัญญาส่วนที่เหลือ แล้วนำไปมอบให้สัตว์โลกวิญญาณ ‘ลงนาม’
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ลูเมี่ยนก็เริ่มเข้าใจภาพรวมของพลังผู้ถือพันธสัญญา:
ต้องได้รับความยินยอมจากเป้าหมายก่อน จึงจะทำสัญญาได้
หลังจากทำสัญญาแล้ว สามารถเลือกจุดเด่นที่ต้องการได้ตามใจชอบ
ทุกครั้งที่ทำสัญญาหนึ่งฉบับ สิ่งที่ได้รับจะมิใช่เพียงพลัง แต่ยังมาพร้อมกับอิทธิพลจากสัตว์พันธสัญญาด้วย ยิ่งศักดิ์ของพวกมันสูง ผลข้างเคียงเชิงลบก็ยิ่งรุนแรง
จำนวนของสัญญาที่ทำได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับมือของตัวผู้ถือพันธสัญญาเอง หากเป็นสัตว์ที่มีศักดิ์สูงหรือมีจุดเด่นทรงพลัง อาจรับไหวแค่หนึ่งสัญญา สำหรับสัตว์ที่ค่อนข้างธรรมดา มีศักดิ์ใกล้เคียงกับตัวเอง จะรับไหวแน่นอนสามสัญญา ส่วนสัตว์ที่อ่อนแอเป็นพิเศษ แถมยังศักดิ์ต่ำ สามารถรับได้มากกว่านั้น
ขณะทำสัญญา จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วย ส่วนหนึ่งจะถูกแบ่งให้กับสัตว์พันธสัญญา อีกส่วนจะแบ่งให้กับผู้เป็นสักขีพยาน ค่าตอบแทนอาจเป็นชีวิต อวัยวะ ญาติพี่น้อง คนรัก เครื่องสังเวย ขีดจำกัดสูงสุดของพลังวิญญาณ สติปัญญาบางส่วน หรืออื่นๆ ส่วนจะเป็นอะไรนั้น ต้องดูว่าสัตว์คู่สัญญาต้องการสิ่งใด
ด้วยเหตุนี้ ความรู้ส่วนใหญ่ที่ลูเมี่ยนได้รับจากพร คือข้อมูลของสัตว์ที่สามารถทำพันธสัญญา ซึ่งรวมถึงพลัง จุดเด่น และ ‘ค่าตอบแทน’ ที่อีกฝ่ายต้องการ
แต่สัตว์ประหลาดเหล่านี้ ส่วนใหญ่ชั่วร้ายจนน่าขนลุก ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายก็เช่นกัน ลูเมี่ยนไม่ค่อยอยากเลือกจากพวกมันสักเท่าไร
แน่นอน เหตุผลหลักมิใช่ประเด็นข้างต้น แต่เพราะมันคือสัตว์ที่แถมมากับความรู้ศาสตร์เร้นลับซึ่งแฝงอยู่ในพลังแห่งชะตากรรม ลูเมี่ยนกังวลว่าการทำสัญญากับพวกมัน อาจทำให้ตนได้รับอิทธิพลโดยไม่รู้ตัว ชักนำชะตากรรมตัวเองให้ไถลลงสู่ขุมนรก
ด้วยเหตุผลเดียวกัน ลูเมี่ยนไม่คิดจะสวดวิงวอนต่อองค์ชะตากรรมเพื่อให้เป็นสักขีพยานขณะทำสัญญา
มิสเตอร์ฟูล!
ตามเนื้อหาในพระคัมภีร์ที่ลูเมี่ยนได้ฟังจากวิหารเดอะฟูล องค์ผู้ยิ่งใหญ่รายนี้คือผู้ปกครองโลกวิญญาณ ปัจจุบันให้ ‘เทวทูตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ ซึ่งเป็นผู้รับใช้ข้างบัลลังก์ ช่วยปกครองโลกวิญญาณแทน
แม้จะมีเนื้อหาเกินจริงอยู่บ้าง แต่ก็เพียงพอให้เชื่อได้ว่า มิสเตอร์ฟูลคือผู้มีอิทธิพลสูงส่งในโลกวิญญาณ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ลูเมี่ยนที่แบกรับรอยประดับของมิสเตอร์ฟูล รวมถึงวิงวอนขอให้มิสเตอร์ฟูลช่วยเป็นสักขีพยานขณะทำสัญญา ไม่ว่าจะเลือกสัตว์โลกวิญญาณตัวใดมา ก็อาจได้รับสินน้ำใจ อาจได้รับผลประโยชน์แฝงแถมมาไม่น้อย เฉกเช่นผู้ทำพันธสัญญาคนอื่น ซึ่งเลือกสัตว์ประหลาดตามความรู้ศาสตร์เร้นลับที่แถมมากับพร
ลูเมี่ยนเร่งทบทวนความรู้ใหม่อีกหนึ่งรอบ พบว่าเนื้อหาบางส่วนอธิบายไว้คลุมเครือมาก ราวกับซุกซ่อนความเป็นไปได้หลายแบบ
ยกตัวอย่างเช่น จุดที่ว่า ‘ต้องได้รับความยินยอมจากเป้าหมายก่อน จึงจะทำสัญญาได้’ ตรงนี้มิได้ระบุว่าต้องได้รับความยินยอมด้วยวิธีใด จะใช้เครื่องสังเวยติดสินบน จนอีกฝ่ายตอบตกลง ก็ถือว่ายินยอม การทุบตีจนยอมศิโรราบ ก็ถือว่ายินยอมเช่นกัน ในทำนองเดียวกัน ค่าตอบแทนที่อีกฝ่ายเรียกร้องก็น่าจะต่อรองได้
นอกจากนี้ ความรู้สองอย่างเกี่ยวกับ ‘สัตว์พันธสัญญาจะนำมาซึ่งผลข้างเคียงเชิงลบ’ และ ‘ขีดจำกัดในการรับมือของตัวผู้ถือพันธสัญญา’ เมื่อนำมาผนวกกัน ลูเมี่ยนจะไม่สามารถ ‘โกง’ ด้วยการอาศัยตราประทับของมิสเตอร์ฟูล เพื่อดูดสัตว์โลกวิญญาณศักดิ์สูงมาทำสัญญาด้วย จนสามารถได้ครอบครองบารมีเทพตั้งแต่ยังลำดับต่ำ
แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่สามารถเลือกสรร ‘กลุ่มพลัง’ ได้อย่างอิสระภายในขอบเขตหนึ่ง ย่อมทำให้เพดานขีดจำกัดสูงสุดของผู้ถือพันธสัญญาสูงมาก แน่นอนว่าเพดานขีดจำกัดต่ำสุดก็ต่ำเตี้ยเช่นกัน หากเลือกพลังผิด จ่ายค่าตอบแทนแพง อาจแย่ยิ่งกว่าคนธรรมดาที่เก่งผิดมนุษย์มนาเสียอีก
ลูเมี่ยนรวบรวมสมาธิ กระซิบกระซาบอย่างอารมณ์ดี
“เทอร์มีโพลอส มีอะไรจะช่วยเสริมไหม”
ว่าตามตรง สิ่งที่ลูเมี่ยนกังวลที่สุดตอนลงใต้ดินคือ เทอร์มีโพลอสจะฉวยโอกาสทำอะไรแผลงๆ ขณะตนทำพิธีขอพร หรือไม่ก็พยายามสร้างความวุ่นวาย เนื่องจากถ้าลูเมี่ยนยิ่งได้รับพรลำดับสูงขึ้น สถานะของเทวทูตแห่งชะตากรรมก็จะยิ่งสั่นคลอน ต่อให้พระองค์ถูกผนึกไว้แน่นหนา แต่ก็คงต้องหาทางก่อกวนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ยากที่จะนั่งนับมือรอดูตัวเองอ่อนแอลงเรื่อยๆ
ขณะประกอบพิธีขอพร ผนึกจะต้องถูกเปิดออกเล็กน้อย เพื่อให้พลังชะตากรรมไหลออกมา นั่นคือโอกาสสำหรับเทอร์มีโพลอส
เดิมที ลูเมี่ยนวางแผนไว้ว่าจะขอพรคุ้มครองก่อน แล้วจึงค่อยขอ ‘พร’ ผู้ถือพันธสัญญา แต่คิดไม่ถึงว่าการปรากฏตัวอย่างผิดวิสัยของโมไนต์ รวมถึงเทวทูตที่คอยหนุนหลังอีกฝ่าย จะทำให้พรคุ้มครองจากมิสเตอร์ฟูลมาเร็วขึ้น มิหนำซ้ำ เทอร์มีโพลอสยังเป็นฝ่ายสงบลงไปเอง มิได้แสดงพฤติกรรมก่อกวนหรือพยายามขัดขวางในภายหลัง
เทวทูตชะตากรรมตอบกลับด้วยเสียงที่ยังกังวาน
“ทางเข้าโพรงเหมือง”
ทางเข้าโพรงเหมือง… หมายถึงอะไร? ลูเมี่ยนถือโคมไฟคาร์ไบด์เดินไปยังทางเข้าโพรงเหมืองหินปัจจุบันด้วยความงุนงง
เมื่อแสงสีเหลืองอมฟ้านิดๆ สว่างปกคลุมบริเวณที่เต็มไปด้วยเศษหิน เด็กหนุ่มพบกระดาษแข็งซึ่งถูกตัดเล็มเรียบร้อยแผ่นหนึ่ง
ตอนแรกที่เข้ามายังไม่มีเลย… ลูเมี่ยนเริ่มเครียด เดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง จนเห็นว่าบนผิวกระดาษสีดำ มีรูปแว่นตาเลนส์เดี่ยวที่คล้ายกับถูกพิมพ์ลงไป มีคำภาษาอินทิสสี่บรรทัดสีแดงฉานถูกเขียนไว้:
“คาบาเร่ต์แกะดำ”
“ค่ำคืนแห่งคนรัก”
“คืนสุดท้ายของทุกเดือน หนึ่งทุ่มตรง”
“ขอเชิญคุณเข้าร่วม”
คาบาเร่ต์แกะดำ… แว่นตาเลนส์เดี่ยว… ค่ำคืนแห่งคนรัก… ภาพของโมไนต์ที่สวมแว่นตาเลนส์เดี่ยวตรงเบ้าตาขวา ผุดขึ้นในหัวลูเมี่ยนทันที
ตนขอพรคุ้มครองจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูลแล้ว แถมยังลบร่องรอยหลายครั้งระหว่างย้ายตำแหน่ง แต่กลับยังมิอาจสลัดนักต้มตุ๋นประหลาดนั่นได้?
“ไม่สิ พรคุ้มครองจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูล มีฤทธิ์ต่อต้านการทำนาย ต่อต้านคำพยากรณ์ในศักดิ์ที่สูงมาก เว้นเสียแต่ว่าโมไนต์จะซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ เรามาตลอด ไม่เคยถูกสลัดหลุด ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางหาตัวเราเจอแน่!” ลูเมี่ยนใจหายวาบ หันมองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ
ท่ามกลางความมืดมิดริมโพรงเหมือง ทุกสิ่งยังคงเงียบสงัด แต่ลูเมี่ยนกลับขนลุกซู่ ประหนึ่งมีดวงตานับไม่ถ้วนซ่อนอยู่ในอากาศ
…………………………………………….